The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 371 สุนัขเหาะกลางอากาศ
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 371 สุนัขเหาะกลางอากาศ
เป็นแบบนี้ไปตั้งแต่กลางวันจนถึงตอนเย็น เห็นดวงตะวันลาลับภูเขา ปรากฏดาวหลายดวงบนฟ้า ฟางเจิ้งรู้สึกหิวกว่าเดิมแล้ว
“อาจารย์ ศิษย์อยากกลับภูเขาแล้ว” หมาป่าเดียวดายพูดเบาๆ
ฟางเจิ้งตบๆ หัวหมาป่าเดียวดาย “อาจารย์ก็อยากกลับภูเขาเหมือนกัน”
“แล้วทำไมไม่กลับล่ะ?” หมาป่าเดียวดายหยั่งเชิงถาม
“ถ้ากลับไปได้จะต้องให้นายบอกรึไง” ฟางเจิ้งมองค้อน
“อาจารย์ พวกเราคงไม่หิวตายอยู่ข้างนอกหรอกนะ” หมาป่าเดียวดายถามอีก
ฟางเจิ้งคิดดูแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเขาจะหิวตายอยู่ข้างนอกเอาได้ง่ายๆ! ด้วยความสามารถของเขา ยื่นสองมือขอบิณฑบาตกินน่าจะไม่ยากอะไร กระทั่งไปนั่งในโรงแรมก็ไม่ใช่ปัญหา พอคิดถึงตรงนี้ ฟางเจิ้งตัดสินใจแล้วว่าถึงไม่เจอคนร่ำรวย อย่างน้อยสุดก็ต้องมีข้าวกิน! อีกทั้งเป็นการช่วยทำความดีไม่ใช่ความชั่ว ช่วยคนชั่วกลับใจ เดิมทีนี่ก็เป็นบุญกุศลอยู่แล้ว! ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะวนอยู่แค่จุดภารกิจของประตูไร้ลักษณ์…
คิดจริงทำจริง ฟางเจิ้งพาหมาป่าเดียวดายเริ่มเดินเตร่ไปรอบๆ ตอนนี้เองมีเสียงระฆังดังขึ้น เป็นระฆังพักระหว่างกลางช่วงเรียนด้วยตัวเองตอนเย็นของโรงเรียน พักสิบนาที จากนั้นถึงจะเริ่มเรียนด้วยตัวเองต่อ
ฟางเจิ้งเดินไปมาหน้าประตูโรงเรียนตลอด เขามีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าภารกิจของเขาจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มเด็กสาวพวกนั้นแน่ เขาเลยไม่ได้ไปไหนไกลเลย…
พอได้ยินเสียงระฆังเลิกเรียน ฟางเจิ้งยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนพลางมองเข้าไปข้างใน
“มองอะไร?” ตอนนี้เอง เสียงแปลกหูดังแว่วมา
“มองนักเรียน” ฟางเจิ้งไม่ได้หันไปมอง แต่ตอบตามจิตใต้สำนึก เพราะเขาเห็นเด็กสาวไว้ผมหางม้าง่ายๆ ท่าทางเหมือนเด็กผู้ชายเล็กน้อยในกลุ่มกองเชียร์เด็กสาวข้างสนามบาสเมื่อกลางวัน
“อ้อ มองนักเรียนหญิง…” เสียงนั้นลากเสียงยาว มีท่าทีว่าฉันเข้าใจแล้ว
ฟางเจิ้งหันไปมอง เห็นผู้ชายสวมชุดรปภ.กำลังยิ้มมองเขาอย่างเจ้าเล่ห์
ฟางเจิ้งรีบประนมสองมือเอ่ย “อมิตาพุทธ ประสกอย่าเข้าใจผิด อาตมากำลังหาคน”
“อ้อ? หาคน หาใครครับ ชื่อแซ่อะไร? ปีไหนห้องไหน? ให้ผมช่วยหาไหม?” หนุ่มรปภ.ทำเสียงหึๆ
ฟางเจิ้งอึ้งค้าง เขามาหาคนจริงๆ แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กพวกนั้นอยู่ปีไหนห้องไหน หนุ่มรปภ.ดูมีอะไรแอบแฝงอยู่ ถ้าตอบไม่ได้เดาว่าคงถูกไล่ไป ฟางเจิ้งเกิดความคิดขึ้นมา จึงตอบไปว่า “หวังคุนกับเฉินเหว่ย”
“หวังคุน? เฉินเหว่ย? ไอ้เด็กบ้าสองคนนั่น ท่านหาพวกเขาทำไมครับ” เดิมทีคิดว่าหนุ่มรปภ.ไม่น่าจะรู้จักสองคนนี้ ต่อให้รู้จักก็ไม่น่าจะคุ้นเคยมากนัก แต่เห็นสีหน้าที่ตื่นตัวเพิ่มมาของหนุ่มรปภ.แล้ว ฟางเจิ้งพลันตระหนักได้ว่าเขาเหมือนจะใช้ข้ออ้างพลาดแล้ว
ฟางเจิ้งตอบแกมถามว่า “พวกเขามีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
“ไม่มีอะไรครับ เล่นบาสเก่งไม่เลว แต่ก็แค่เล่นบาสเก่ง ที่เหลือไม่ต่างอะไรกับอันธพาล หาเรื่องต่อยตีทั้งวัน แทบไม่เรียนหนังสือกันเลย” หนุ่มรปภ. กล่าว
“เอ่อ…แล้วทำไมประสกถึงรู้จักพวกเขาดีจังเลย” ฟางเจิ้งงุนงง
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ทุกสามถึงห้าวันพวกเขาสองคนจะถูกลงโทษให้มายืนหน้าประตูนี่ พอนานเข้าก็ชินตา ว่าแต่ท่านเกี่ยวอะไรกับพวกเขา?” หนุ่มรปภ.ถาม
ฟางเจิ้งพูดไม่ออกอีกครั้ง เดิมทีคิดว่าตอนเขาเรียนหนังสือตัวเองจะดื้อมากแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะมีคนที่หนักยิ่งกว่า!
ขณะกำลังคุยกันอยู่นั้น เสียงเดาะลูกบาสดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงร้องตกใจและเสียงเชียร์!
ฟางเจิ้งหันไปมองก็พบสิ่งที่น่าตะลึง หวังคุนกับเฉินเหว่ยกำลังอยู่บนสนามบาส แม้สนามบาสโรงเรียนไม่ได้เปิดไฟ แต่เจ้าเด็กที่อยู่ไม่สุขพวกนี้ก็ยังใช้แสงไฟที่ส่องมาจากห้องเรียนช่วยให้เล่นบาสแบบสลัวๆ แต่สิ่งที่ทำให้เกิดเสียงกรีดร้องจริงๆ ไม่ใช่หวังคุนกับเฉินเหว่ย แต่เป็นร่างสีเงิน เมื่อมองดีๆ นั่นคือหมาป่าเดียวดาย! ไม่รู้ว่ามันทำอะไร นักเรียนกลุ่มใหญ่ถึงชี้มัน พวกหวังคุนกับเฉินเหว่ยต่างมีสีหน้าตกใจ
จากนั้นเห็นหวังคุนหยิบลูกบาสขึ้นมาโยนใส่หมาป่าเดียวดายโดยไม่เกรงกลัว แต่หมาป่าเดียวดายกระโดดขึ้น ใช้หัวโหม่งลูกบาสลอยไป เป้าหมายคือห่วงบาส! แต่มันออกแรงมากไป ลูกบาสไปชนเข้ากับแป้นบาสจนกระเด้งออก! เฉินเหว่ยหัวเราะเสียงดัง “ว่าแล้วเชียว ทึ่มจริงๆ”
พูดจบ เฉินเหว่ยกระโดดขึ้นแย่งลูกบาส แต่ตาลายเพราะมีร่างสีขาวเพิ่มเข้ามา ขณะเดียวกันยังได้ยินเสียงร้องตกใจประหนึ่งหม้อระเบิดดังข้างหู! หมาป่าเดียวดายกระโดดขึ้นสูงกว่าเฉินเหว่ย! ใช้หัวชนลูกบาสอีกครั้ง บดขยี้เฉินเหว่ยผู้ถูกขนานนามว่าไร้พ่ายใต้แป้นบาส! มันหมุนตัวกลางอากาศ ทำให้เฉินเหว่ยกินหางหมาป่าเข้าไปเต็มๆ หมาป่าเดียวดายเรียนรู้แล้วจึงไม่ได้ออกแรงอะไร มันใช้หัวรับลูกบาสไว้ ตัวพุ่งตามไปข้างหน้า ลูกบาสแทบจะลงห่วง!
ถึงจะไม่เข้า แต่ก็ยังเรียกเสียงฮือฮาได้!
“บ้าเอ๊ย! หมานี่เก่งชะมัด!”
“นี่มันหมาเหาะกลางอากาศ!”
“เจ้านี่รู้จริงว่าบาสเล่นยังไง คิดจะชู้ตบาสหลายครั้งเลย! ครั้งสุดท้ายจะดังก์ด้วย! เจ๋งสุด!”
“หมานี่กระโดดสูงมาก!”
“ราชาแป้นบาสถูกหมาแย่งแป้นบาสไปแล้ว แถมยังได้กินหางหมาอีก จิ๊ๆ…ไม่รู้ว่าเฉินเหว่ยจะรู้สึกยังไง”
………
ทุกคนสนทนากัน หมาป่าเดียวดายกับเฉินเหว่ยพากันลงพื้น หมาป่าเดียวดายเห็นว่าลูกไม่ลงห่วงจึงส่ายหาง มีท่าทีไม่พอใจนิดๆ เดิมทีคิดว่าเล่นบาสน่าจะง่ายมาก พอเล่นถึงรู้ว่ามีแค่แรงกับความเร็วก็ไม่มีประโยชน์…ยังต้องมีความแม่นยำด้วย หมาป่าเดียวดายเห็นฟางเจิ้งมองมา หางก็หุบเกร็งทันที รู้ว่าก่อเรื่องแล้วและเตรียมจะกลับไป
แต่เห็นหวังคุนกับเฉินเหว่ยวิ่งเข้ามา พากันยกนิ้วโป้งให้ “เจ๋ง!”
หมาป่าเดียวดายมองฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย กล่าวกับหนุ่มรปภ.ที่ตาค้างอ้าปากกว้างเช่นเดียวกันว่า “นั่นหมาของอาตมาเอง หมาอาตมาสนิทกับพวกเขา อืม อาตมาถือว่าเป็นเพื่อนทางอ้อมกับพวกเขา มาหาเพื่อนไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หนุ่มรปภ.มองฟางเจิ้งก่อนเหลือบมองบน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรแล้ว เขาเป็นเพียงพนักงานรักษาความปลอดภัย อย่างมากก็แค่กันคนน่าสงสัยไว้ข้างนอก ไม่มีอำนาจก้าวก่ายว่าฟางเจิ้งจะทำอะไรนอกประตู
หนุ่มรปภ.ไปแล้ว ฟางเจิ้งถอนหายใจโล่งอก ถึงหนุ่มรปภ.จะไม่มีอำนาจอะไร แต่ถ้ารุมเร้าเขาจริงๆ ก็เป็นปัญหาเหมือนกัน
ในเมื่อหมาป่าเดียวดายสร้างคุณูปการ ฟางเจิ้งย่อมไม่ต่อว่ามัน เขากวักมือเรียก หมาป่าเดียวดายพลันวิ่งกลับมาอย่างว่าง่าย พวกนักเรียนมองตามมาก็ต่างตกใจ ตอนที่เห็นหมาป่าเดียวดายกลับไปอยู่ข้างเณรวัยรุ่นและนั่งลงอย่างว่านอนสอนง่าย แต่ละคนมองฟางเจิ้งด้วยสายตาแปลกใจ
แม้อำเภอชิงสุ่ยจะมีวัดเช่นกัน แต่หลวงจีนในวัดไม่มาที่อำเภอชิงสุ่ยเลย ต่อให้มาพวกเขาก็ไม่เห็นเพราะกำลังเข้าเรียนอยู่ เมื่อจู่ๆ เห็นหลวงจีนจีวรขาว กลุ่มพวกนักเรียนจึงประหลาดใจอย่างยิ่ง แน่นอนว่าที่ประหลาดใจกว่านั้นคือ หลวงจีนฝึกหมาตัวหนึ่งให้ลอยกลางอากาศได้อย่างไร!
หวังคุนกับเฉินเหว่ยจำฟางเจิ้งได้ในแวบแรก หวังคุนพลันวิ่งมา ยืนอยู่ข้างหลังประตูก่อนเรียกว่า “เฮ้ พวก พวกเราเคยเจอกันตอนกลางวันนี่ใช่ไหม นายฝึกหมาเก่งมาก! เล่นบาสได้