The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 375 บิณฑบาต
ในขณะเดียวกัน ฟางเจิ้งตรงข้างสนามบาสมองไปบนชั้นสองเช่นกัน ก่อนหน้านี้หลู่ฮุยหันหน้ามา เขาก็มองตามสายตาหลู่ฮุย จึงเห็นดวงตาที่มีความปรารถนาคู่นั้นในซอกผ้าม่านพอดี ฟางเจิ้งเปิดเนตรสวรรค์กวาดตามองไป ว่างเปล่า…เปิดเนตรปัญญา บนหัวอีกฝ่ายก็ไม่มีดอกบัว มีเพียงแสงทองกลุ่มหนึ่ง เป้าหมายชี้มายังฟางเจิ้ง!
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นพลันยิ้ม เขารู้แล้วว่านี่ต่างหากคือเป้าหมายในภารกิจของเขา! โอกาสของอีกฝ่ายก็อยู่ที่ตัวเขาทั้งหมดเช่นกัน!
การแข่งบาสสนามนี้เล่นกันได้อย่างดุเดือด สองฝ่ายผลัดรุกกันไปมา เล่นกันไปทั่วสนาม สุดท้ายหวังคุนชนะทีมของเฉินเหว่ยไปได้อย่างฉิวเฉียด ทว่าก็ถูกเฉินเหว่ยบล็อกไปสองครั้งหนักๆ สองคนต่างฝ่ายต่างมีข้อได้เปรียบกัน ยังคงไม่มีใครยอมใคร จึงนัดแข่งกันอีกครั้ง พรุ่งนี้มาอีก!
ฟางเจิ้งเข้าใจแล้ว แม้หวังคุนกับเฉินเหว่ยจะพูดจาร้ายกาจ ความจริงแล้วก็เพื่อหาเหตุผลดึงตัวสาวๆ มาเชียร์เสริมบารมีให้ตัวเอง แถมยังได้เล่นบาสสนุกๆ ด้วยก็เท่านั้น…เห็นแบบนี้แล้วฟางเจิ้งได้แต่ยิ้ม ไม่ได้ว่าอะไร
“ไต้ซือ วันนี้เล่นสนุกดี พวกเราจะไปกินข้าวกัน ไปด้วยกันไหมครับ?” หวังคุนเช็ดเหงื่อบนหน้าพลางถาม
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อาตมาจะเดินเล่นแถวๆ นี้ ทุกคนไปเล่นเถอะ”
พวกหวังคุนจะไปกินที่ร้านอาหารหนึ่งมื้อ เจ้าเด็กพวกนี้ต้องสั่งเป็ดไก่ปลาเนื้อแน่ ฟางเจิ้งเลยไม่สะดวกนิดๆ
หวังคุนก็เข้าใจเหตุผลนี้ แอบยัดเงินให้ฟางเจิ้งไปร้อยหยวน “ไต้ซือ ผมรู้ว่าท่านจน พวกท่านรับบิณฑบาตไหม? ท่านเอานี่ไปเถอะ อยากกินอะไรก็ซื้อเอา เอ่อ…ตอนเย็นเจอกันที่หน้าบ้านผมนะ”
พูดจบ หวังคุนเรียกคนอื่นๆ แล้วจากไปพร้อมกัน
พวกผู้หญิงเห็นฟางเจิ้งไม่ตามมาด้วย แต่ละคนผิดหวังเล็กน้อย ในมุมมองของพวกเธอ การหยอกล้อฟางเจิ้งและดูหมาตัวใหญ่สีขาวดีกว่าฟังเจ้าพวกนี้พูดโม้ตั้งเยอะ
คนเล่นบาสไปแล้ว ผ้าม่านบนชั้นสองจึงถูกดึงปิดเงียบๆ
ฟางเจิ้งยิ้ม เดินไปยังประตูของตึกใหญ่
“อาจารย์ พวกเรามาทำอะไร ตอนนี้เราควรไปหาข้าวกินสักมื้อไหม?” หมาป่าเดียวดายพูด
ฟางเจิ้งบอก “นายรู้จักแต่กิน อยากกลับขึ้นเขารึเปล่า?”
หมาป่าเดียวดายรีบพยักหน้า “อยาก! ถึงลงเขาครั้งนี้จะแปลกใหม่ก็เถอะ แต่รู้สึกซับซ้อนมาก ไม่สบาย ไม่มีอิสระเหมือนบนเขาเลย”
“กฎสังคมมนุษย์ย่อมมากกว่าบนเขา ดังนั้นถึงมีคนหนีการผูกมัดของโลกหลบไปในป่าเขาลึก ส่วนนายก็เพราะไม่ชินเท่านั้น เอาล่ะ ไปเถอะ คนบนตึกน่าจะเป็นเป้าหมายของอาตมาครั้งนี้ เสร็จภารกิจแล้วพวกเราจะได้กลับกัน” ฟางเจิ้งพูด
“ดีเลย!” หมาป่าเดียวดายไม่ชินกับสังคมมนุษย์จริงๆ มันวิ่งเล่นไปมาบนเขาได้ เข้าหมู่บ้านก็ยังได้รับการต้อนรับจากแต่ละครัวเรือน แต่ในเมืองนี่ มันออกห่างจากฟางเจิ้งได้ไม่เกินสิบก้าว กลัวว่าไปไกลหน่อยแล้วจะหลงอยู่ในเมืองซึ่งเหมือนเขาวงกตนี้ ที่สำคัญคือไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินบนเขา แต่อยู่ข้างล่างไม่ว่าอะไรก็ต้องใช้เงิน อีกทั้งพวกเขายังเหมือนจะขาดแคลนเงินมากที่สุดด้วย…การกินยังมีปัญหา แล้วจะไปพูดถึงอิสระอะไร?
ฟางเจิ้งยืนอยู่หน้าประตูห้อง 203 ตรึกตรองครู่หนึ่งแล้วจึงเคาะประตูดังก๊อกๆ
“ใคร?” เสียงผู้ชายที่เจือความรำคาญอยู่มากดังขึ้น ประตูเปิดออกตามมา ตอนนี้หลู่ฮุยยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าหมองเศร้า
หลู่ฮุยเงยหน้าขึ้น เห็นหลวงจีนหนุ่มน้อยสวมจีวรขาวรูปหนึ่งยืนตรงปากประตู ข้างๆ ทั้งยังมีหมาป่าตัวใหญ่คล้ายลูกวัวยืนอยู่ มันน่าตกใจนิดๆ ทว่าหลวงจีนกลับหน้าตาดี ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มบางๆ ดูอบอุ่นอ่อนโยน เจิดจ้าจนคนเกิดความอบอุ่นในใจเล็กน้อย
ทว่าหลู่ฮุยขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “มีธุระอะไร?”
ฟางเจิ้งประนมสองมือกล่าว “อมิตาพุทธ อาตมามาจากทางตะวันออกเฉียงเหนือ เดินมาตลอดทาง หิวกระหาย อยากจะขอบิณฑบาตอาหารสักมื้อ”
‘ปัง!’ ประตูถูกปิด!
ฟางเจิ้งยืนเก้อเขินอยู่ที่เดิม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขอบิณฑบาตในความหมายที่แท้จริง เมื่อก่อนอยู่หมู่บ้านเอกดรรชนีจะเดินตามหลวงตาหนึ่งนิ้วบิณฑบาตในหมู่บ้าน นั่นเรียกว่าการบิณฑบาตไม่ได้ อย่างมากสุดก็คือการรับของมาจากแต่ละบ้านนิดหน่อยเท่านั้น ตอนนี้ออกปากเป็นครั้งแรก แต่กลับถูกปิดประตูไม่ต้อนรับ
หมาป่าเดียวดายเห็นฟางเจิ้งเก้อเขินก็แอบหัวเราะ ฟางเจิ้งตบๆ หัวมันไป “เที่ยงวันนี้นายไม่ต้องกินข้าว”
หมาป่าเดียวดายผงะ
“อาจารย์ จะโทษศิษย์ไม่ได้นะ?” หมาป่าเดียวดายพูดด้วยความคับอกคับใจ
ฟางเจิ้งบอก “ไม่โทษนายอยู่แล้ว ก็เลยแค่ไม่มีข้าวกลางวันกิน ถ้าโทษนาย มื้อเย็นจะไม่มีด้วย”
หมาป่าเดียวดายหมดคำจะพูดแถมน้ำตานอง มันเห็นฟางเจิ้งถูกปิดประตูไม่ต้อนรับก็ยังไม่ไปไหน จึงถามอย่างแปลกใจ “อาจารย์ ทำไมพวกเรายังไม่ไปล่ะ? เขาปิดประตูใส่แล้ว”
ฟางเจิ้งยิ้ม “ต้องเปิดประตูแน่”
หมาป่าเดียวดายไม่เข้าใจ…
ข้างในห้อง
“หลู่ฮุย ใครน่ะ?” ซูอวิ๋นเดินออกมาจากห้องครัว ถามด้วยความอยากรู้
“หลวงจีนปลอม ยังบอกอีกว่าจะขอบิณฑบาตอะไรไม่รู้…” หลู่ฮุยพูดอย่างรำคาญ
“หลวงจีนบิณฑบาต?” ซูอวิ๋นอึ้งงัน สมัยนี้หลวงจีนลงเขามาบิณฑบาตน้อยมาก เพราะหลวงจีนในวัดส่วนใหญ่ได้รับเงินเดือนจากทางการ แถมยังมีผู้มีศรัทธาบริจาคให้ มีชีวิตความเป็นอยู่ไม่เลวเลย
“อืม หลวงจีนสมัยนี้มีชีวิตอิสระจะตายไป จะมาบิณฑบาตจากไหน? พวกลวงโลกน่ะสิ?” หลู่ฮุยพูด
ซูอวิ๋นขมวดคิ้ว “หลู่ฮุย อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธสิ ดูก่อนค่อยว่ากัน ถ้าเป็นหลวงจีนจริงๆ ก็ให้เงินเขานิดหน่อย ถือว่าสั่งสมบุญให้ลูกเถอะ”
หลู่ฮุยอยากพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็มองประตูห้องของหลู่เจิ้งแวบหนึ่งแล้วเงียบไป
ซูอวิ๋นเห็นแบบนั้นจึงค่อยไปเปิดประตู ตรงหน้าประตูมีหลวงจีนหนุ่มน้อยหน้าตาขาวสะอาดรูปหนึ่งยืนอยู่จริง ทำให้เบื้องหน้าสว่างไสว
ซูอวิ๋นยิ้มเอ่ย “หลวงพี่จะบิณฑบาตเหรอคะ ไม่ทราบว่าจะบิณฑบาตอะไรคะ”
ฟางเจิ้งยิ้มบางๆ “อาตมาแค่อยากบิณฑบาตข้าวสักมื้อ น้ำสะอาดหนึ่งอึกก็พอ”
ซูอวิ๋นได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกในใจ ไม่ได้มาขอเงินก็ดี ถ้ามาขอเงินมีโอกาสสูงว่าจะเป็นพวกต้มตุ๋น! ถ้าเณรที่เจิดจรัสและสุภาพแบบนี้เป็นพวกต้มตุ๋น คนเป็นแม่อย่างซูอวิ๋นต้องเป็นทุกข์ไปช่วงหนึ่งเลย
ซูอวิ๋นรีบเอียงตัว “แบบนี้เอง พวกเราเพิ่งเตรียมกินข้าวกัน หลวงพี่เชิญเข้ามาก่อนค่ะ”
หลู่ฮุยได้ยินคำพูดฟางเจิ้งชัดเจน แต่เขาไม่คิดว่าฟางเจิ้งจะมาขอบิณฑบาตข้าวจริงๆ มักจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายมาขอเงิน! หลวงจีนปลอมแบบนี้เขาเจอบนถนนมาไม่น้อยแล้ว แต่ที่พาหมามาหลอกด้วยและมาหลอกถึงหน้าประตูบ้าน เขาเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก หลู่ฮุยไม่ได้ว่าอะไร เพียงมองอยู่ด้านข้างเงียบๆ ขอเพียงฟางเจิ้งขอเงินหรือซูอวิ๋นให้เงิน เขาจะไล่เณรนี่ไปทันที! ไม่ให้เงินแม้แต่นิดเดียว! จะยั่วโมโหจนอีกฝ่ายไม่พอใจ แถมจะยังแจ้งตำรวจจับด้วย!
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าหลู่ฮุยกำลังคิดอะไร เข้าประตูมาแล้วก็พอ เขาพาหมาป่าเดียวดายเข้ามาข้างใน ก่อนนั่งลงภายใต้การนำของซูอวิ๋น
ซูอวิ๋นรินน้ำให้ฟางเจิ้งดื่มแก้วหนึ่ง ฟางเจิ้งดื่มไปอึกใหญ่ทันที เขากระหายจริงๆ ดูแข่งบาสข้างล่างมาตั้งนาน แสงแดดก็ร้อนแรงเหลือเกิน ไม่กระหายน้ำสิแปลก ครึ่งแก้วที่เหลือเขาเทใส่ปากหมาป่าเดียวดาย เจ้านี่จำปากแจ๊บๆ อยากกินอีก…