The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 378 เริ่มปฏิบัติการ
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 378 เริ่มปฏิบัติการ
ในความเป็นจริงก็เป็นแบบนี้ เมื่อมีเพื่อนในชั้นเรียนถูกคนชั้นเรียนอื่นรังแก สุดท้ายคนที่ออกไปช่วยคือเพื่อนแถวสุดหลังสุด เอ่ยโดยใช้คำพูดพวกเขาคือ ‘นักเรียนห้องเรา พวกเรารังแกได้ คนอื่นห้ามแตะ!’
ดังนั้นถึงได้พูดว่าความดีเลวของคนจะแบ่งแยกตามผลการเรียนไม่ได้
คิดถึงตรงนี้ ฟางเจิ้งยิ้มดีใจกว่าเดิม และเล่าแผนการให้หวังคุนฟัง หวังคุนคิดๆ แล้วก็เสริมให้อีกหลายจุด สองคนเดินไปพลางปรึกษาไปพลาง จนท้ายที่สุดมีแผนการสมบูรณ์แบบ จากนั้นหวังคุนวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน ปิดทีวีและเครื่องเสียง ลากคนกลุ่มใหญ่ไปคุยเรื่องนี้ สุดท้ายเห็นด้วยกันทุกคน!
ฟางเจิ้งมองเด็กหนุ่มเลือดร้อนและเด็กสาวกลุ่มนี้ ภายในใจเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง! ขณะเดียวกันยังมีเสียงตะโกนดังในใจยิ่งกว่าเดิม ‘ใครบอกว่ายุคของหนุ่มสาวชาวจีนจบสิ้นแล้ว? จบกับบิดาแกสิ!’
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันใหม่มาถึง
หลู่ฮุยนั่งไม่เป็นสุขจนเดินไปมาในห้องรับแขก สุดท้ายกัดฟันพูดว่า “ซูอวิ๋น เราออกไปเดินเล่นกันเถอะ”
“หา? แล้วเสี่ยวเจิ้งจะทำยังไง” ซูอวิ๋นตะลึงงัน
หลู่ฮุยตอบ “ไม่เป็นไร ไปเถอะ ผมจะรอใต้ตึก”
เอ่ยจบหลู่ฮุยจึงลงตึกไป เมื่อลงมาก็เห็นพวกหวังคุนมาถึงแล้ว หลังจากตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งถึงกัดฟันเดินเข้าไป
เห็นหลู่ฮุยเดินเข้ามา พวกหวังคุนกับเฉินเหว่ยทำอะไรไม่ถูกนิดๆ พวกเขาไม่ได้ถูกหลู่ฮุยไล่แค่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับหลู่ฮุยจะรู้สึกไม่เป็นตัวเอง เกิดความรู้สึกกดดัน
ชั่วขณะที่ทุกคนทำอะไรไม่ถูกนั้น หลู่ฮุยมาอยู่ตรงหน้าหวังคุนกับเฉินเหว่ย พลันโค้งตัวเก้าสิบองศาแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณพวกเธอมาก เมื่อก่อนฉันเป็นคนผิดเอง”
พอเห็นดังนั้น และได้ยินคำขอโทษจากหลู่ฮุย พวกหวังคุนกับเฉินเหว่ยต่างงุนงง นี่มันเรื่องอะไรกัน? แต่ไม่นานพวกเขาก็ตั้งสติได้ รีบหลบออกไป พวกเด็กสาวเข้าไปประคองหลู่ฮุย
หวังคุนพูดพลางเกาหัวอย่างอักอ่วน “คุณอาอย่าพูดแบบนี้เลย ก่อนหน้านี้พวกเราก็ทำไม่ถูกเหมือนกัน”
เฉินเหว่ยพยักหน้าตามราวกับนกน้อยจิกข้าว “อืมๆๆ…”
เห็นท่าทางทึ่มๆ ของเฉินเหว่ยแล้ว ทุกคนอดหัวเราะไม่ได้ บรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในตอนแรกพลันหายไปกับอากาศ
“คุณอา ออกไปเดินเล่นกับป้าเถอะค่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นก็หลบไปก็ได้ ที่เหลือให้พวกเราจัดการเอง” เด็กสาวผมเปียหางม้าพูด
“ขอบคุณพวกเธอด้วยนะ” ในใจหลู่ฮุยนึกปลงอนิจจังนัก ก่อนหน้านี้เขาไม่เป็นมิตรกับเด็กพวกนี้ ไม่ว่ามันจะเกิดจากความคิดอะไร เขาก็เห็นแก่ตัวและไร้เหตุผลเกินไป ถึงตอนนี้เด็กพวกนี้กลับช่วยเหลือเขาโดยไม่ถือสาเรื่องเมื่อก่อน นี่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเหมือนใช้ชีวิตบนหลังสุนัขมาหลายสิบปี เกิดความละอายใจในตัวเอง เมื่อก่อนเขามองพวกหวังคุนเป็นกลุ่มนักเรียนอันธพาลที่ไม่ร่ำเรียนหนังสือ ตอนนี้มองอีกครั้ง เขารู้สึกแค่ว่าหน้าแดง…แค่เห็นแก่เล่นก็ไม่ใช่เด็กดีแล้วหรือ? เห็นได้ชัดว่าคำตอบคือไม่แน่นอน!
ซูอวิ๋นผลักประตูห้องหลู่เจิ้ง หลู่เจิ้งยังคงนอนเหม่อบนเตียง พอซูอวิ๋นเข้ามา เขาเพียงแค่มองแวบหนึ่งเท่านั้น
ซูอวิ๋นมาที่หัวเตียง พูดเบาๆ ว่า “เสี่ยวเจิ้ง แม่จะออกไปกับพ่อเดี๋ยวนะ ลูกอยู่บ้านดีๆ อีกเดี๋ยวเราก็กลับมาแล้ว”
หลู่เจิ้งไม่ตอบ แต่ซูอวิ๋นรู้ว่าเขาน่าจะได้ยินชัดเจนแล้ว
ซูอวิ๋นถอนหายใจ ออกจากบ้านลงมาถึงใต้ตึก เธอเห็นหลู่ฮุยอยู่กับพวกหวังคุน จึงพลันงงงันนิดๆ หลู่ฮุยไปอยู่กับเด็กพวกนี้ที่ปกติเขาจะคอยดูถูกได้อย่างไร?
หลู่ฮุยเห็นซูอวิ๋นแต่ไม่ได้อธิบายอะไร เพียงลากเธอออกไป ทว่าไปไม่ไกลนัก ถึงอย่างไรสองคนนี้ก็ยังไม่วางใจหลู่เจิ้ง จึงซ่อนอยู่ในมุมแอบมองอยู่ข้างสนามบาส หลู่ฮุยหยิบมือถือออกมาเชื่อมวิดีโอผ่านอินเทอร์เน็ต ดูอากัปกิริยาของหลู่เจิ้ง หลู่ฮุยไม่วางใจหลู่เจิ้งแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะเมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านข่าวมาว่ามีเด็กเก็บกดจำนวนหนึ่งเลือกใช้วิธีฆ่าตัวตาย นี่ยิ่งทำให้เขาใจคอไม่ดีจึงแอบติดตั้งกล้องไว้ ถ้าเกิดอะไรไม่ปกติขึ้นจะได้รีบกลับไป
ซูอวิ๋นก็เป็นห่วงตรงนี้เหมือนกัน จึงไม่ไปทำงาน แต่จะคอยเฝ้าหลู่เจิ้งทุกวัน
ขณะเดียวกัน พวกหวังคุนกับเฉินเหว่ยมองตากัน หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน แล้ววิ่งเฮโลไปข้างนอก ไม่นานนัก…
หลู่เจิ้งกำลังนอนมองฝ้าเพดานอยู่บนเตียง ตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าตนคิดอะไร หัวสมองราวกับภาพยนตร์ เริ่มฉายจากในวัยเด็กที่เตะบอล เล่นบาส วิ่งเล่นกระโดดโลดเต้น…จนกระทั่งถึงวันนั้นที่โดนรถชน จากนั้น จากนั้นก็ไม่มีแล้ว…ทุกอย่างว่างเปล่า เขาไม่รู้ว่าผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างไร มันเลือนรางไม่ชัดเจน มองไม่เห็นแสงสว่าง ทุกอย่างเป็นสีขาวดำไปหมด
ถ้ายังมีสีอื่น นั่นคงเป็นสีส้มเหลือง สีส้มที่เหมือนเปลือกส้มแก่ปลายฤดูใบไม้ร่วงวางตากแห้งอยู่บนพื้น
ถ้ายังมีเสียง นั่นคงเป็นเสียงตึกๆ ราวกับหัวใจเต้น…
แต่พอนึกดีๆ ยังมีอีกเสียงหนึ่งที่เขาอยากได้ยิน นั่นคือ…
“หวังคุน ไอ้บ้านี่ อย่ามาแกล้งแสดง! วันนี้ฉันจะบล็อกแกให้มิดเลย!”
“เฉินเหว่ย วันนี้ฉันจะให้แกเข้าใจว่าอะไรคือโดนแต้มทับจนตาย! จากนี้พอเจอพี่แล้วนายจะได้เข้าใจว่าเทพแห่งบาสคืออะไร!”
“ถุย! แกมันทุเรศ!”
“พวกนายสองคนไม่ต้องด่ากัน ถ้าเก่งกันนักก็เริ่มเลย!”
“ใช่ๆๆ!”
“หวังคุนสู้ๆ”
“เฉินเหว่ยนายหล่อที่สุดเลย สู้ๆ”
เสียงครึกครื้นพลันดังมาจากข้างนอก เสียงที่คุ้นเคย เสียงตะโกนฮึกเหิม เสียงตะโกนของเด็กหนุ่มสาว หลู่เจิ้งพลันตื่นจากการท่องฝัน ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ย้ายรถเข็นมาที่หน้าต่างแล้วเปิดผ้าม่าน แต่ว่า…
“นี่…” หลู่เจิ้งตะลึงค้างอยู่กับที่
เขาเห็นว่าบนหน้าต่างไม่รู้ถูกใครพ่นบางอย่างไว้ ทำให้มองข้างนอกไม่ชัด แต่พอเห็นอยู่ว่ามีคนกลุ่มใหญ่กำลังอยู่บนสนามบาส
หลู่เจิ้งที่ปกติสงบนิ่งมาตลอดร้อนใจแล้วในตอนนี้! เขาพยายามผลักหน้าต่าง แต่เปิดไม่ออก เขาที่ขาไม่ดีก็เช็ดกระจกไม่ได้ด้วย ด้วยความจำใจ หลู่เจิ้งกัดฟันนั่งรถเข็นออกจากห้อง นี่คือการออกจากห้องครั้งแรกของเขา พอเห็นห้องรับแขกที่คุ้นตาก็เห็นตัวเองยืนอยู่ข้างผนัง กอดลูกบาสยิ้มร่าเริง เขาส่ายหน้าเย้ยเยาะตัวเอง ก่อนจะเข็นรถมาข้างหน้าต่างห้องรับแขก แต่สิ่งที่ทำให้เขาโกรธคือหน้าต่างห้องรับแขกก็ถูกทำให้ขมุกขมัวเหมือนกัน มองไม่เห็นอะไรเลย!
หลู่เจิ้งอดด่าไม่ได้ “สารเลว! สารเลวกันทุกคน!”
หลู่เจิ้งมองประตู จากนั้นมองสองขาตัวเองอีกครั้ง หลังใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ถึงพูดเบาๆ “เราแอบดูตรงมุมได้ พวกเขามองไม่เห็นเราหรอก”
หลู่เจิ้งเหมือนหาเหตุผลพบแล้ว เขามาที่หน้าประตู ผลักประตูออก แต่พอเปิดประตูกลับพบสุนัขสีขาวตัวใหญ่นั่งยองอยู่
“หือ?” หลู่เจิ้งตกใจสะดุ้ง สุนัขตัวใหญ่ขนาดนี้ ถ้ากระโจนเข้ามาจะทำอย่างไร? แต่พอมองดีๆ แล้ว หมานี่ดูคุ้นตานิดๆ หลู่เจิ้งดูแข่งบาสทุกวัน ฟางเจิ้งเคยปรากฏตัวข้างสนามบาส ทำไมเขาจะมองไม่เห็นสุนัขสีขาวตัวใหญ่โดดเด่นนี่?