The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 4
ตอนที่ 4 เปิดเผยความลับสวรรค์ไม่ได้
เด็กสาวอีกคนค่อนข้างเงียบ สวมแว่นตา มีท่าทีสุภาพเรียบร้อยดั่งคนในภาพวาด
เธอส่ายหน้าพลางว่า “อย่าพูดแบบนั้น คนดีๆ ก็มี”
“ช่างเถอะ ตอนนี้ในวัดมีแต่หลวงจีนอ้วนฉุ ฉันไม่เชื่อเรื่องพุทธแล้ว ฉันเปลี่ยนศาสนาเป็นพระเจ้าแล้ว จากนี้ฉันคือบุตรของพระเจ้า ไปที่ไหนก็มีพระเจ้าคุ้มครอง” เด็กหนุ่มตัวใหญ่หน้าเรียวยาวพูดจบก็ขยับไม้กางเขนตรงคอ
“เอาล่ะ มาพูดจาไม่ดีแบบนี้หน้าประตูวัดคนอื่นไม่ดีหรอก ฉันเหนื่อยจนเดินไม่ไหวแล้ว เข้าไปพักกันหน่อยเถอะ พวกเธอจะเข้าไปกันหรือเปล่า?” เด็กหนุ่มหน้าสิววัยรุ่นถาม
“หูหานพูดถูก ไป เข้าไปดูกัน” เด็กหญิงร่างท้วมกล่าว
เด็กหนุ่มหน้าเรียวยาวเอ่ยต่ออย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปดูกัน พักสักเดี๋ยว ดื่มน้ำสักหน่อย แล้วเราค่อยเริ่มทำอาหารป่ากินกัน กินเสร็จจะได้ตั้งแคมป์”
พอได้ยินเรื่องตั้งแคมป์กับทำอาหารป่า วัยรุ่นเหล่านี้ต่างพากันตื่นเต้น
เพียงแต่ว่ายิ่งใกล้วัดมากเท่าไร พวกเขาต่างรู้สึกจิตใจสงบมากขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนรุ่ม ในตอนแรกค่อยๆ หายไป จนเดินมาถึงประตูวัดเอกดรรชนี พวกเขาต่างสงบลงโดย ไม่รู้ตัว เสียงพูดคุยน้อยลง เด็กหนุ่มใบหน้าเรียวยาวมองป้ายวัดแวบหนึ่ง “ศาลเจ้า เอกดรรชนี? เป็นที่ที่มีนิ้วเดียวจริงๆ เล็กมาก…เล็กกว่าโบสถ์ทุกที่ที่ฉันไปอีก”
“เอาเถอะ รู้แล้วว่านายเชื่อพระเจ้า มาถึงถิ่นคนอื่นแล้วพูดให้น้อยๆ ลงหน่อย” เด็กสาวเรียบร้อยต่อว่า
เด็กหนุ่มหน้าเรียวยาวไม่คิดอย่างนั้นจึงแค่นเสียงขึ้นจมูกสองครั้งแล้วเดินขึ้นไป
“อวิ๋นจิ้ง แปลกจริงๆ พอมาถึงวัดแล้วความกลุ้มในใจฉันหายไปแล้ว เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก มันเงียบสงบ ความรู้สึกสบายใจแบบนี้มันเหมือนกับว่าวางเรื่องทุกข์ใจไว้ที่นี่ได้ทุกเรื่องเลย” เด็กสาวร่างท้วมรั้งเด็กสาวเรียบร้อยพลางพูดเบาๆ
“เสี่ยวเจวียน ฉันก็รู้สึกแปลกเหมือนกัน พอเข้ามาแล้วรู้สึกสบายไปทั้งตัว เสียงดังเอะอะข้างนอกหายไปหมด แม้แต่สวนสาธารณะธรรมชาติยังไม่มีแบบนี้เลย” อวิ๋นจิ้งตอบเบาๆ
“ฉันว่านี่น่าจะเป็นห้วงสมาธิในตำนาน ไม่แน่ว่าที่นี่อาจจะมีไต้ซือ” เด็กหนุ่มหน้าสิววัยรุ่นนามหูหานเอ่ยต่อ
“หูหาน นายอย่าไปตามหม่าเจวียนกับอวิ๋นจิ้งเลย ถ้าที่นี่มีไต้ซือ ฉันจะเลี้ยงข้าวเขาสักมื้อ! ฉันว่านะมันเป็นเพราะในใจพวกเธอต่างหาก พอเข้าวัดหรือวิหารอะไรพวกนี้แล้วในใจเลยเกิดความยำเกรง หรือไม่ก็เป็นธรรมชาติที่จะคิดว่าพระเจ้าปกป้อง จิตใจเลยมีที่พึ่งพาไม่เป็นทุกข์ก็เท่านั้น” เด็กหนุ่มหน้ายาวกล่าว
“เอ๋? จ้าวต้าถง ที่นายพูดมันก็มีเหตุผลอยู่บ้างเหมือนกันนะ ไม่อยากเชื่อว่าปีนเขาครั้งนี้ นายจะเป็นนักปรัชญาไปแล้ว” หม่าเจวียนพูดหยอกล้อพลางหัวเราะอิอิ
จ้าวต้าถงเงยหน้าขึ้น “จริงๆ ฉันก็เป็นนักปรัชญาอยู่แล้ว!”
“อมิตพุทธ คุณโยมทั้งหลาย อาตมาฟางเจิ้ง เจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า” ฟางเจิ้งก็ไม่เคยได้รับการอบรมพุทธศาสนาขั้นพื้นฐานมาก่อน เคยเห็นแต่จากละครในโทรทัศน์ แล้วก็ทำตามพูดตามหลวงจีนหนึ่งนิ้วในเวลาปกติ
“หืม? นายเป็นหลวงจีนที่นี่เหรอ? ทำไมฉันคิดว่านายอายุไม่มากไปกว่าฉันสักเท่าไรเลยล่ะ? แล้วยังเป็นเจ้าอาวาสอีก? ขี้โม้ล่ะมั้ง?” จ้าวต้าถงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“จ้าวต้าถง อย่าทำตัวไร้มารยาทแบบนี้นะ!” ฟางอวิ๋นจิ้งดึงจ้าวต้าถงไว้
จ้าวต้าถงไม่คิดดังนั้นจึงพูดต่อ “ฉันก็ไม่ได้เสียมารยาทอะไรนี่ หรือว่าที่ฉันพูดไม่จริง?”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นเพิ่งจะขมวดคิ้วก็ได้ยินเสียงจากระบบ “เป็นเจ้าอาวาส เป็นไต้ซือในอนาคต จะมาไม่พอใจเพราะเรื่องเล็กๆ แบบนี้ไม่ได้ ควรจะใจกว้าง ให้อภัยทุกสิ่ง”
‘คนอื่นมาพูดแบบนี้ ฉันขมวดคิ้วก็ไม่ได้เหรอ?’ ฟางเจิ้งถามในใจ
“ไม่ได้ นี่คือความรู้พื้นฐานของไต้ซือ หากนายทำแบบนี้ เมื่อภารกิจสำเร็จแล้วจะถูกหักคะแนน”
‘เวรจริงๆ นี่นายขู่ฉันเหรอ!’ ฟางเจิ้งด่าในใจ
ระบบเมินฟางเจิ้ง ไม่โต้ตอบอะไรอีก
ฟางเจิ้งว่าในใจด้วยความโกรธ ‘อย่าคิดนะว่าจะขู่ฉันได้!’ พูดจบ ฟางเจิ้งก็พยายามท่องอยู่ในใจ จิตใจดั่งหัวใจเยือกแข็ง ฟ้าถล่มจงนิ่งเฉยไว้…จากนั้นพูดขึ้นด้วยสีหน้าสุภาพอ่อนโยน “อาตมาอายุพอๆ กับพวกโยมจริงๆ คุณโยม วัดนี้เป็นเพียงวัดเล็ก มีแค่อุโบสถกับลานวัดที่เปิดให้กับคนภายนอก โยมเชิญตามสบาย”
ฟางเจิ้งตรึกตรองอยู่ชั่วครู่แล้วก็คิดจะบอกไปอีกว่าหากมีเรื่องอะไรให้มาเรียกได้ แต่ระบบกลับกระโดดออกมา “เป็นไต้ซือ นายควรจะเป็นที่เคารพ ไม่ใช่สามเณรที่จะให้ใครเรียกไปๆ มาๆ ไม่ว่าเมื่อไรก็ห้ามทิ้งฐานะตัวเอง”
จากนั้นฟางเจิ้งก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปทันที ก่อนจะหมุนตัวกลับ เพียงแต่ทันทีที่หมุนตัวกลับมีสีหน้าไม่สบายใจ ไม่ใช่เพราะศาสนิกชนพวกนี้ แต่เป็นเพราะระบบ! ไม่ได้การแล้ว นี่มันจะเอาเปรียบกันเกินไปแล้ว!
“เจ้าอาวาส รอเดี๋ยวค่ะ ขอถามหน่อยว่าที่นี่นับถือพระโพธิสัตว์แขนงใดคะ?” ตอนนี้เองเสียงเด็กสาวก็ดังแว่วมา
ฟางเจิ้งรีบเก็บความคิดชั่วร้ายทางสีหน้าไปก่อนหมุนตัวกลับด้วยสีหน้าอบอุ่น มองหม่าเจวียนที่ถามเมื่อครู่พลางตอบกลับอย่างนุ่มนวล “วัดนี้นับถือพระแม่กวนอิม คุณโยมยังมีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า?”
“ไม่แล้วล่ะ พวกเราไปดูเองดีกว่า นี่เณรน้อย นายไปเล่นเถอะ” จ้าวต้าถงพูดขึ้น
ความโกรธในใจฟางเจิ้งพุ่งพรวด แต่ก็อดกลั้นเอาไว้ เพราะระบบกระโดดออกมาอีกแล้ว “อดกลั้นไว้!”
‘ไอ้เวรเอ๊ย!’ ฟางเจิ้งด่าในใจ จากนั้นระงับความโกรธไว้ ขณะจะพูดอะไรบางอย่างพลันอึ้งไป
นัยน์ตามีภาพวูบผ่าน เห็นหม่าเจวียนเดินออกมาจากอุโบสถแล้วสะดุดธรณีประตู ศีรษะดิ่งลงพื้นกระแทกกับบันไดประตู หัวแตกเลือดนอง…แม้ไม่ถึงแก่ชีวิตแต่ก็เจ็บสาหัส พอมองหม่าเจวียนอีกครั้ง ตรงระหว่างคิ้วเป็นสีแดงคล้ำ
ฟางเจิ้งจะพูดบางอย่าง แต่ระบบชิงพูดก่อน “เห็นความลับสวรรค์ได้ แต่พูดไม่ได้ มิเช่นนั้นจะถูกลดอายุขัย เสื่อมสภาพทางเพศ!”
‘อะไรวะเนี่ย ระบบ นายมันขี้โกงชะมัด!’ ฟางเจิ้งใกล้จะบ้าแล้ว ระบบทรมานกันเกินไป ดังนั้นจึงได้แต่กลืนคำพูดตรงริมฝีปากไป หลังมองหม่าเจวียนเงียบๆ ปราดหนึ่งแล้วก็พูดขึ้นว่า “คุณโยมจงระวังทุกเรื่อง วันนี้อาจจะมีภัยนองเลือด”
“ไอ้หลวงจีนเหม็นโฉ่! แกว่าไงนะ? เชื่อไหมว่าฉันจะให้แกนองเลือดเดี๋ยวนี้เลย?” จ้าวต้าถงโกรธใหญ่แล้ว รูดแขนเสื้อขึ้นเผยกล้ามเนื้อ มีท่าทีโกรธจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ ประกอบกับสีหน้าแบบนี้แล้วจึงดูมีพลังขึ้นมาหลายส่วน
ฟางเจิ้งกำลังจะมองค้อนแต่ก็ระงับเอาไว้โดยพลัน ตามนิสัยของระบบแล้วเดาว่าไม่น่าจะยอมให้เขาแสดงสีหน้าที่เป็นการดูถูกชื่อเสียงไต้ซือ ดังนั้นจึงอดกลั้นเพลิงโทสะไว้อย่างแน่วแน่ มองจ้าวต้าถงด้วยจิตใจสงบ จากนั้นส่ายหน้าพลางว่า “พูดในสิ่งที่ควรจะพูดแล้ว พวกโยมตามสบาย”
จากนั้นหมุนตัวจากไป
คล้อยหลัง ฟางเจิ้งได้ยินหม่าเจวียนพูดด้วยความโมโห “หลวงจีนนี่น่ารังเกียจชะมัด! มีอย่างที่ไหนกันมาแช่งคนอื่นแบบนี้! อุตส่าห์คิดว่าสง่าอยู่บ้าง ดูเป็นมิตร ให้คนอื่น สบายใจ แต่ดูแล้วคงจะเป็นพวกลวงโลก!”
“ฉันก็บอกแล้วนี่ หลวงจีนสมัยนี้มีแต่พวกลวงโลก! มีของจริงที่ไหนกัน? รู้รึยังว่าทำไมเมื่อกี้ฉันถึงให้เขาไสหัวไปไวๆ? คงจะออกมาแล้วก็…พวกเธอคงไม่รู้หรอก ตอนแรกฉันเคยไปมาหลายวัดแล้ว หลวงจีนก็มีแต่แบบนี้ทั้งนั้น! พูดว่าเธอจะมีภัยนองเลือดให้ตกใจ จากนั้นก็ให้บริจาคเงินจุดธูปขอพรอะไรพวกนั้น สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่เพื่อหลอกเหรอ? เจ้านี่ก็เป็นแบบนั้นแหละ เป็นพวกลวงหลอกจนเป็นนิสัย ฉันว่านะทุกคนแค่ดู ก็พอแล้ว จะได้รีบไป ที่แบบนี้ฉันว่าไม่น่ามองหรอก มีวัดอยู่ในป่าเขาแบบนี้ ไม่ใช่ทำเรื่องไม่ดีก็เป็นที่ไว้ฆ่าคนนั่นแหละ…” จ้าวต้าถงพูดเสียงดังมาก เหมือนกลัวว่าฟางเจิ้งจะไม่ได้ยิน
เห็นได้ว่ากำลังยั่วโมโหฟางเจิ้ง…
ตอนที่ 5 รองเท้าหนึ่งข้าง
ความจริงการยั่วโมโหฟางเจิ้งไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่ใช่เพราะระบบเตือนอีกครั้งว่าหากทำผิดจะถูกหักคะแนน ซ้ำยังเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ! ฟางเจิ้งคงแคะอิฐเขวี้ยง ใส่แล้ว…
ตอนนี้เองเสียงสุภาพดังแว่วมา “เอาล่ะ หม่าเจวียน จ้าวต้าถง พวกเธออย่าเสียงดังนักเลย เขาแค่พูดประโยคเดียว ทั้งยังไม่ให้พวกเราจ่ายเงินอีก อภัยได้ก็อภัยเถอะ”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็รู้สึกอบอุ่นในใจ ‘ยังมีคนที่มีความเป็นธรรมอยู่จริงๆ มิน่าถึงได้หน้าตาดีนัก คนนิสัยดีย่อมหน้าตาดีเป็นธรรมดา!’
แต่ต่อมาฟางเจิ้งก็ต้องสำนึกเสียใจภายหลัง
ได้ยินฟางอวิ๋นจิ้งพูดต่อ “เฮ้อ น่าเสียดายหลวงจีนนั่นภายนอกก็ดูดีนะ รับสืบทอดต่อวัด ไม่ฝึกพระธรรม แต่ดันเรียนการโอ้อวดหลอกลวงคนอื่น…”
ฟางเจิ้งน้ำตานองหน้า คิดในใจ ‘ฉันถูกหลอกมากกว่าเธออีก! ฉันไปหลอกใคร? เวรจริงๆ อุตส่าห์พูดเตือนแล้วเป็นแบบนี้เนี่ยนะ? ทำไมทำกันแบบนี้?’
“ติ๊ง! นี่คือเหตุผลว่าพระถังซัมจั๋งไปเอาพระไตรปิฎกแล้วยังต้องจ่ายเงิน คำสอนของพระพุทธองค์จะถ่ายทอดกันตามอำเภอใจได้ยังไง? เมื่อถ่ายทอดแล้วก็ไม่มีมูลค่าแล้ว กระทั่งไม่มีใครสำนึกในบุญคุณ”
“นี่พี่ระบบ ในที่สุดก็พูดภาษาคนสักทีนะ! ได้ จากนี้ฉันจะไม่บอกความลับสวรรค์ตามอำเภอใจแล้ว บางคนก็สมควรถูกลงโทษ” ฟางเจิ้งทำเสียงหึหึด้วยความโกรธ
“ติ๊ง! ขอชี้แนะอย่างเป็นมิตร ช่วยชีวิตคนหนึ่งคนมีค่ามากกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น นั่นคือบุญกุศลครั้งใหญ่! จะได้รับคะแนนเพิ่มเยอะ”
“อะไรนะ? เธอจะตายเหรอ?” ฟางเจิ้งอึ้งไป
“ติ๊ง! เส้นทางภูเขาเอกดรรชนีเดินยาก หากบาดเจ็บขึ้นมาแล้วอยู่ในสถานการณ์ไม่มีคนภายนอกช่วยล่ะก็ เธอมีชีวิตไม่ถึงตอนลงเขาแน่”
“อืม…ช่างเถอะ ฉันเป็นผู้ใหญ่ย่อมไม่ถือสาเด็ก อีกอย่างวัดก็ตกแต่งใหม่แล้ว ขืนมีคนตายขึ้นมา คราวหลังคงไม่มีใครมาจุดธูป…” ฟางเจิ้งถอนหายใจก่อนหมุนตัวเดินกลับไป
ช่วงที่ฟางเจิ้งกลับมา จ้าวต้าถงกำลังยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ คลำลำต้นพลางพึมพำด้วยความแปลกใจ “แปลก นี่มันต้นโพธิ์จริงๆ ด้วย ทำไม่ถึงแตกกิ่งในฤดูใบไม้ร่วงกัน มันอยากตายรึไง? เป็นเมล็ดจากภาคใต้จริงๆ รนหาที่ตายในสภาพอากาศภาคเหนือที่ ไม่คุ้นชิน…”
เห็นฟางเจิ้งกลับมา จ้าวต้าถงก็มองฟางเจิ้งด้วยความตื่นตัวพลางตะโกนไป “เณรน้อย แกมาทำอะไรอีก? จะบอกให้นะ พวกเราไม่เชื่อเรื่องดวง ไม่จุดธูป แค่มาดูเท่านั้น!”
ฟางเจิ้งยิ้มพูดอย่างไม่ใส่ใจ “หากพวกโยมจะดูดวง อาตมาก็ดูให้ไม่ได้หรอก หากพวกโยมจะจุดธูป บนโต๊ะบูชามีให้ ธูปธรรมดาฟรี ธูปชั้นดีหนึ่งดอกสองร้อยหยวน จะจุดหรือไม่จุดก็ตามสบาย” พูดจบก็ไม่สนใจจ้าวต้าถงที่มีสีหน้ามึนงง แต่มายืนอยู่หน้าขั้นบันไดที่หม่าเจวียนหกล้มมาชน หลังตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถอดรองเท้าไว้ วางไว้ตรงจุดที่หม่าเจวียนล้ม
ใกล้จะฤดูหนาวแล้ว รองเท้าฟางเจิ้งเป็นรองเท้าฝ้าย สวมแล้วอุ่นเล็กน้อย แต่ตอนไม่สวมจะเย็นๆ ตอนแรกเขาคิดจะถอดจีวรวางไว้ด้วย แต่พอคิดๆ ดูแล้ว ทำแบบนั้นจะถูกมองว่าหยาบคายได้ ดีไม่ดีจะถูกไอ้คนอารมณ์ร้อนนั่นทุบตีเอา คงได้ไม่คุ้มเสีย ส่วนจะให้ไปเอาของหลังลานวัด เขาก็ขี้เกียจอีก…
“นี่เณรน้อยทำอะไรอยู่?” จ้าวต้าถงมองฟางเจิ้งอย่างไม่เข้าใจ
ฟางเจิ้งตอบ “เปิดเผยความลับสวรรค์ไม่ได้ ที่นี่คือ วัดของอาตมา อาตมาจะทำอะไรย่อมมีเหตุผล อย่าขยับของของอาตมา…”
ฟางเจิ้งพูดจบพลันอึ้งไป มีภาพหนึ่งขยับวูบผ่านในดวงตา เห็นจ้าวต้าถงลื่นตกเขาไป ดีที่เจ้าคนนี้ร่างกายแข็งแรงเหมือนวัวจึงจับกิ่งไม้เอาไว้ได้ทัน จึงไม่ตกลงไปตาย แต่ก็ค้างเติ่งอยู่ตรงนั้น ขึ้นไม่ได้ ลงก็ไม่ได้
“เณรน้อย มองฉันแบบนี้หมายความว่าไง? จะบอกให้นะ ฉันไม่ชอบผู้ชาย!” จ้าวต้าถงถูกฟางเจิ้งจ้องมองจนรู้สึกขนลุกเล็กน้อย
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย หลังมองจ้าวต้าถงอีกครั้งหนึ่งแล้วก็ส่ายศีรษะ หมุนตัวจากไป จ้าวต้าถงเห็นแววตา ‘ลึกซึ้ง’ นั้นแล้วขนลุกไปทั้งตัว
ฟางเจิ้งเดินไปพลางเอ่ยต่อ “อย่าขยับรองเท้าอาตมา ไม่อย่างนั้นจะถูกปรับห้าร้อย!”
“ทำไมไม่ปล้นกันไปเลยล่ะ?” จ้าวต้าถงตะโกนด้วยความโมโห แต่ฟางเจิ้งพูดถูก นี่คือ วัดของเขา เป็นกฎที่เขาตั้ง ต่อให้จ้าวต้าถงจะร้ายกว่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้ ทว่าจ้าวต้าถงก็ยังคงจับตาดูไว้พลางพูดเย้ยเยาะ “แกคงจะตั้งใจวางไว้สิท่า ให้พวก อวิ๋นจิ้งเตะ จากนั้นก็อาศัยจังหวะหลอกเอาเงิน? มีฉันอยู่แกอย่าหวังเลย ฉันจะดูอยู่ ตรงนี้ ดูซิว่าแกจะยังมีลูกเล่นอะไรอีก!”
ตอนนี้เอง หม่าเจวียน ฟางอวิ๋นจิ้ง หูหานสามคนดูต้นโพธิ์เสร็จแล้วเดินออกมา หม่าเจวียนอยู่หน้าสุด พูดขึ้นด้วยความไม่ชอบใจ “ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร กลุ้มใจจัง พวกเราไม่มีแฟนจะขอลูกได้ด้วยเหรอ? พอแล้วจริงๆ…”
ขณะพูดอยู่นี้ หม่าเจวียนเดินสะดุด ตัวเอียงดิ่งลง ร้องเสียงแหลมเล็ก “กรี๊ด!”
“ระวัง!” จ้าวต้าถงตกใจ แต่พูดเตือนก็สายไปแล้ว
ปึก!
หม่าเจวียนเอาหัวชนเข้ากับบันไดแล้วกลิ้งลงไปนอนกับพื้น ก่อนกุมหัวพูดขึ้น “โอ๊ย เจ็บ!…นี่มันกลิ่นอะไร? เหม็นจัง…” ขณะบ่น หม่าเจวียนใช้มือหยิบของที่ตนเพิ่งกระแทกขึ้นมามองก็พบว่าเป็นรองเท้าข้างหนึ่ง จึงโมโหโดยพลัน “ใครมันชั่วแบบนี้หะ? ทำไมถึงวางรองเท้าไว้มั่วซั่วแบบนี้?”
“นั่นของอาตมาเอง” ตอนนี้เอง หลวงจีนหัวโล้นมาปรากฏกายตรงหน้าหม่าเจวียน จากนั้นหยิบรองเท้าในมือเธอไป จนเธอได้สติกลับมาแล้วก็รีบลุกขึ้นเตรียมจะต่อว่า ทว่าฟางเจิ้งเร็วกว่า เดินไม่กี่ก้าวก็เข้าไปในอุโบสถแล้วเดินอ้อมกลับกุฏิไป
หม่าเจวียนมีสีหน้าไม่ดีนัก บ่นพึมพำพูดถึงวัดและหลวงจีนเสียๆ หายๆ
แต่จ้าวต้าถงที่อยู่ข้างๆ กลับมองตามฟางเจิ้งไปด้วยสีหน้าตกใจ ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพเมื่อครู่ไม่หยุด ฟางเจิ้งถอดรองเท้าวางไว้อย่างดี จากนั้นหม่าเจวียนล้มลงหัวกระแทก…นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือ? จ้าวต้าถงอยากบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญมาก แต่ก่อนหน้านี้ฟางเจิ้งบอกว่าหม่าเจวียนจะมีภัยนองเลือด ถ้าฟางเจิ้งไม่วางรองเท้าไว้ตรงนั้น ด้วยมุมแหลมของบันไดนั่นแล้ว เกรงว่าหม่าเจวียนคงได้นองเลือดไปแล้วแน่ นี่ก็เป็น ภัยนองเลือดไม่ใช่เหรอ?
ไม่ใช่เพียงแค่จ้าวต้าถงที่อึ้งไป ฟางอวิ๋นจิ้งก็อึ้งงันเช่นกัน มองบันไดบนพื้นแล้วมองตรงหน้าผากหม่าเจวียน ก่อนมองไปยังฟางเจิ้งที่หายไปแล้ว ถามจ้าวต้าถง “จ้าวต้าถง ตอนพวกเราเข้ามาไม่เห็นมีรองเท้าเลยนี่ มันมาจากไหน?”
จ้าวต้าถงยิ้มเฝื่อน “ฉันพูดไปพวกเธอคงไม่เชื่อแน่ หมอนั่น…อะแฮ่มๆ เจ้าอาวาสคนนั้นจงใจถอดรองเท้าวางไว้บนขั้นบันได”
“จงใจให้ฉันเหม็นน่ะสิ? หรือไม่ก็ไม่ชอบหน้าฉัน?” หม่าเจวียนพูดขึ้นด้วยความโมโห
แต่ตอนนี้ฟางเจิ้งกำลังมีความสุข วินาทีที่หม่าเจวียนหัวกระแทกกับรองเท้า เขาก็ได้รับข่าวจากระบบ
“ติ๊ง! ช่วยชีวิตคนหนึ่งคนมีค่ามากกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ระบบจะให้โอกาสนาย จับรางวัลฟรีหนึ่งครั้ง ถือว่าเป็นการให้กำลังใจ!”
ฟางเจิ้งหัวเราะ “ยังมีข้อดีนี้ด้วยเหรอเนี่ย? ทำไมนายไม่บอกฉันเร็วๆ? อืม ยังไม่จับดีกว่า ยังมีโอกาสจับรางวัลอีกครั้งรอฉันอยู่…อะแฮ่มๆ ไม่ใช่สิ ยังมีอีกคนรอที่ให้ฉันไปช่วยอยู่ ต้องรีบช่วยคน จะมามัวพูดไร้สาระกับนายไม่ได้แล้ว ว่าแต่เชือกฉันล่ะ?”