The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 49
ตอนที่ 49 คำเดียวจุดชนวนความวุ่นวาย
ขณะเดียวกันยังแนบรูปภาพที่เขาคิดว่าหล่อมาด้วย ข้างๆ หมอนวางกระดาษทิชชู่ หนึ่งม้วน บนพื้นยังมีมากกว่า…
ถึงฟางเจิ้งจะไม่มีความรู้ แต่ก็เข้าใจความเร้นลับในนั้น จึงถามไป “อมิตพุทธ โยมไม่ต้องกังวล ให้ใส่ใจเรื่องได้รับเชื้ออสุจิ!”
เป็นครั้งแรกที่ฟางเจิ้งใช้มือถือสมรรถนะสูงแบบนี้ ใช้มือไถก็ส่งได้แล้ว! พบว่าเขียนผิด ยังไม่ทันแก้ก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากับเสียงจอแจดังมาจากข้างนอก ทั้งยังมีเสียงคนเรียก เขาจึงรีบออกไป…
ขณะเดียวกัน ในห้องเรียนใหญ่สาขาพลศึกษามหาวิทยาลัยจี๋หลิน อาจารย์หญิง วัยกลางคนคนหนึ่งกำลังสอนวิชากายภาพร่างกาย ด้านบนขยายภาพโครงสร้างร่างกายคนสองภาพ นักศึกษาหญิงหลายคนมองจนหน้าแดง
ส่วนักศึกษาชายก็มีสีหน้าเฉยเมย รูปพวกนี้แย่กว่ารูปที่พวกเขาซ่อนไว้มาก! ไม่ได้เรื่องทั้งนั้น!…
ชั่วขณะที่ทุกคนกำลังเบื่ออยู่นั้น พลันมีเสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้น
“เวร! ทำไมไต้ซือถึงไร้ศักดิ์ศรีแบบนี้?”
“นักเรียนคนนั้นน่ะ เธอพูดอะไร?” อาจารย์หญิงข้างหน้าจ้องจ้าวต้าถงด้วยความโมโห เล่นมือถือในคาบเธอ เธอรับได้ แต่มาเสียงดังแถมยังด่าอีกมันเกินไปแล้ว! เธอจึงโกรธมาก!
จ้าวต้าถงรีบยืนขึ้นขอโทษ “ขอโทษครับอาจารย์ เมื่อกี้ผมฝันร้ายน่ะ”
ใครก็รู้ว่าเจ้านี่ไม่ได้หลับ แต่ถือว่ามีเสต็ปไม่เลว อาจารย์หญิงเห็นจ้าวต้าถงแสดงความขอโทษอย่างจริงใจแล้วถึงลดความโกรธลง “ตั้งใจเรียนเถอะ”
“ครับๆๆ…” จ้าวต้าถงพยักหน้ารัวๆ
แต่เมื่อจ้าวต้าถงนั่งลง หูหานข้างๆ เอ่ยขึ้น “เวร! ทำไมไต้ซือใช้คำพูดแรงแบบนี้ล่ะ?!”
“แกนี่มัน แอบดูมือถือฉันอีก!” จ้าวต้าถงร้อนรนแล้ว
จากนั้น…
“พวกเธอสองคนออกไป!” ในที่สุดอาจารย์หญิงก็เคลื่อนไหว เธอตะโกนเสียงดัง จ้าวต้าถงกับหูหานจึงต้องออกไปอย่างหงอยเหงา
ส่วนจะให้ยืนทำโทษเหรอ? สองคนนี้ไม่ทำ แต่วิ่งหนีไปทันที
“ต้าถง นายเป็นอะไรกับไต้ซือกันแน่? พวกนาย…นายเจ็บก้นไหม?” หูหานยิ้มชั่วร้าย
“ไสหัวไป!” จ้าวต้าถงด่าทอด้วยความโมโห ขณะเดียวกันก็กังวลในใจ เขาไม่มีแรง แต่ก็ไม่ต้องรับเชื้ออสุจิก็ได้มั้ง? อีกอย่างมันคนละเรื่องกับที่เขาหมดแรงเลย…
“ต้าถง นายอย่าโกรธเลย ฉันว่านะนายลองคิดดูสิ ทำไงถึงแก้ปัญหาเรื่องได้รับเชื้ออสุจิได้น่ะ บอกให้นะ ฉันไม่ให้ของฉันแน่…” พูดจบหูหานก็วิ่งหนีไป
จ้าวต้าถงโกรธจนตับจะระเบิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงกลับไปอย่างเศร้าซึม
แต่ปากหูหานไม่มีหูรูด เขาบอกกับหม่าเจวียน หม่าเจวียนบอกกับฟางอวิ๋นจิ้ง ดีที่ฟางอวิ๋นจิ้งปิดปากสนิท ไม่ได้บอกใคร แต่เขียนบันทึกประจำวันไว้บทหนึ่งเงียบๆ แต่กลับลืมเปลี่ยนการมองเห็น
ฟางอวิ๋นจิ้งเป็นผู้หญิงสวยในแบบอย่าง มีคนจีบมากมาย เมื่อลงบันทึกประจำวันไปแล้ว ผู้ชายที่ตามจีบกลุ่มหนึ่งจึงเข้ามาอ่านในวินาทีแรก จากนั้นจ้าวต้าถงก็นั่งยองอยู่ในห้อง เป็นตายยังไงก็ไม่ออกไปแล้ว ทั้งยังมีคนเรียกอยู่หน้าประตูห้องตลอดเวลา “ต้าถง จะเอาน้ำอสุจิเหรอ? นี่มีของใหม่เลย!”
“ไสหัวไปให้พ้น!” จ้าวต้าถงตะโกนเสียงดัง…
จ้าวต้าถงอยากจะร้องไห้จริงๆ แต่ไม่รู้ควรจะอธิบายยังไง จึงส่งข้อความไปหา ฟางเจิ้งอีกว่าได้รับเชื้ออสุจิหมายความว่ายังไงกันแน่?
แต่ฟางเจิ้งไม่ออนไลน์…จ้าวต้าถึงมองฟ้า น้ำตานอง คงผ่านวันนี้ไปไม่ได้แล้ว! ถึงเขาอยากมีชื่อเสียง แต่ไม่คิดว่าจะมีชื่อแบบนี้! จากนี้ไปจะนัดกับสาวยังไงเนี่ย?
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าการพิมพ์ผิดสองตัวสร้างความฉงนแก่จ้าวต้าถงขนาดไหน
ฟางเจิ้งออกออกจากประตูวัดก็เห็นตำรวจมากันในวัดไม่น้อย และยังมีตำรวจติดอาวุธครบมือ มีท่าทีพร้อมรบ ขณะเดียวกันหวังโอ้วกุ้ย ถานจวี่กั๋วก็อยู่ในนั้น กระทั่ง ซ่งเอ้อโก่วก็อยู่!
“ฟางเจิ้ง แกมาพอดีเลย รีบมานี่ จะแนะนำคนให้รู้จัก ท่านนี้คือเพื่อนที่มาจากในอำเภอ อธิบดีจาง อธิบดีจางนี่เจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี ไต้ซือฟางเจิ้ง” หวังโอ้วกุ้ยรีบพูดแนะนำ
อธิบดีจางดูหลักแหลมและแข็งแรงมาก ชุดตำรวจเหยียดตรงทำให้เขาแผ่ความน่าเกรงขามของผู้บังคับบัญชาออกมา ใบหน้าเคร่งขรึม ไม่มีรอยยิ้ม แต่ก็ไม่ถือว่า แข็งกระด้าง
ฟางเจิ้งประนมมือสวดไปบทหนึ่ง “อมิตพุทธ พวกโยมมาวัดอาตมามีเรื่องอะไรกัน?”
“เณร เร็วๆ นี้วัดเณรมีคนแปลกหน้ามารึเปล่า?” ตำรวจหนุ่มข้างหลังอธิบดีจางถามขึ้นอย่างรำคาญ
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ไม่มี”
“เณร พวกเราไม่เชื่อหรอกนะ เพื่อความสะดวก พวกเราขอค้นวัดหน่อย ขอเชิญหลีกทางด้วย” ตำรวจคนนั้นกล่าว
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ได้! วัดเป็นแดนเงียบสงบ ไม่สะดวกให้ค้นจริงๆ”
“เณร เณรรู้ไหมว่าพวกเรามาหาใคร? นั่นเป็นฆาตกรปล้นรถขนเงิน มีปืนด้วย! พวกเราค้นแล้วจะได้มั่นใจว่าเณรปลอดภัย ถ้าพวกเราไปกันเลยเณรจะเป็นอันตรายได้” ตำรวจหนุ่มพูดด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เขาไม่เชื่อเรื่องพุทธ ไม่เชื่อสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกเหล่านี้ เขาพูดแบบนี้ก็เพื่อให้เณรตรงหน้ากลัว คิดไว้ว่าพออีกฝ่ายกลัวแล้วจะยังสงบแบบนี้อีกไหม แล้วก็จะได้ค้นสักที
แต่ฟางเจิ้งยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเฉยเมย “ไม่ได้”
“ณะ…”
“เณรอะไร? ไม่ได้ยินผู้ใหญ่บ้านบอกเหรอ? นี่คือไต้ซือ เป็นเจ้าอาวาส ระวังหน่อย” อธิบดีจางต่อว่าตำรวจคนนั้น จากนั้นยิ้มอย่างอบอุ่นเล็กน้อย “ไต้ซือ อย่าถือสาเลยนะ คือ อย่างนี้ตีนเขาเกิดเรื่องใหญ่ มีคนปล้นรถขนเงินแถมยังฆ่าคนคุ้มกันส่งเงินอีก ตามรายงานแล้วเขาน่าจะมาที่นี่ ดังนั้นพวกเราเลยขึ้นเขาออกค้นหา เขาชื่อว่า หานเซี่ยวกั๋ว ใบหน้าเป็นรูปตัว国 คิ้วหนา ตาเล็ก ก่อนหน้านี้เคยเป็นทหารรับจ้างระหว่างประเทศ มีฝีมือดี ฆ่าคนจนเฉยชา ถ้าสะดวก พวกเราอยากค้น….เอ่อ อยากเยี่ยมชมวัดสักหน่อย”
นี่คือการให้เกียรติอีกฝ่าย มิหนำซ้ำอธิบดีจางยังพูดและกระทำตรงจุดจริงๆ ถึงอย่างไรเขาก็มาจัดการคดี ต้องค้นจริงๆ ฟางเจิ้งก็ขวางไม่ได้ อีกอย่างการเยี่ยมชมกับค้นเป็นคนละเรื่องกันเลย มีพระโพธิสัตว์ที่ใดบ้างที่ไม่ต้อนรับคน? ค้นเป็นการรบกวน เยี่ยมชมก็ต้องได้รับการต้อนรับ ย่อมต่างกัน ขณะเดียวกันฟางเจิ้งยังมองตำรวจชั้นผู้น้อยคนนั้นอย่างดูถูก มิน่าเขาถึงได้เป็นแค่ชั้นผู้น้อย ดูหัวหน้าซะบ้างจะได้พูดเก่งๆ!
ฟางเจิ้งพยักหน้า “โยม เชิญ!”
อธิบดีจางยิ้มพอใจ หวังโอ้วกุ้ยกับถานจวี่กั๋วข้างๆ ถอนหายใจโล่งอก พวกเขากลัวจริงๆ ว่าสองฝ่ายจะทะเลาะกัน ถ้าอย่างนั้นก็คงจบไม่สวย
ฟางเจิ้งพาอธิบดีจางรวมถึงตำรวจติดอาวุธเข้าไปในอุโบสถ จากนั้นเดินวนในวัดหนึ่งรอบถึงไปข้างหลัง สำรวจห้องครัว ห้องน้ำ กุฏิ ทุกคนถึงถอยไป
“อมิตพุทธ พวกโยม วัดอาตมาแคบและเล็ก ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น ไม่มีที่อื่นให้เยี่ยมชมแล้วล่ะ” ฟางเจิ้งพูด