The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 54
ตอนที่ 54 สำนึกผิดแล้ว
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ถอดรองเท้าออก เท้าเหยียบน้ำฝนจริงๆ แต่ไม่สกปรก! ถึงขั้นแห้งและสบาย! แม้จะเย็นอยู่บ้างก็ไม่ลำบาก
เขาเดินออกไปราวกับดาวตก หมาป่าเดียวดายตามติดข้างหลัง สายฝนตกลงบนตัวมัน เจ้านี่พลันกลายเป็นหมาตกน้ำ ท่าทางน่าเกรงขามเปลี่ยนเป็นน่าอนาถเล็กน้อย
เดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ ฟางเจิ้งเปิดประตูเหล็ก แต่ไม่พบใคร “หืม? ไหนคนล่ะ?”
“โฮ่งๆ…”
“ไต้…ไต้ซือ ก้มหน้าลง อยู่นี่…” ช่วงที่หานเซี่ยวกั๋วเห็นฟางเจิ้งก็เหมือนกับเห็น พระพุทธองค์ตรงขอบนรก เห็นความหวัง! แววตาที่มองฟางเจิ้งเปลี่ยนไป แฝงไว้ด้วยประกายพิเศษหลายส่วน
ฟางเจิ้งก้มหน้ามอง เจ้านี่นั่งอยู่หน้าประตู นั่นคือหานเซี่ยวกั๋ว
“โยม ไหนว่าเป็นตายยังไงจะไม่อยู่ในวัดไง?” ฟางเจิ้งถาม
หานเซี่ยวกั๋วหน้าแดง ตอบเก้ๆ กังๆ “ไต้ซือ ข้างนอกหนาวมาก ผมหิวมากแล้วด้วย ทนไม่ไหวแล้ว ขอร้องล่ะเมตตาให้ผมเข้าไปหลบฝนด้วย ให้กินอะไรหน่อย ผมจะตายแล้ว”
ปัง!
ประตูใหญ่ปิดลง!
หานเซี่ยวกั๋วเหม่อลอย เดิมทีคิดว่าหลวงจีนจะเป็นคนมีเมตตา อุฒส่าห์แสร้งทำเป็นน่าสงสาร ทำตัวให้ดูลำบาก อย่างน้อยก็ได้กินข้าวบ้างล่ะ? ทว่าได้กินซุปปิดประตูแทน
“ไต้ซือ อย่า…ไต้ซือ อย่าปิดประตู! ก่อนหน้านี้ผมผิดไปแล้ว ผมสำนึกผิดแล้ว! ท่านให้ข้าวผมกินหน่อยเถอะ” หานเซี่ยวกั๋วร้องโอดครวญ
ฟางเจิ้งถาม “สำนักผิดแล้ว? ผิดตรงไหน?”
“ผมไม่ควรเล็งปืนใส่ไต้ซือ ไม่ควรหยาบคายต่อไต้ซือ ไม่ควรยิงปืนใส่ไต้ซือ ไม่ควรออกจากวัด” หานเซี่ยวกั๋วครุ่นคิดอย่างรวดเร็วพลางตอบไป
ฟางเจิ้งกล่าว “ความผิดเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ความผิด ถ้าโยมอยากเข้ามาก็คิดดูดีๆ ว่าผิดตรงไหน ถ้าคิดไม่ออก ก็คิดให้เข้าใจข้างนอก สวรรค์กับนรกอยู่ระหว่างหนึ่งความคิด โยมตรึกตรองให้ดีๆ” ฟางเจิ้งพูดจบก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
หานเซี่ยวกั๋วได้ยินดังนั้นความคิดก็ขาวโพลน เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าไปทำอะไรให้ฟางเจิ้งไม่พอใจ…ตอนนี้เองมีแสงไฟส่องมาแต่ไกล หานเซี่ยวกั๋วจึงรีบวิ่งไปหลบใน พุ่มหญ้าใกล้ๆ ไม่นานเสียงสองคนคุยกันก็เข้ามาใกล้
“อู๋ไห่ พวกเราต้องมาจริงๆ เหรอ?” ตำรวจนายหนึ่งบ่น
อู๋ไห่ยิ้มแห้ง “ถึงฉันจะไม่ชอบเณรนั่นก็เถอะ แต่นี่เกี่ยวกับชีวิตคนนะ ถ้าฟ้าใส ด้วยความสามารถของหานเซี่ยวกั๋วแล้วต้องซ่อนตัวถึงตอนกลางคืนได้แน่ แต่นี่ฝนตกหนักก่อนเข้าหน้าหนาว เขาต้องไม่กล้าก่อไฟ แต่ไม่มีไฟเขาก็ต้องหนาวตาย! แต่ถ้าเขาไปภูเขาลึกๆ ก็ช่าง แต่ถ้ายังซ่อนตัวอยู่บนเขาก็มีที่หลบฝนเพียงที่เดียวคือวัด หากเขาเข้าไปในวัด เณรนั่นจะต้องอันตราย ยังไงก็ต้องมาดูนั่นแหละ…”
“อู๋ไห่ นายนี่มันปากร้ายใจดีจริงๆ นะ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าใครพูดอยู่นั่นแหละว่า เณรนั่นไม่รู้จักให้ความร่วมมือ ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ เหอะๆ” ตำรวจอ้วนหัวเราะ
“เอาเถอะ อย่าพูดมาก เป็นตำรวจก็ได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้นั่นแหละ แต่ว่าอากาศแบบนี้หนาวจริงๆ นะ! รีบไปดูวัดเถอะ ถ้าไม่มีอะไรจะได้กลับแคมป์” อู๋ไห่กล่าว
ตำรวจอ้วนพูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “อู๋ไห่ นายว่าทำไมพวกเราไม่อยู่ที่วัดเลยล่ะ? ที่นั่นมีห้องนี่ อยู่ก็สุขสบายดี ไม่ต้องกางเต็นท์ ลำบากชะมัด”
“ต้องปิดทางลงเขาน่ะ อีกอย่างฉันได้ยินอธิบดีบอกว่าวัดนี้เป็นวัดเล็ก ไม่ดูแลเรื่องที่พัก เหมือนว่าจะเป็นกฏของวัด…พวกเราไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ก็ต้องเคารพความเชื่อและ กฏของเขา แต่ไม่ว่ายังไงในนั้นก็มีเรื่องซับซ้อนบางอย่างที่ฉันเองก็ไม่แน่ใจ แต่ช่างเถอะ แค่จับหานเซี่ยวกั๋วได้ก็คุ้มแล้ว” อู๋ไห่พูดพลางเดินมาถึงประตูใหญ่
เพราะเสียงฝนตกดัง ฟ้าผ่าดังสนั่น พื้นที่กว้างโล่ง สองคนจึงต้องพูดเสียงดัง แน่นอนว่าฟางเจิ้งได้ยิน ดังนั้น…
อู๋ไห่กับผังเหว่ยเพิ่งมาถึงประตูก็ได้ยินเสียงแอ๊ด ประตูใหญ่เปิดออก หลวงจีนหัวโล้นสวมชุดสีขาวหิมะปรากฏหลังประตู จังหวะการเปิดประตูไม่เร็วไม่ช้า ความรู้สึกนั้นประหนึ่งหลวงจีนนี่รอพวกเขามาตลอด!
“ไต้ซือ ท่านจะไปไหนตอนนี้?” อู๋ไห่ถามขึ้นโดยจิตใต้สำนึก
ฟางเจิ้งยิ้ม “มารอพวกโยมสองคน”
“รู้ว่าพวกเราจะมาเหรอ?” ผังเหว่ยตกใจ
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ไม่รู้ แต่อาตมาเพิ่งมาถึงวัด ได้ยินพวกโยมสองคนคุยกันเลยเปิดประตูต้อนรับ”
“อย่างนี้เอง ตกใจแทบแย่ ผมยังคิดว่าท่านรู้ล่วงหน้าซะอีก” ผังเหว่ยหัวเราะเหอะๆ
ฟางเจิ้งสวดไปหนึ่งบท “อมิตพุทธ อาตมาเป็นเพียงนักบวชธรรมดา จะรู้ล่วงหน้าได้ยังไง ตำรวจสองท่านนี้มาทำไมกัน?”
“ไม่มีอะไรครับ เมื่อตอนกลางวันมาเยี่ยมชมวัดท่านแล้วรู้สึกดีมาก ไม่รู้ว่า ตอนกลางคืนจะเป็นยังไง เลยมาเยี่ยมชมอีกรอบ เอ่อ ไต้ซือสะดวกไหม?” อู๋ไห่เรียนรู้เร็ว พูดว่าตรวจค้นคงไม่ดี ก็ใช้เยี่ยมชมนี่แหละ!
ฟางเจิ้งย่อมไม่ขวาง เขาให้ความร่วมมือกับสองคนเดินในวัดหนึ่งรอบ หลังมั่นใจว่าฟางเจิ้งไม่ได้ถูกข่มขู่และปลอดภัยดีแล้วถึงเอ่ยลาไป
เพียงแต่ว่าตอนที่สองคนไป มีบางคนมองพวกเขาด้วยแววตาอยากจะกินพวกเขา!
“ช้าชิบ…ข้าหนาวจะตายอยู่แล้ว!” หานเซี่ยวกั๋วกัดฟันด่าทอ
เห็นประตูใหญ่ปิดลงอีกครั้ง หานเซี่ยวกั๋วก็รีบวิ่งเข้าไป “ไต้ซือ ไต้ซือ! อย่าปิดประตู ผมไม่รู้ว่าผิดตรงไหน ไต้ซือช่วยชี้แนะด้วย!”
ฟางเจิ้งมองหานเซี่ยวกั๋วคุกเข่าอยู่หน้าประตูพลางพยักหน้าเล็กน้อย “ตัวเองยังไม่รู้ แล้วอาตมาจะชี้แนะยังไง? ไม่รู้ก็คิดต่อไป” จากนั้นปิดประตูอีกครั้ง
หานเซี่ยวกั๋วมีสีหน้าสิ้นหวัง เขาไม่รู้จริงๆ ว่าผิดตรงไหน…
ทว่าไกลออกไป ผังเหว่ยกับอู๋ไห่กำลังเดินอยู่ อู๋ไห่พลันร้องขึ้น “ไม่ใช่ละ!”
“ทำไมอู๋ไห่? นายอย่าตกใจแบบนี้สิ ทำคนอื่นเขาตกใจไปด้วยรู้ไหม?” ผังเหว่ย กดปืนตามจิตใต้สำนึก จากนั้นบ่นว่า
อู๋ไห่ “ผังเหว่ย ฉันขอถามนายนะ นายสังเกตชุดที่หลวงจีนนั่นสวมรึเปล่า?”
“สังเกตอะไร? อากาศหนาวขนาดนี้ ฉันสนแค่เจอหานเซี่ยวกั๋วรึเปล่าแค่นั้น” จากนั้นผังเหว่ยก็ถามขึ้นอย่างตื่นตัว “นายพบอะไรเหรอ? หรือหานเซี่ยวกั๋วอยู่ในวัดจริงๆ?”
“อยู่ก็บ้าสิ! พวกเราดูกระทั่งโอ่งน้ำ เขาจะซ่อนไหนได้? พวกเรามากะทันหันแบบนี้? ถ้าเขาอยู่ข้างใน แค่หลวงจีนนั่นชี้เขาก็จบเห่แล้ว ฉันกำลังจะบอกว่านายไม่ได้สังเกตชุดที่หลวงจีนนั่นใส่เลยเหรอ มันเหมือนไม่เปียกเลยนะ! แล้วก็เท้าเขา ตอนที่จีวรถกขึ้นมา เหมือนจะเป็นเท้าเปล่า เขาไม่ได้ใส่รองเท้า!”
“ช่างเถอะหน่า นายอ่านนิยายมากไปมั้ง? ไม่ใส่รองเท้าแล้ว แถมเสื้อไม่เปียกฝน นายคิดว่าเขามีวิทยายุทธ์เหรอหรือฝึกเต๋าเป็นเซียน? ทำไมเขาถึงไม่บินล่ะ? นายดูสายฟ้านั่น ทำไมนายไม่บอกว่าเขากำลังผ่านภัยพิบัติอยู่เลยล่ะ?” ผังเหว่ยพูดดูถูก