The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 7
ตอนที่ 7 บนเขามีหมาป่า
หูหานรีบเข้าไปดึงเชือกก่อนถามขึ้น “เชือกนี่เหรอ?”
“ใช่ เชือกนี่แหละ!” จ้าวต้าถงตอบกลับ
“แน่นมาก ไม่มีปัญหา นายมัดเชือกไว้ที่ตัว พวกฉันจะดึงนายขึ้นไป!” หูหานกล่าว
จ้าวต้าถงรีบขานรับ แค่เชือกข้างๆ นี่ผูกไว้แน่นก็ไม่มีปัญหาสำหรับเขาแล้ว เขายื่นมือไปจับไว้แน่นก็พอ
หูหานข้างบนบอกให้ฟางอวิ๋นจิ้งกับหม่าเจวียนออกแรงดึงพร้อมกัน รวมกับจ้าวต้าถงที่ออกแรงปีนหน้าผาแล้วจึงปีนขึ้นมาได้เร็วมาก
พอจ้าวต้าถงขึ้นมา สี่คนก็นั่งแผ่อยู่บนพื้น ครั้นนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ พวกเขาต่างมีสีหน้าหวาดกลัว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ฟางอวิ๋นจิ้งได้สติกลับมาจึงพูดขึ้น “นี่ ฟ้าจะมืดแล้ว!”
“แย่แล้ว ทางภูเขาเดินยากด้วย หากตกลงไปอีกก็อาจจะไม่มีต้นไม้ใว้จับหรือเชือกให้พวกเราแล้ว” หม่าเจวียนว่า
“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” จ้าวต้าถงพลันพูดขึ้น
“อะไรไม่ใช่เรื่องบังเอิญ?” หูหานถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
จ้าวต้าถง “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้สึกว่าตอนไต้ซือของวัดเอกดรรชนีมองฉันจะมีแววตาแปลกๆ แต่ฉันคิดว่าเขาคงไม่มีเจตนาร้ายต่อฉันหรอก ตอนนี้มานึกๆ ดูแล้วเขาอาจจะเห็นว่าฉันมีภัยมากกว่า เพียงแต่ท่าทีของฉันก่อนหน้านี้ขี้โมโหเกินไป เขาเลยไม่บอกก็เท่านั้น แต่ความจริงแล้ว หากเขาบอก ฉันก็คงต่อยเขาสักหมัดแน่ๆ…”
ฟางอวิ๋นจิ้งเสริม “ถ้าอย่างนั้นตอนแรกเขาเห็นหม่าเจวียนจะหกล้ม เลยวางรองเท้าเอาไว้บนขั้นบันได ช่วยหม่าเจวียนเอาไว้ จากนั้นเขาทำนายว่าจ้าวต้าถงมีโอกาสจะ ตกเขา เลยผูกเชือกไว้ที่นี่ ช่วยจ้าวต้าถงไว้ ฉันว่านะพวกเราเจอคนประหลาดเข้าแล้วล่ะ! หลวงจีนวัดเอกดรรชรนีเป็นไต้ซือจริงๆ! ไม่ใช่คนลวงโลก!”
หม่าเจวียนก็นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้แล้วพยักหน้าเห็นด้วย “เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันว่าพวกเราเข้าใจเขาผิดแล้วล่ะ พวกเราทำไม่ดีต่อเขา ทั้งยังต่อว่า ไปอีก…ลับหลังยังพูดจาไม่ดีอีกเยอะเลย”
หูหานเกาหัว “เอ่อ พวกเธอดูฟ้าก่อนมันใกล้จะมืดแล้ว พวกเราลงเขาไปอันตรายมากแน่ อย่างนั้นกลับไปดีกว่าไหม จะได้ไปขอโทษไต้ซือท่านนั้นด้วย มืดแล้วตั้งแคมป์บนเขาดีกว่า ถ้าไต้ซือเก่งกาจขนาดนี้ ก็น่าจะไม่ใช่คนเลว”
“ถ้าเป็นคนเลวพวกเราคงตายไปนานแล้ว ไป กลับไปกัน!” หม่าเจวียนว่า
“ไป! ก่อนหน้านี้ฉันทำกับเขาแบบนั้น แต่เขาก็ยังช่วยฉัน ยังไงก็ต้องขอบคุณ ถ้าไม่อย่างนั้นมโนธรรมของฉันจะไม่สงบ” จ้าวต้าถงกล่าว
หม่าเจวียนเห็นด้วย “ฉันก็ด้วย”
“ฉันอยากไปจุดธูป เจ้าอาวาสเก่งขนาดนี้ วัดนี้น่าจะไม่ธรรมดา” หูหานเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร…” ฟางอวิ๋นจิ้งพูดเตือน
“เอ่อ…”
………
ช่วงที่สี่คนกลับมายังประตูวัดเอกดรรชนีอีกครั้ง ความรู้สึกได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีการดูถูกอย่างตอนมา เหลือเพียงความเคารพ ทว่าที่สี่คนนี้แปลกใจคือตรงปากประตูมีคนยืนอยู่คนหนึ่ง มองดีๆ หัวโล้นภายใต้แสงดูเด่นตามาก นั่นคือ เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง!
“ไต้ซือ สวัสดี พวกเรากลับมาอีกแล้ว” พวกเขาพูดพร้อมกันอย่างน่าประหลาด ขณะเดียวกันยังโค้งตัวแสดงความเคารพ เป็นการขออภัย และยังมีความเคารพจาก ใจจริงเล็กน้อย
ฟางเจิ้งมองทุกคนด้วยสีหน้าอบอุ่น แต่กลับหัวเราะอย่างเบิกบานในใจ ‘นี่คือความรู้สึกของการเป็นไต้ซือสินะ? เยี่ยม! เยี่ยมจริงๆ! เฮอะๆ…’
ฟางเจิ้งเพิ่งจะยิ้มในใจก็ได้ยินเสียงระบบดังขึ้น “ขอชี้แนะอย่างเป็นมิตร เป็นไต้ซือต้องนิ่งไว้แม้ฟ้าถล่ม ขนาดคนแค่นี้ยังทำให้นายยิ้มแย้มได้ ภายภาคหน้าพันคน หมื่นคน แสนคนมากราบไหว้นายจะเป็นยังไง? น้ำใจและจิตใจของไต้ซือนั้น ต้องบ่มเพาะทีละหยดๆ”
รอยยิ้มฟางเจิ้งพลันแข็งข้าง ยังคงยิ้มอย่างอบอุ่น ถ่อมตัวและมีสติปัญญา “พวกโยม คืนเชือกอาตมามาก่อนได้หรือเปล่า?”
“เอ่อ…” พวกเขาต่างอึ้งไป ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนตรงแบบนี้
จ้าวต้าถงหยิบเชือกส่งให้
ฟางเจิ้งรับเชือกมาแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในวัด ไม่รอให้จ้าวต้าถงพูด แต่ปิดประตูใหญ่ ดังปัง!
จ้าวต้าถงกำลังจะพูดก็ได้ยินเสียงฟางเจิ้งดังแว่วมาจากในวัด “ดึกแล้ว วัดนี้เป็นวัดเล็ก ไม่ดูแลเรื่องอาหารและที่พัก ในเมื่อพวกโยมมีแคมป์ เตรียมของมาครบแล้วก็พักผ่อน ข้างนอกเถอะ ขอแนะนำอย่างหวังดีนะ บนภูเขาเอกดรรชนีมีหมาป่า ระวังเรื่องความปลอดภัยด้วย”
ไม่เตือนก็แล้วไป ทว่าพอเตือนแล้วพวกเขาต่างขนหัวลุก
จ้าวต้าถง “ไต้ซือ ท่านบอกว่ามีหมาป่าแล้วทำไมถึงให้เราอยู่ข้างนอกล่ะ? นี่มันอันตรายไม่ใช่เหรอ? ท่านเป็นคนจิตใจดี ให้พวกเราเข้าไปเถอะ ไม่พักในกุฏิก็ได้ ให้เราพักในลานวัดก็ได้”
“ใช่แล้วท่านไต้ซือ นั่นหมาป่าเลยนะ! พวกเราไม่มีอาวุธด้วย” หม่าเจวียนร้อนรนแล้วเหมือนกัน
แต่ฟางเจิ้งข้างหลังประตูมีสีหน้าดิ้นรน…
“ติ๊ง! หากไม่มีกฎก็ควบคุมสิ่งโดยรอบไม่ได้ จะทำลายกฎของวัดไม่ได้ ขืนทำลายกฎ ระดับการประเมินจะลดขั้นลง”
ฟางเจิ้งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถอนหายใจ เขาไม่เปิดประตู แต่กล่าวออกไป “อมิตพุทธ พวกโยมรีบตั้งแคมป์เถอะ อย่างน้อยในละแวกใกล้วัดอาตมาก็ยังปลอดภัย”
พูดจบฟางเจิ้งรีบเดินไปยังห้องครัวไปหามีดหั่นผักมาหนึ่งเล่มกับไม้ตะบองวางไว้ ข้างหมอน คิดว่าหากหมาป่ามาจริงๆ เขาจะใช้มันไว้ช่วยคน
แต่ลำพังตัวเขาเองไม่ได้หวังไว้มากขนาดนั้น เขามีแรงเท่าไรก็รู้ตัวดี! อย่าว่าแต่ หมาป่าเลย แค่หมีบ้าขึ้นมาก็จับเขากดไว้กับพื้นได้แล้ว…
แต่ว่าฟางเจิ้งก็ไม่ได้กังวลจริงๆ ถึงจะมีข่าวลือว่าบนภูเขาเอกดรรชนีมีหมาป่า แต่ก็เป็นแค่ตำนานเท่านั้น อย่างน้อยบนเขาหลายปีมานี้เขาก็เคยได้ยินเสียงหมาป่า ตอนเด็ก พอโตมาแล้วไม่เคยเจอหมาป่าอีกเลย เล่าขานว่าผู้คนเหี้ยมโหดนัก ขู่หมาป่า จนตกใจหนีเข้าไปในป่าลึกแล้ว
และเพราะแบบนี้เองฟางเจิ้งถึงกล้าให้คนเหล่านี้พักนอกวัด หากมีหมาป่าวิ่งอยู่ ข้างนอกทุกวันจริงๆ เขาคงไม่ให้พวกเขาอยู่ข้างนอก แม้ระบบจะไม่เห็นด้วยเขาก็ไม่สน ถึงยังไงนี่ก็เกี่ยวกับชีวิตคน
แต่ว่าเขาก็ยังรู้สึกถึงอันตรายอยู่ จึงได้เตรียมมีดหั่นผักกับไม้ตะบองไว้
แม้กำลังเขาคนเดียวจะน้อยมากจนมองข้ามได้ แต่ตอนนี้มีนิดหน่อยก็ยังดีกว่าไม่มี หลังอวยพรให้คนพวกนั้นปลอดภัยในคืนนี้อยู่เงียบๆ แล้วถึงหลับตานอนลงบนเตียง
ฟางเจิ้งพึมพำ “นี่ระบบ ฉันช่วยคนสองครั้งแล้ว มีโอกาสจับรางวัลสองครั้งใช่หรือเปล่า?”
“ใช่!”
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้จับเลยได้ไหม?” ฟางเจิ้งถาม
“ได้”
“ให้ฉันจับเองได้ไหม? นายอย่ากำหนดความเป็นตายให้ฉันสิ ดีเลวยังไงให้ฉันร่วมบ้าง” ฟางเจิ้งกล่าวอย่างขมขื่น
“ได้!”
หนึ่งเค่อต่อมาปรากฏวงล้อยักษ์ตรงหน้าฟางเจิ้ง! บนวงล้อมมีเข็มอันหนึ่ง เห็นครั้งเดียวเขาก็เข้าใจแล้วว่าเล่นยังไง หมุนวงล้อจับรางวัลนั่นเอง! แต่ต่อมาเขาก็หน้าเขียวคล้ำ! บนวงล้อนั่นไม่มีอะไรเลย!
“พี่ระบบ หมายความว่าไงกัน? ไม่มีอะไรเลยนี่!”
“ติ๊ง! มีของรางวัลอยู่ ฉันจะบอกผลกับนายเอง”
‘นายนี่มัน…’ ฟางเจิ้งด่าในใจแล้วก็ยอมรับชะตา ก่อนดึงวงล้อแบบตามอำเภอใจแล้วรอผล