The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 73 กางเกง! กางเกง! กางเกง!
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 73 กางเกง! กางเกง! กางเกง!
“ถือว่าเณรรู้ตัวเองดี” จิ่งเหยียนเย้ยเยาะ
ฟางเจิ้งขมวดคิ้วพูดในใจ ผู้หญิงคนนี้ป่วยรึเปล่า? เขาไม่ยอมรับผู้หญิงคนนี้ อ้าปากแต่ละทีทำไมต้องเย้ยเยาะกันตลอด? ไม่สวมกางเกงแล้วคิดว่าตัวเองดีนักรึไง?
ตอนนี้เองจิ่งเหยียนจะเข้าวัด ฟางเจิ้งรีบเอ่ยด้วยความว่องไว “โยม ช้าก่อน”
“มีอะไรคะเณร?” จิ่งเหยียนขมวดคิ้ว มองฟางเจิ้งอย่างไม่พอใจ เมื่อครู่ปิดประตูไม่ต้อนรับ พอเข้าไปก็ถูกหมาป่าไล่ออกมา ครั้งนี้ไม่มีอะไรแล้วยังเข้าไม่ได้อีก?
ฟางเจิ้งยิ้มบอก “โยม วัดเป็นแดนอันเงียบสงบของพุทธศาสนา ขอให้โยมสวมกางเกงก่อนแล้วค่อยเข้าไป”
จิ่งเหยียนได้ฟังดังนั้นก็โกรธทันที หลวงจีนบ้านี่ไม่รู้เรื่องไหนมักถามเรื่องนั้น! จิ่งเหยียนเหมือนกับแมวถูกเหยียบหาง พูดด้วยความโมโห “เณร จงใจหาเรื่องกันรึเปล่าคะเนี่ย? กระโปรงฉันถูกหมาป่าฉีกไปแล้ว เณรก็เห็นนี่?”
“อมิตาพุทธ ถ้าโยมต้องการกระโปรงนั่น อาตมาจะไปหยิบมาให้เอง แต่วัดเป็นแดนที่มีกฎเคร่งครัด อุบาสิกาเข้าไปจะแต่งตัวโป๊ไม่ได้” ฟางเจิ้งตอบ
จิ่งเหยียนโมโหใหญ่ ดึงเลกกิ้งตัวเองพลางว่า “ดูสิ! นี่คือกางเกง! กางเกง! กางเกง! เห็นไหม? นี่กางเกง ไม่ได้โป๊!”
แควก!
พูดจบเกิดเสียงดังแควก กางเกงจิ่งเหยียนฉีกออกมา…
ดีที่มีเสื้อคลุมไว้ ไม่ได้โป๊เปลือย แต่ผู้ชายรอบๆ ดวงตาเปล่งประกายอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าทุกคนเข้าใจความหมายของเสียงนั่น! เพียงแต่ไม่มีคนพูดก็เท่านั้น
ตอนนี้เฉินจิ้งเสียใจภายหลังแล้ว ทำไมเขาต้องเป็นสุภาพบุรุษขนาดนั้นด้วย? ถ้าไม่ให้เสื้อจิ่งเหยียน ไม่แน่อาจได้เห็นอะไรบ้าง…คิดๆ แล้วเลือดร้อนระอุก็ตีขึ้นมา!
ฟางเจิ้งประนมสองมือ ยิ้มหยีตามองจิ่งเหยียน “อมิตาภพุทธ!”
ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ความหมายชัดเจนมาก
จิ่งเหยียนหน้าแดงก่ำ ถลึงตาโตจ้องฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งยิ้มมองจิ่งเหยียนด้วยสีหน้าอบอุ่น
สุดท้ายจิ่งเหยียนกระทืบเท้า หันไปพูดกับช่างกล้องว่า “เหม่ออะไร? ยังไม่ลงเขาไปเอากางเกงขายาวในรถมาให้ฉันอีก?”
ช่างกล้องเพิ่งได้สติกลับมาก็รีบวางกล้อง วิ่งลงเขาไป เขาจะยั่วโมโหจิ่งเหยียนไม่ได้ โอกาสประจบดีๆ แบบนี้มาแล้วไม่ทำก็โง่สิ
จิ่งเหยียนกัดฟันถลึงตามองฟางเจิ้ง ทว่าก็ไม่พูดว่าจะเข้าวัดอีก แต่เดินฉุนเฉียวไปข้างๆ หาก้อนหินนั่ง ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจ
“เณรครับ พวกเราเข้าไปดูในวัดได้ไหม? จะได้ไปจุดธูปด้วย” ตอนนี้เองไชฟางถาม
ฟางเจิ้งมองไชฟางที่อายุราวห้าสิบกว่าปีด้วยความสงสัยแวบหนึ่ง แต่ก็ยังเอียงตัวกล่าว “โยม เชิญทางนี้…”
ไชฟางพาเสี่ยวหลัวเข้าวัด อู๋ฉางสี่รีบลุกขึ้นมาแล้วหัวเราะซื่อๆ พลางเข้าไป หลังจากฟางเจิ้งยอมประลอง เขาได้คำนวณการแพ้ชนะในใจไว้แล้ว เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าอักษรของฟางเจิ้งจะต้องชนะอย่างแน่นอน!
เฉินจิ้งมองไชฟางในวัดก่อนมองจิ่งเหยียนที่อยู่เพียงลำพัง จากนั้นเข้าไปใกล้จิ่งเหยียนด้วยความเป็นห่วง
แม้จิ่งเหยียนจะไม่ชอบเฉินจิ้ง แต่ในป่าเขาแบบนี้มีคนข้างๆ อีกคนก็ดีกว่า จึงตอบรับแบบยังไงก็ได้ เหล่าเหมียวยืนอยู่ไกลๆ จะได้ไม่เป็นกว้างขวางคอเดี๋ยวจะถูกด่าเอาได้…
ตอนนี้เอง…
“เณร นี่ต้นโพธิ์เหรอ?” ไชฟางร้องด้วยความตกใจ ทุกคนจึงสนใจทันที
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ โยมสายตาดีนะ เป็นต้นโพธิ์นั่นแหละ”
“ไม่มีทาง ต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ภาคใต้ ทำไมมาอยู่ภาคเหนือล่ะ อีกอย่างมันไม่แข็งตายด้วย หน้าหนาวแบบนี้ยังแตกใบอีก มันมีสติปัญญาหรือว่าเป็นพันธุ์ผสม?” เฉินจิ้งยืดคอเข้าไปมองข้างในพลางพูดเบาๆ
จิ่งเหยียนมีสีหน้ามึนงงเหมือนกัน เข้าไปใกล้ประตูแต่ไม่ได้เข้าไป เดี๋ยวหลวงจีนบ้านั่นจะว่าเอาได้ “ต้นโพธิ์จริงๆ! มัน…แปลกเกินไปรึเปล่า?” พูดจบจิ่งเหยียนก็มองฟางเจิ้ง
ใบหน้าฟางเจิ้งมีเส้นสีดำอึมครึม บอกต้นไม้แปลกแล้วมองกันทำไม? เขาทำถูกต้องทุกอย่าง!
ไชฟางเดินล้อมรอบต้นโพธิ์หลายรอบ ให้เสี่ยวหลัวถ่ายภาพเก็บไว้เยอะมาก นี่ต้องเป็นข่าวแน่นอน ส่วนจะข่าวใหญ่แค่ไหนกลับไปก็รู้เอง ทว่าอย่างน้อยได้ลงหน้าหนังสือพิมพ์ก็ดีแล้ว มีต้นโพธิ์แบบนี้อยู่ถือว่ามาไม่เสียเที่ยว!
จิ่งเหยียนวิ่งเข้าไปแบกกล้อง เข้าไปไม่ได้เหรอ? ฉันก็จะยืนถ่ายอยู่ตรงนี้โอเคไหม?
เฉินจิ้งกับเหล่าเหมี่ยวตามไป…
แต่อู๋ฉางสี่แทบจะร้องไห้ เขามาถึงก่อนใคร ครั้งก่อนมัวแต่สนใจอักษรฟางเจิ้งจนพลาดข่าวนี้ไป! สำนักข่าวเขามาคนเดียวแต่ดันให้คนอื่นไปแบบนี้ อย่าพูดเลยว่าจะบอบช้ำในใจขนาดไหน แต่อู๋ฉางสี่ก็ฉลาด หยิบกล้องมือถือออกมาถ่าย จากนั้นแชร์ลงเวยป๋อ ลงในหน้าข่าว! ถ้าฉันไม่ได้ก่อน พวกนายก็อย่าหวัง
จิ่งเหยียน ไชฟาง เฉินจิ้งมองมาด้วยแววตาจะฆ่าคน แต่อู๋ฉางสี่ทำเป็นมองไม่เห็น
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ ไปจุดธูปไหว้พระกัน” ไชฟางพูดจบก็พาเสี่ยวหลัวเข้าไปในอุโบสถ พอเงยหน้าขึ้นไชฟางตะลึงงัน พระแม่กวนอิมปางประทานบุตร!
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าตอนที่เขาบอกว่าจะจุดธูป ทำไมฟางเจิ้งถึงมองเขาแบบนั้น อายุห้าสิบกว่าแต่ขอลูก? ไอ้เวรเอ๊ย!
แต่ไชฟางก็มีไหวพริบดี “เสี่ยวหลัว นี่คือพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร แกไปขอสิ”
ตอนแรกเสี่ยวหลัวไม่รู้จักพระแม่กวนอิมปางประทานบุตรจึงแทบจะคุกเข่าลง พอได้ยินว่าปางประทานบุตรจึงยิ้มแห้งๆ “อาจารย์ไช ผมยังไม่มีแฟนเลยจะขอลูกทำไม ตัวเองไม่ไหวแล้วรึไงครับ?”
ทั้งสองคนหมดปัญญา ได้แต่ถอยฉากออกมา
ฟางเจิ้งยืนอยู่หน้าประตู ถอนหายใจด้วยความเศร้าในใจ “ระบบ เมื่อไรจะให้เทพองค์อื่นล่ะ พระโพธิสัตว์มารึยัง? แค่พระแม่กวนอิมปางประทานบุตรองค์เดียวเสียธูปไปกี่ดอกแล้ว?”
“ติ๊ง! ร่างสถิตพยายามหาเงิน พยายามทำภารกิจก็จะมีโอกาสได้เอง สู้ๆ นะ”
‘สู้ๆ เตี่ยแกสิ…’ ฟางเจิ้งพูดเบาๆ ในใจ หาเงินง่ายขนาดนั้นก็ดีสิ ส่วนภารกิจ? ภารกิจธูปร้อยดอกเขาไม่เห็นความหวังเลย มิอย่างนั้นคงไม่ร่วมการประลองครั้งนี้ เขาทำไปไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงกับแสงธูปรึไง?
ขณะเดียวกันตรงตีนเขา ขบวนรถแล่นเข้ามาในหมู่บ้านเอกดรรชนี ดึงดูดสายตาชาวบ้านจำนวนมาก บนถนนมีชายคนหนึ่งกำลังใช้ไม้กวาด เปลือยกายท่อนบน กวาดหิมะดังแกรกๆ ทำงานจนไอร้อนลอยขึ้นฟ้า พอได้ยินเสียงรถก็เงยหน้าขึ้นมอง เขาคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น ซ่งเอ้อโก่วที่เข้าใจผิดคิดว่าตนฆ่าคนนั่นเอง
เพียงแต่ว่าตอนนี้จิตใจซ่งเอ้อโก่วเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อดีตเอ้อระเหยลอยชาย ตอนนี้มีความฮึกเหิมเต็มสิบ ราวกับมีพลังไม่มีสิ้นสุด
“เหล่าเซียง[1] วัดเอกดรรชนีไปยังไง?” กระจกรถลดลงมา โอวหยางหวาไจเอ่ยถาม
“พวกคุณจะไปวัดเอกดรรชนีเหรอ? เดินตรงไปตามทางนี้ พวกคุณเอารถมากันเยอะเกิน เข้าไปแล้วคงออกมาลำบาก จอดไว้ในหมู่บ้านเถอะแล้วเดินเข้าไป” ซ่งเอ้อโก่วตอบ
“เดินเข้าไป? แล้วไกลแค่ไหน?” ใบหน้างามยื่นออกมาจากในรถ นั่นคือลูกสาวของโอวหยางหวาไจ…โอวหยาวเฟิงหวา
…………………………………
[1] เหล่าเซียง คือคำใช้เรียกคนบ้านเมืองเดียวกัน