The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 77 ไม่มีอะไรเลย
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 77 ไม่มีอะไรเลย
ซ่งเอ้อโก่วเห็นดังนั้นก็ยิ้มด้วยนัยน์ตาเป็นประกายพิลึกพิลั่น หัวเราะเหอะๆ “อีกเดี๋ยวพวกแกได้กินมื้อใหญ่แน่ กล้าหาเรื่องฟางเจิ้งเหรอ? หึๆ…”
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ครอบครัวโอวหยางหวาไจกับพวกเจียงซงอวิ๋นคนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีนเมืองเฮยซานก็ขึ้นเขาเอกดรรชนี แม้จะมีหิมะตก แต่ข้างหน้ามีคนเปิดทาง จึงเดินสบายขึ้นมาก
ต่อให้เป็นแบบนี้ คนที่มีตำแหน่งสูงมีชีวิตสุขสบายก็ยังเหนื่อยจนไม่ไหว ตอนที่มาถึงหน้าวัดก็หอบหายใจแรง
เจียงซงอวิ๋นยิ้มแห้ง “เห็นวัดสักที รีบเข้าไปพักเถอะ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
พอเงยหน้าขึ้น ตรงประตูมีคนกลุ่มใหญ่นั่งอยู่ และยังมีคนจุดไฟกำลังผิงไฟ
“พ่อคะ ทำไมมีขอทานเยอะแบบนี้ล่ะ? ทำไมไม่ลงเขาไปหาที่ผิงไฟ มาอยู่หน้าประตูวัดทำไม?” โอวหยางเฟิงหวาเสียงไม่ดังแต่ก็ไม่เบา พวกคนหน้าแบนได้ยินเข้าก็หน้าแดง รู้สึกอับอาย
แต่พั่งจื่อกลับหัวเราะเสียงดัง “เด็กน้อย นี่ไม่ใช่ขอทานหรอก เป็นนักเขียนพู่กันจีนของอำเภอเมืองซงอู่ต่างหาก! ขึ้นเขามาแล้วเกิดแรงบันดาลใจ เลยถอดกางเกงเขียนอักษร น่าตื้นตันมากๆ”
โอวหยางเฟิงหวามองคนพวกนี้อย่างสงสัย ก่อนมองโอวหยางหวาไจที่สวมเสื้อผ้าครบและสง่าผ่าเผยพลางส่ายหน้า “ยังอีกไกลไหมคะ?”
เธอกลับไม่รู้ว่าตอนที่คนพวกนี้มามีใครบ้างที่สวมเสื้อผ้าไม่ครบ? หลายคนในนั้นไม่แย่ไปกว่าโอวหยางหวาไจ ถึงอย่างไรนักเขียนพู่กันจีนก็มีเอกลักษณ์ของตัวเองภายใต้พู่กันกระดาษและจานฝนหมึก เพียงแต่ว่าเป็นใครเมื่อถูกหมาป่าไล่ตามก็ตกอยู่สภาพย่ำแย่กันทั้งนั้น จึงไม่มีเอกลักษณ์อะไรเลย
ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ไม่มีเสื้อผ้าดีๆ แถมดูมอมแมมจึงถูกชิงความมีชีวิตชีวาไป ตนจะค่อยๆ สกปรกลงจนเป็นดั่งขอทาน
แต่ว่าก็มีคนที่หมาป่าเดียวดายไม่ได้ดูแล อย่างเช่นตาเฒ่าซุนก้วนอิง เขาทำตามกฎวัดอย่างดีมากมาตลอด ฟางเจิ้งให้ทุกคนเงียบเขาก็ให้ศิษย์สองสามคนไม่พูดคุยเสียงดัง กระทั่งคล้อยหลังฟางเจิ้งยังพาศิษย์ออกมาจากวัดก่อน เลยรอดจากการโดนหมาป่าไล่ล่า
โอวหยางเฟิงหวามองแวบแรกก็จำซุนก้วนอิงได้ จึงตรงเข้าไปทัก “ซุนเหล่า นะ…นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ? ทำไมถึงเหมือนเพิ่งทะเลาะกันมาเลย?”
“เฮ้อ ให้พูดคงยาว” ซุนก้วนอิงหัวเราะแห้งๆ เขาไม่อยากพูดเรื่องนี้จริงๆ มันน่าขายหน้า!
คนหน้าแบนก็เบี่ยงประเด็นไป “พี่โอวหยาง มาสักทีนะ รีบเข้าไปสั่งสอนเณรนั่นเถอะ เจ้านั่น…ไม่ใช่คนดีเลย! พวกเราเข้าไปชมในวัดเขาดันปล่อยหมามากัดคน แต่นี่ก็ช่างเถอะ การประลองครั้งนี้ที่ตกลงกันไว้เขาไม่ให้พวกเราเข้าไปประลองในวัด แต่ให้ประลองนอกวัด! พี่ว่ามันน่าโมโหไหมล่ะ?”
“เริ่นเฉียวอัน นายพูดจริงเหรอ? เณรไม่ต้อนรับพวกนาย แถมยังปล่อยหมามากัดอีก? ซุนเหล่า จริงหรือครับ?” โอวหยางหวาไจถามติดๆ กัน นัยน์ตาฉายแววโมโห! เขาถูกชาวบ้านตรงตีนเขาหลอก เพื่อนพวกนี้ขึ้นเขามายังโดนหลวงจีนนั่นทำร้ายอีก เขารู้สึกแค่ว่ามีควันในท้อง โมโหมาก!
โอวหยางเฟิงหวาได้ยินดังนั้นก็ปิดปากเล็ก ทำหน้าตกใจ ก่อนจะแอบขำเล็กน้อย แม้เธอไม่คิดว่าเณรนั่นจะเอาชนะพ่อเธอได้ แต่เธอเริ่มอยากรู้จักหลวงจีนคนนั้นแล้ว
ชุยจิ่นเป็นกังวล หลวงจีนนี่ไร้ศีลธรรมจริงๆ!
“ความจริงอะไร! ทำไมไม่พูดเรื่องที่ตัวเองทำล่ะ? เข้าไปก่อความวุ่นวายในวัดเขา ท่องกวีหมาไม่รับประทานแบบนั้นเขาปล่อยหมามาก็ถือว่าเบาแล้ว เป็นฉันนะควรจะตบหน้าพวกแกต่างหาก!” พั่งจื่อโต้กลับ
โอวหยางหวาไจหมุนตัวกลับไปมอง เห็นอู๋ฉางสี่นั่งอยู่ข้างพั่งจื่อพอดี
โอวหยางหวาไจไม่สนพั่งจื่อ เขาไม่อยากยุ่งกับอันธพาลแบบนี้ จะได้เลี่ยงปัญหาไปได้ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “อู๋ฉางสี่ นายเป็นคนเชิญให้ประลองเองนะ ทำไมล่ะ? กลัวรึไง ไม่กล้าประลอง? ถึงได้ใช้ลูกไม้เลวๆ แบบนี้อยากให้ฉันถอยรึไง?”
อู๋ฉางสี่ได้ยินสิ่งที่โอวหยางหวาไจเจอมาก่อนแล้วจึงผายมือออก “โอวหยางหวาไจ นายอย่าใส่ความคนอื่นจะดีกว่า นายเป็นคนจัดการประลองเอง ไต้ซือไม่รู้เรื่องด้วย เขาไม่ปฏิเสธก็ดีแค่ไหนแล้ว ส่วนเรื่องที่นายเจอ อาจจะเป็นฟ้าลิขิตไว้ตามนิสัยคนมั้ง”
“พูดกับนายไปก็ไม่มีประโยชน์ ตกลงจะแข่งไหม?” โอวหยางหวาไจไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับอู๋ฉางสี่ บนเขาอากาศหนาว มีสมาชิกสมาคมศิลปะพู่กันจีนกางเกงถูกกัดขาดไม่น้อย ถ้าไม่ได้ผิงไฟคงหนาวแย่ไปนานแล้ว ได้แต่ตัวสั่นกึกๆ ในสายลมหิมะ เหมือนกับขอทานจริงๆ น่าขายหน้าทีเดียว
อู๋ฉางสี่กล่าว “ไต้ซือก็เห็นด้วยกับการประลอง แต่จะจัดในวัดไม่ได้ ฉันไปหายืมโต๊ะไต้ซือมาสองตัว จะจัดประลองข้างนอก”
“ได้เหรอ? อากาศหนาวแบบนี้ มือแข็งพอดี ประลองพู่กันต้องใช้แรง จะเขียนได้ยังไง?” โอวหยางเฟิงหวาถาม
อู๋ฉางสี่ตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็ผิงไฟเอา”
พูดจบ อู๋ฉางสี่ผลักประตูวัดเดินเข้าไปหาฟางเจิ้ง
อู๋ฉางสี่พูดขึ้นว่า “อ้าว จะประลองพู่กันจีนกัน นี่เป็นสิ่งจำเป็นนะครับ”
“ไม่มี…” ฟางเจิ้งส่ายหน้าราวกับกลองป๋องแป๋ง ตลกละ ตัวเขายังใช้หินนั่งเป็นประจำ จะเอาโต๊ะเก้าอี้ที่ไหนมาให้คนอื่นใช้
อู๋ฉางสี่ไม่เชื่อ ฟางเจิ้งให้เขาหาก็เลยหาในวัดรอบหนึ่ง นอกจากโต๊ะหมู่บูชาแล้วก็ไม่มีอะไรเหมือนเก้าอี้เลยจริงๆ จึงรู้สึกขมขื่นในใจ
“ไต้ซือ ไม่มีวิธีอื่นเลยเหรอครับ?” อู๋ฉางสี่ถาม
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ไม่มี โยมก็เห็นแล้ว วัดอาตมายากจนมาก อย่าว่าแต่เก้าอี้เลย แม้แต่พู่กันกระดาษจานฝนหมึกยังไม่มี”
อู๋ฉางสี่บอก “พู่กันกระดาษกับจานฝนหมึกผมเตรียมไว้ให้ไต้ซือแล้ว แต่ไม่มีโต๊ะนี่เป็นปัญญา”
พูดจบก็มีเสียงเกรียวกราวดังแว่วมาจากข้างนอก
ฟางเจิ้งกับอู๋ฉางสี่ออกไปดูก็เห็นผู้ใหญ่บ้านหวังโอ้วกุ้ย เสมียนถานจวี่กั๋ว และนักบัญชีหยางพาชาวบ้านที่จะมามุงดูกลุ่มหนึ่งเข้ามา และในหมู่ชาวบ้านนั้น พวกซ่งเอ้อโก่วกับหยางหวากำลังแบกโต๊ะขึ้นมาด้วย
พอเจอหน้ากัน หวังโอ้วกุ้ยก็แสดงความเคารพโองหยางหวาไจกับพวกเจียงซงอวิ๋นก่อน คนพวกนี้เป็นปัญญาชนในเมือง มาที่กันดารแบบนี้ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ เลยต้องใคร่ครวญ ถ้าปัญญาชนพวกนี้มาช่วยป่าวประกาศให้วัดเอกดรรชนีกับหมู่บ้านเอกดรรชนี ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจยืมแรงมาพัฒนาได้
ถึงแม้โอวหยางหวาไจกับเจียงซงอวิ๋นจะเย่อหยิ่ง ทั้งยังเป็นคนในเมือง ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกหวังโอ้วกุ้ยก็ไม่ได้แสดงท่าทีเย็นชาเกินไป ต่างแสดงความเคารพกันและกัน ถือว่าเข้ากันได้ดี
ตอนนี้เอง ฟางเจิ้งออกมาแล้ว หวังโอ้วกุ้ยพูดขึ้น “เจ้าฟาง…เจ้าอาวาส ได้ยินมาว่าจะจัดการประลองศิลปะพู่กันจีนบนเขากัน ฉันรู้ว่าวัดไม่มีโต๊ะเลยเอาโต๊ะมาให้สองตัว ดูซิว่าได้ไหม?”
…………………………………………..………..