The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 98 ถึงตายก็ไม่สำนึกเสียใจ
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 98 ถึงตายก็ไม่สำนึกเสียใจ
โดยเฉพาะวันนี้เที่ยงคืน เขาได้รับข้อความจากเบอร์แปลก ‘ใครทำอะไรสวรรค์มองอยู่ตลอด กฏแห่งกรรมชัดเจน นายจะหลบไปได้จนถึงเมื่อไร?’
เฉินจิ้งนึกถึงหลี่เฟิ่งเซียนจึงส่งข้อความกลับ แต่ก็เงียบหายไป ทว่าเขารู้สึกบางอย่างว่าหลี่เฟิ่งเซียนเป็นคนส่งให้เขา! จากนั้นอีกสักครู่ก็ติดต่อไป พอนึกถึงเณรที่จับหมาป่าด้วยมือเดียวในวัดเอกดรรชนีแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าปัญหาอยู่ที่วัดเอกดรรชนี
ดังนั้นเฉินจิ้งจึงมา
ขึ้นเขากลางดึกไม่ใช่เรื่องดีเลย แต่พอมองท้องที่นูนขึ้นเรื่อยๆ เฉินจิ้งจึงกัดฟันปีนต่อไป
คืนนี้ฟางเจิ้งไม่รับรู้เรื่องราวต่างๆ ในสังคม ไม่รู้ว่าใต้ภูเขาเกิดอะไรขึ้น รู้สึกแค่ว่าอภินิหารนี่ไม่มีประโยชน์! หลังใช้ไปแล้วไม่มีแสงทองสว่างวาบหรือมีมังกรเทพทะยานขึ้นฟ้า กระทั่งใช้สำเร็จหรือไม่ยังไม่มีการแจ้งผล
คิดไปคิดมาก็นอนไม่หลับเลยลุกขึ้นมานั่งใต้ต้นโพธิ์ เหม่อมองดวงจันทร์บนฟ้า ดวงจันทร์สีขาวสาดแสงเรืองรองสีเงิน ผ่านใบไม้เขียวของต้นโพธิ์ลงบนตัวฟางเจิ้งเป็นจุดๆ ทำให้ตัวเขามีเอกลักษณ์คราบละอองเพิ่มมาหลายส่วน
ฟางเจิ้งกำลังเหม่อก็ได้ยินเสียงดังก๊อกๆๆ ประตูใหญ่ถูกเคาะเสียงดัง
ฟางเจิ้งตกใจสะดุ้ง ดึกดื่นป่านนี้ใครมาเคาะประตู? หรือว่าจะเป็นผี?
ถ้าปกติเขาจะกลัวอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาไม่กลัว! ระบบพระพุทธองค์อยู่กับเขา ในอุโบสถก็มีพระพุทธรูป ผีต่ำช้าที่ไหนจะมาพาลเกเรที่นี่ได้?
ขณะฟางเจิ้งกำลังสงสัยก็มีเสียงอ่อนแรงดังแว่วมา “ไต้ซือ ไต้ซือ ไต้ซือ…เปิดประตูหน่อย….”
แอ๊ด!
ฟางเจิ้งเปิดประตู ไม่มีใคร!
ฟางเจิ้งนึกถึงเสียงลอยล่องเมื่อครู่พลันสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าปอด ขนแทบจะลุกชูชัน หรือว่ามีผีจริงๆ?
ตอนนี้เองขากางเกงฟางเจิ้งตึง!
“อ๊าก!” ฟางเจิ้งตกใจจนยกเท้าถีบไป!
โครม!
“โอ๊ย!” เสียงน่าเวทนาดังแว่วมา ฟางเจิ้งก้มหน้ามองก็เห็นคนถูกถีบลอยไป กระเด็นเข้าไปในกองหิมะที่เขาเพิ่งกวาดรวมไว้
“หืม…คนนี่!” ฟางเจิ้งตบหน้าผาก ก่อนรีบวิ่งเข้าไปดึงคนขึ้นมา!
หลายนาทีต่อมา ในห้องหลังวัด ข้างเตาไฟ เฉินจิ้งอุ้มท้องใหญ่บนม้านั่งที่มีอยู่ตัวเดียว ตรงมุมปากมีรอยเลือดสีแดง ร้องโอดครวญไม่หยุด…
ฟางเจิ้งนั่งบนหินข้างๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ไต้ซือ เอ่อ…ท่านเป็นคนทำใช่ไหม?” เฉินจิ้งชี้ท้องใหญ่
ฟางเจิ้งไม่พูดอะไร เอาแต่มองเฉินจิ้งนิ่งๆ
เฉินจิ้งเห็นอย่างนั้นก็คุกเข่าลงตรงหน้าฟางเจิ้ง ร้องไห้ฟูมฟาย “ไต้ซือผมผิดไปแล้ว! ท่านปล่อยผมไปเถอะ…เรื่องท้องผมยังไงก็ได้ แต่ท้องแผ่นกระเบื้องนี่มันยังไง? ฮือๆๆๆ ไต้ซือผมสำนึกผิดแล้ว ท่านให้อภัยผมเถอะ”
ฟางเจิ้งกล่าว “โลกมีเหตุและผล ไม่ใช่ว่าไม่มีกรรม แค่ยังไม่ถึงเวลาก็เท่านั้น โยม สำนึกผิดจริงๆ หรือ?”
“สำนึกผิดแล้ว สำนึกผิดแล้ว โอ๊ย…เจ็บ ไต้ซือ ท่านให้อภัยผมเถอะ ผมใกล้จะคลอดแล้ว” เฉินจิ้งร้อง
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “รอจนโยมรู้จริงๆ ก่อนว่าผิดตรงไหนแล้วอยากจะปรับปรุงเท่านั้นค่อยว่ากันอีกที”
พูดจบฟางเจิ้งยืนขึ้น โยนเฉินจิ้งไว้นอกประตูใหญ่ ไม่รอให้เฉินจิ้งกล่าวก็ปิดประตูดังปัง!
เฉินจิ้งมองประตูที่ปิดลงพลางกุมท้องโย้ ร้องโอดครวญไม่หยุด เขากังวลแล้ว หลวงจีนนี่รู้ได้ยังไงว่าเขายังไม่สำนึกผิดจริงๆ?
ฟางเจิ้งยิ้มเยาะอยู่หลังประตู “ตอนแรกคิดว่าเจ้านี่รู้แล้วว่าผิดตรงไหน แต่ระบบกลับไม่แจ้งเลยสักนิด คิดจะหลอกฉันเหรอ? เอาเถอะ คลอดลูกเล่นไปแล้วกัน!”
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อ เดินไปสวดมนต์ที่อุโบสถ
เวลาผ่านไปทีละนาที เฉินจิ้งอยู่ข้างนอกหนาวจนกระโดดไปมา เจ็บท้องจวนจะตายอยู่แล้ว ในความคิดนึกหาวิธีหลอกหลวงจีนนี่ไม่หยุด หลอกเสร็จแล้วค่อยว่ากันอีกที
แต่คิดไปคิดมาก็หาวิธีไม่ได้…
เห็นวัตถุในท้องไหลลงไปข้างล่างเขาก็เกิดกลัวขึ้นมาจริงๆ!
แต่จะให้เขาละทิ้งทุกอย่างไปแบบนี้เหรอ? แล้วคนที่เขาสูญเสียไปก่อนหน้าล่ะ? เขาล่ะกลัวจริงๆ
แต่พอนึกถึงอภินิหารที่เสกให้เขาตั้งครรภ์จากระยะไกลได้เขาพลันพบว่าการที่ตนเป็นอริกับอีกฝ่ายช่างน่าหัวเราะ! ตอนแรกเขาคิดว่าจะได้ทำงานอย่างมั่นคง อนาคตสวยงามดั่งผ้าไหม ถ้าจีบจิ่งเหยียนสำเร็จจะก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิม แต่เพราะหลวงจีนนี่ทำลายทุกอย่าง ตอนนี้ถ้าคลอดแผ่นกระเบื้องออกมา เดาว่าชีวิตเขาคงพังพินาศ
ทว่าจะให้เขาสำนึกผิด เขากลับไม่คิดว่าตนผิดตรงไหน เขาคิดจะทำร้ายหลวงจีนนี่จริงๆ แต่ปัญหาคือยังทำไม่สำเร็จไม่ใช่เหรอ?
เป็นแบบนี้ไป สำนึกเสียใจพลางไม่ยอมไปพลาง อารมณ์ซับซ้อนวนเวียนในใจ นั่งอยู่คืนหนึ่ง หนาวจนเฉินจิ้งริมฝีปากม่วง สุดท้ายก็ต้องเอาหญ้าใต้หิมะออกมาจุดไฟสร้างความอบอุ่น
แน่นอนว่าฟางเจิ้งย่อมสังเกตเฉินจิ้งนอกประตูทุกฝีก้าว นี่คือวัดเขา ไม่ใช่หอประกอบฌาปนกิจ ถ้าเฉินจิ้งหนาวจนตายไปจริงๆ เขาคงมีปัญหาไม่น้อย อีกอย่างโทษเฉินจิ้งก็ยังไม่ถึงกับตาย…
หมาป่าเดียวดายนอนหมอบอยู่ตรงประตูใหญ่ ถ้าข้างนอกมีการเคลื่อนไหวมันจะแจ้งฟางเจิ้งเป็นอันดับแรก ฟางเจิ้งเห็นว่าพอดึกแล้วเฉินจิ้งยังไม่หนาวตายก็เคารพพลังชีวิตของอีกฝ่าย
ไม่ว่านอกประตูจะเป็นยังไง ฟางเจิ้งก็ยังกินข้าว ดื่มน้ำ กวาดอุโบสถ…เหมือนว่าข้างนอกไม่มีคน
เฉินจิ้งอยู่นอกประตู ทั้งหิวทั้งหนาวปะปนกันก็ไม่เป็นไร แต่ปัญหาคือท้องเขาเหมือนจะใหญ่ขึ้นอีกแล้ว!
ทว่าประตูใหญ่ก็ยังไม่เปิดออก ปีนกำแพงไปดูก็ไม่ได้ เฉินจิ้งจึงได้แต่จำใจทุบกระเบื้องตรงประตูพลางร้องเรียก “ไต้ซือ ทำยังไงท่านถึงจะยกโทษให้ผม?”
แต่ไม่มีเสียงคนขานรับ
เฉินจิ้งกัดฟันคุกเข่าหน้าประตู “ไต้ซือ ถ้าท่านไม่ยกโทษให้ผม ผมจะคุกเข่าอยู่อย่างนี้แหละ!”
ทว่าตอนนี้เองฟางเจิ้งไม่ได้นั่งฌานเหมือนนักบวชเฒ่าอย่างที่เฉินจิ้งคิด แต่นอนหมอบอยู่ตรงซอกประตู กระดกก้นคอยแอบมอง เห็นเฉินจิ้งมาไม้นี้ก็ตกใจสะดุ้ง จากนั้นหัวเราะเฝื่อนๆ ในใจ ‘เจ้านี่ใช้แผนยอมเจ็บตัวก็ถือว่าไหลลื่นใช้ได้ ถ้าเป็นหลวงจีนคนอื่นไม่แน่อาจจะยกโทษให้เขาไปแล้ว น่าเสียดายระบบไม่ส่งเสียงเลย โยมหลอกอาตมาไม่ได้หรอก! ชอบคุกเข่าก็ทำไป คิดออกเมื่อไรค่อยว่ากัน!’
ฟางเจิ้งส่ายหน้า เข้าอินเทอร์เน็ตไปอ่านพุทธคัมภีร์
เวลาผ่านไปช้าๆ เฉินจิ้งคุกเข่าจนเจ็บหัวเข่าไปหมด คิดในใจว่า ‘ไอ้หลวงจีนบ้า ทำไมใจดำแบบนี้วะ? ฉันทำขนาดนี้แล้ว จะให้ทำถึงขนาดไหน? ดี ฉันจะเล่นกับแกเอง! รอจนคนอื่นๆ มาก่อน พอทุกคนเห็นแบบนี้แล้ว คอยดูซิว่าแกจะอายที่ให้ฉันคุกเข่าแบบนี้ต่อไปไหม! ถึงตอนนั้น หึหึ…’
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
‘เจ็บเข่าจังโว้ย…ทำไมไม่มีคนมาสักที?’
สองชั่วโมงผ่านไป
‘ไม่ไหวแล้ว นั่งสักเดี๋ยว บ้าจริง ทำไมไม่มีคนมาเลย?’
สามชั่วโมงผ่าน
‘พระเจ้า วัดนี่จะเงียบเหงาไปถึงไหนวะ? ไม่ใช่ว่าวันนี้จะไม่มีคนมานะ?’
กลางวัน
‘ไม่มีคนมาจริงๆ เหรอเนี่ย?’
ยามเย็น…
“วัดห่าอะไรวะเนี่ย? ไม่มีใครมาเลย หลวงจีนสารเลวนั่นโตมายังไงเนี่ย? ไม่หิวตายไปแล้วรึไง?!”
……………