The Rise of Otaku - ตอนที่ 104
บทที่ 104 การสืบทอดสํานัก
อู๋หยุนชอบงานที่ฝีมือของโจวหยู อาคารทุกหลังเต็มไปด้วยพลังของชีวิต เธอรู้สึกเหมือนมีชายร่างเล็กอาศัยอยู่ในนั้นจริงๆ แต่เดิมเธอคิดว่าจะเธอต้องซื้องานเหล่านี้บางชิ้นและนํากลับบ้านไป แต่เธอไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะได้รับการยอมรับว่าจากไอดอลของเธอตั้งแต่แรกเห็น นี่เป็นเหมือนเนื้อเรื่องในนวนิยายออนไลน์
“เอ่อ … แม้ว่าฉันจะยอมรับเธอในฐานะศิษย์ แต่ฉันไม่รู้วิธีสอนคนอื่นมากนัก ดังนั้นมัน จะเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นหลัก โดยที่ฉันจะให้เครื่องมือและตัวอย่างแก่เธอเพื่อให้เธอสามารถศึกษาด้วยตนเองได้ แต่ถ้ามีบางสิ่งที่เธอไม่เข้าใจเธอก็สามารถมาถามฉันได้ตลอดเวลา ”
แน่นอนโจวหยูจะไม่สอนทักษะช่างไม้ให้ใครสักคนจริงๆ อาจจะพูดได้ว่าทักษะช่างไม้ของเขา นั้นอยู่ในระดับกลางๆค่อนไปทางต่ําเท่านั้น มันอาจจะแย่กว่าของ อู๋หยุนด้วยซ้ํา แต่ถ้ามันเกิดเหตุไม่คาดฝันจริงๆเขาก็ยังสามารถแยกชิ้นส่วนของอาคารทั้งหมดออกเป็นส่วนๆ และ จากนั้นก็มอบพวกมันทั้งหมดให้ลูกศิษย์คนนี้ได้ศึกษาด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตามอู๋หยุนยังพยักหน้าและเห็นด้วยกับสิ่งที่โจวหยูพูดออกมา เธอที่หลงใหลในงานฝีมือจนสุดตัวไม่มีอะไรดีไปกว่าการทํางานที่ตัวเองรัก
หลังจากรับศิษย์ได้สําเร็จ โจวหยูได้จัดอู๋หยุนให้เข้าพักที่วิล่าตุ๊กตา นี่คือบ้านพักที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาแปลกๆ ทุกชนิด แม้แต่ประตูของบ้านพักก็ยังเป็นตุ๊กตาตัวใหญ่ เมื่อมองแวบแรกมันอาจจะดูน่ากลัวนิดหน่อย แต่มันก็เหมือนสวรรค์ของอู๋หยุน ด้วยสภาพแวดล้อมการทํางานแบบนี้ เธอยินดีที่จะทํางานโดยไม่ได้รับเงิน
แน่นอนโจวฟูคงไม่ใช่คนขี้เหนียวแบบนั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วเธอก็เป็นลูกศิษย์ของโจวหยู และถ้าว่าแผนนี้ประสบความสําเร็จในอนาคตสวนสนุกแห่งนี้ก็จะมีร้านขายของที่ระลึกเกิดขึ้น แต่มันก็ตั้งอยู่ว่าเธอจะสามารถสืบทอดทักษะของโจวหยูได้มากแค่ไหน
นอกเหนือจากเงินเดือนขั้นพื้นฐานแล้ว อู๋หยุนก็ยังจะได้รับค่านายหน้าสําหรับผลงานของเธออีกด้วย ที่โจวฟูตั้งเงื่อนไขแบบนี้ก็เพราะเขาต้องการให้อีกฝ่ายขยันมากขึ้น เขาไม่ต้องการให้เธอเลียนแบบอาจารย์ของเธอ ที่วันๆเอาแต่นอนขี้เกียจทั้งวัน
ชุดเครื่องมือช่างไม้ที่อู๋หยุนได้รับมาจากโจวหยูเองก็มาจากเจ้าตู้กาชาปอง พูดถึงชุดเครื่องมือพวกนี้โจวหยได้รับมาจํานวนมากในช่วงหนึ่งปีมานี้ นอกเหนือจากอุปกรณ์ไม่กี่ชุดที่เขาจําเป็นต้องใช้แล้ว พวกมันทั้งหมดต่างก็ถูกโยนเข้าไปในห้องกับของจนฝุ่นเกาะแล้ว ดังนั้นเมื่อการมาถึงของอู๋หยุน โจวหยูก็ตัดสินใจไม่ยากเลยที่จะมอบอุปกรณ์พวกนี้ให้กับเธอไปใช้
หลังจากส่งอู๋หยุนกลับไป โจวหยูก็รู้สึกหิวขึ้นมา เขาจึงได้คิดจะนําพวกผักที่ปลูกมาทำอาหารอร่อยๆเพื่อเป็นการฉลองในเรื่องนี้ แต่ยังไงก็ตามเมื่อเขากําลังจะกินคําแรก ช่างไม้บีเวอร์ก็วิ่งเข้ามาและตะโกนขึ้นว่า “เร็วเข้า! ราชามังกรเฒ่าบอกข้าว่ามีนักเรียนช่างไม้ที่มีพรสวรรค์มากปรากฏขึ้น เจ้าจําเป็นต้องช่วยข้านะ ไม่อย่างนั้นทักษะที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษของข้าคงต้องจากไปกับข้าอย่างแน่นอน”
ข่าวนี้กําลังแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในโลก ACG อย่างไรก็ตามความเร็วในการมาถึงของช่างไม้บีเวอร์ก็ยังถือว่าค่อนข้างช้า คนที่ราชามังกรเฒ่าพูดถึงน่าจะเป็นอู๋หยุน ถ้า เป็นเธอละก็ตอนนี้เขาได้รับเธอมาเป็นลูกศิษย์ของตัวเองแล้ว
หลังจากฟังสิ่งที่โจวหยูพูดแล้วช่างไม้บีเวอร์ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะเจ้าเด็กโจวหยูนั้นเป็นพวกขี้เกียจมาโดยตลอด ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่คิดจะสืบทอดทักษะช่างไม้ของตน ซึ่งมันเป็น เรื่องที่น่าเสียใจกับเขามาโดยตลอด แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว ด้วยการปรากฏตัวของอู๋หยุนผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านนี้ ถ้าเกิดว่าพลาดเธอในครั้งนี้ไป มันคงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่สุดไปตลอดชีวิต
เมื่อมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น การฉลองก็เป็นเรื่องที่จําเป็นเช่นกัน ดังนั้นในวันนี้นอกจากโจวหยู แล้ว ยังมีช่างไม้บีเวอร์ร่วมวงกินด้วย อาหารเหล่านี้ทําจากผักของโลก ACG ดังนั้นช่างไม้บีเวอร์จึงสามารถเพลิดเพลินกับอาหารเหล่านี้ได้เช่นกัน
“เจ้าเด็กน้อย! ในอนาคตเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเห็นคนประเภทนี้อีกอย่าลืมรับพวกเขาเอาไว้ เพราะทุกคนต่างก็มีความสามารถมาก ถ้าเจ้าสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเขาได้ในอนาคตพวกเขาเหล่านี้จะช่วยเจ้าได้มากเลยที่เดียว”
ด้วยคําพูดนี้ของช่างไม้บีเวอร์มันทําให้โจวหยูรู้ว่าการตัดสินใจก่อนหน้านี้ของเขานั้นถูกต้อง แต่เขาก็คิดถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ ถ้าเกิดว่าในอนาคตเกิดมีพวกโอตาคุที่มีพรสวรรค์แปลกๆเกิดขึ้น เขาจะทํายังไง?
แน่นอนว่าคนแบบนี้ไม่ใช้จะหาได้ง่ายๆ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆไม่ใช้ว่าเขาต้องรับพวกเขาหรอกนะ?
ในช่วงเย็นวันนั้นอู๋หยุนยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอในวันนี้ เธอรู้สึกเหมือนมันเป็น แค่ความฝันเสียอีก
มันช่างน่าทึ่งจริงๆ
หลังจากจบการศึกษาเธอได้ใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อหางานมันกับล้มเหลว มันจึงทําให้ช่วงเวลานั้นเป็นฝันร้ายสําหรับเธอเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเธอเห็นโมเดลเรือที่ละเอียดอ่อนเหล่านั้นในทีวี มันเหมือนกับการปลอบโยนวิญญาณที่บาดเจ็บของเธอ เธอจึงได้ตัดสินใจที่จะมาที่นี้ แต่เธอไม่ คิดว่าการมาที่นี้ของเธอจะทําให้เธอได้รับการยอมรับจากไอดอลของตัวเองแบบนี้ และในตอน นี้เธอยังได้เป็นศิษย์ของอีกฝ่ายอีกด้วย มันช่างเป็นเรื่องที่เธอไม่คาดคิดมาก่อน
เมื่อเธอคิดถึงเรื่องนี้เธอก็ได้กลิ้งไปทางซ้ายและขวาที ระหว่างนั้นบนหัวเตียงก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อเธอกําลังคิดว่าใครกันที่โทรมาหาเธอดึกแบบนี้ เธอก็พบว่าเบอร์นั้นเป็นเบอร์ของอาจารย์ของเธอเอง “เสี่ยวอู๋! ช่วงเที่ยงคืนวันนี้เธอช่วยออกมาข้างนอกหน่อยนะ เพราะมันจําเป็นที่จะต้องทําพิธีรับเธอเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการนะ”
เรื่องนี้ต้องโทษช่างไม้บีเวอร์ มันบอกว่านี้เป็นประเพณีของสํานักมาช้านาน มันได้ยืนยันในการทําพิธีรับลูกศิษย์นี้อย่างจริงจังและมันยังบอกอีกว่าเรื่องนี้จําเป็นต้องทําในตอนกลางคืนเมื่อดวงจันทร์สว่างที่สุดอีกด้วย
เมื่อโจวหยูได้ฟังแบบนั้นคําถามแรกที่ปรากฏขึ้นมาก็คือ มันมีสํานักด้วย? แล้วแบบนี้ไม่ใช้ว่าจะคนร่วมสํานักอีกหรือ?
โชคไม่ดีที่บีเวอร์ไม่ยอมบอกอะไรเพิ่มอีกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นโจวหยูจึงทําได้เพียงก้มหน้าก้มตาทําตามที่อีกฝ่ายบอกเท่านั้น และก่อนถึงเวลาที่นัดหมายเขายังต้องจัดสถานที่ตามที่อีกฝ่ายบอกอีกด้วย ในท้ายที่สุดเมื่อทุกอย่างลงตัวภาพที่ปรากฏต่อหน้าของเขาก็ทําให้เขารู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ด้วยเหมือนสถานที่ทําพิธีกรรมที่เขาเคยเห็นผ่านทีวีมาก่อน
การที่ช่วงกลางคืนมีชายหนุ่มคนหนึ่งขอให้ผู้หญิงคนหนึ่งออกมา ไม่ว่าใครจะมองมันยังไงก็ไม่ใช้เรื่องที่ถูกต้องมากนัก ถ้านี้เป็นคนอื่นก็อาจจะคิดเรื่องนี้แต่สําหรับโจวหยูแล้วเขากับไม่สนใจมันเลย กลับกันเมื่อเขาเห็นอู๋หยุนออกมาตามนัดจริงๆ เขาถึงกับแสดงความรู้สึกแปลกใจออกมา
ทางด้านอู๋หยุนแม้ว่าเธอจะรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกๆอยู่บ้าง แต่เมื่อเธอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ของตัวเอง มันก็ทําให้เธอไม่รู้สึกแย่มากนัก เธอได้คิดมาตลอดทางว่าอาจารย์ของเธอต้องการทําอะไรกันแน่ แต่เมื่อเธอเห็นสถานที่ตรงหน้าเธอก็อดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมา เพราะสถานที่ตรงหน้านั้นได้ดูเหมือนกับสถานที่จัดพิธีกรรมที่เธอเคยเห็นในทีวีหลังข่าว
‘นี่คือปีอะไรแล้ว? ทําไมอาจารย์ยังต้องทําพิธีรับลูกศิษย์แบบนี้ด้วย?’
“อย่าหัวเราะ! นี่มันเป็นเรื่องที่จริงจังเป็นอย่างมาก!”
โจวหยูเห็นว่าอู๋หยุนกําลังจะหัวเราะ เขาจึงได้ห้ามอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน เขาไม่รู้ว่าถ้าเกิดเธอหัวเราtออกมาช่างไม้บีเบอร์ที่อยู่บนไหล่ของเขาจะแสดงอาการยังไง
พิธีรับศิษย์ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากนัก อู๋หยุนเพียงต้องคุกเขาคํานับอาจารย์ของเธอ จากนั้นก็รินน้ำชาและส่งไปยังอาจารย์ เพื่อแสดงความเคารพของเธอต่ออีกฝ่าย จากนั้นเธอก็จําเป็นต้องจุดรูปใต้แสงจันทร์และทําให้คําสาบานอีกเล็กน้อย
หลังจากนั้นเธอก็กลายเป็นศิษย์ของสํานักมูนอย่างเป็นทางการ ในฐานะที่เป็นศิษย์คนแรกและคนเดียวของสํานักมูน เธอจึงได้รับของขวัญจากอาจารย์ของเธอทั้งหมด และสิ่งที่เธอได้รับก็คือคู่มือลับระดับเริ่มต้น
มันเป็นเนื้อหาที่โจวหยูใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายเพื่อคัดลอกจากคู่มือลับว่าบรรพบุรุษของช่างไม้บีเวอร์ ถ้าเขาไม่ทําแบบนั้นมันก็ไม่มีทางเลยที่อู๋หยุนจะสามารถมองเห็นเนื้อหาข้างใยได้ ถึงแม้ว่ามันจะถูกเขียนในสมุดบันทึกเก่าๆ มันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงความเก่าหรือความเกรงขามอะไร แต่ความรู้ภายในสมุดบันทึกนี้กับเป็นแก่นแท้ของงานฝีมือทั้งหมด
“ตอนนี้เธอสามารถกลับไปและศึกษามันได้ได้ เมื่อเธอคิดว่าตัวเองทําความเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดนี้ได้แล้ว ก็มาขอรับการทดสอบจากฉัน เมื่อเธอผ่านการทดสอบแล้วฉันจะมอบคู่มือขั้นต่อไปให้ “
ช่างไม้บีเวอร์ได้ทําให้เรื่องนี้มันดูเหมือนเกม นั้นคืออู๋หยุนต้องค่อยทําภารกิจไปที่ละขั้นที่ละขั้น จนถึงอันสุดท้าย และด้วยเหตุนี้เองมันจึงทําให้หน้าที่ในการคัดลอกเนื้อหาหนังสือคู่มือนั้นตกไปที่โจวหยูอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมันก็ทําให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าในอนาคตเกิดมีคนที่มีทักษะเหมือนกับอู๋หยุนมาที่นี้ และได้ถูกรับตัวเป็นศิษย์อีก ไม่ใช้ว่าเขาจะต้องมาทํางานคัดลอกเนื้อหาให้อีกเหรอไง? เมื่อคิดได้แบบนี้เขาก็รู้สึกถึงลางร้ายขึ้นมา
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องของอนาคต เขาก็จะปล่อยให้มันอยู่ในอนาคตไป
ในที่สุดอู๋หยุนก็กลายเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของช่างไม้บีเวอร์ และเธอก็เริ่มเดินบนเส้นทางการเรียนรู้ของช่างไม้อย่างเต็มตัว ด้วยความสามารถของเธอจึงไม่ไม่ใช้เรื่องยากที่จะเรียนรู้ ทุกอย่างในคู่มือระดับเริ่มต้นนี้ มันก็แค่เธอต้องฝึกฝนมันให้บ่อยขึ้นและทําโมเดลให้บ่อยขึ้น ตราบใดที่เธอสามารถอดทนต่อความยากลําบากนี้ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะกลายเป็นปรมาจารย์งานไม้