The Rise of Otaku - ตอนที่ 131
บทที่ 131 แสดงการทําอาหาร
เดิมที่โจวหยูคิดว่าเป็นเป็นเป็นเพียงคนที่เงียบขรึมเท่านั้น และอาจเป็นตัวละครของ เผ่าพันธุ์หุ่นยนต์ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้ทําความรู้จักลูกชายคนนี้จริงๆ เขาก็พบว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิด เมื่อเขาได้พูดชมเฉยการกระทํานี้ของอีกฝ่ายไป ได้มีอิโมติคอนที่แสดงความสุขปรากฏขึ้นบนจอภาพตรงท้อง โจวหยูที่เห็นแบบนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช้เพราะเป็นเป็นเป็นคนเงียบขรึมหรืออะไร แต่เป็นเพราะลูกชายคนนี้พูดไม่ได้ต่างหาก
นี่ทําให้คนเป็นพ่ออย่างโจวหยูรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก
คู่แฝดคู่แรกในหมู่บ้านมินิลู่หัวทั้งคู่ต่างก็มีปัญหาทางร่างกาย กาก้าคนเป็นพี่เองก็มีลักษณะรูปร่างที่สั้นและผอม เขาดูเหมือนฮอบบิทเมื่อเปรียบเทียบกับชาวบ้านโดยเฉลี่ยของโลก ACG ในขณะที่เบ็นเท็นนั้นตัวใหญ่มากและเขาก็ไม่สามารถพูดได้ โจวหยูไม่ทราบว่าเป็นเพราะมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นในช่วงที่พวกลูกๆของเขากําลังเติบโตหรือไม่จึงส่งผลทําให้พวกเขามีปัญหาแบบ
อย่างไรก็ตามโชคดีที่พวกเขาทั้งคู่เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีและเป็นคนที่มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองมี สังเกตได้จากระหว่างที่พวกเขาเริ่มทําอาหาร เป็นเบนน้องชายจะเปิดเพลงที่มีจังหวะเร็วขึ้น ส่วนทางด้านกาก้าก็จะเป็นคนร้องและเต้นอย่างสนุกสนานในขณะทําอาหาร ซึ่งทําให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมานั้นมีความสุขมากในขณะที่ดูพวกเขากําลังทําอาหารอยู่
ในขณะที่พ่อครัวสองคนกําลังทํางานด้วยความสุขอยู่นั้น เกษตรกรจากฟาร์มเล็กๆทุกคนต่างก็ได้เดินตามเสียงเพลงนี้มาด้วยสีหน้าที่มีความสุข จากนั้นไม่นานพวกเขาต่างก็เข้าร่วมกับการร้องเพลงและเต้นในครั้งนี้ มันจึงทําให้พื้นที่หน้าฟาร์มในตอนนี้กลายเป็นพื้นที่สําหรับเต้นรําไปแล้ว
และกระแสร้อนแรงนี้ก็มาถึงจุดสูงสุด โดยการเข้าร่วมของมู่ลี่พี่สาวของเด็กทั้งสองคน เธออาสาเป็นคนร้องเพลงในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าทักษะคะแนนของเธอในการร้องเพลงจะไม่สูงเท่ากับทักษะการแสดง แต่มันก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงในโลกACG ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่มีแฟนคลับเดนตายที่รักเสียงร้องของเธอจํานวนมาบนอินเทอร์เน็ต
‘เฮ้อ! อย่างน้อยพวกเขาก็ดูมีความสุขละนะ!’
ผักที่ผลิตโดยฟาร์มพวกนี้เป็นอะไรที่อร่อยมาก และนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนในสวนสนุกต่างก็รู้เป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อมีอาหารอร่อยๆปรากฏตรงหน้า เป็นเรื่องธรรมดาที่โจวหยูต้องการแบ่งปันความสุขนี้กับครอบครัวของตัวเอง และในเวลานี้เองก็เป็นเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นครอบครัวของเขาทุกคนต่างก็รวมตัวกันอยู่ในบ้านเก่าทั้งหมด
พ่อแม่และปู่ย่าของเขาได้อาศัยอยู่ในบ้านเก่าที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ในขณะนี้พวกเขากําลังปรับตัวอย่างช้าๆหลังจากที่พวกเขาได้ย้ายเข้ามา โชคดีที่บ้านเก่าหลังนี้ได้รับการปรับปรุงใหม่นั้นเป็นสถาปัตยกรรมของญี่ปุ่น มันจึงเป็นอะไรที่เรียบ่ายและสะดวกสบายสําหรับสวนคนสูงอายุ หากเปลี่ยนเป็นวิลล่าทันสมัยมันอาจต้องใช้เวลานานกว่าเดิมที่พวกเขาจะคุ้นเคยกับมัน
วันที่สองในช่วงเช้าตรู่ โจวหยูได้ขอให้ลูกชายฝาแฝดคนเล็กทั้งสองช่วยทําอาหารบางอย่างให้ เช่นอาหารที่ทําจากผักสองจานและขนมปังผัก หลังจากนั้นเขาก็ได้หยิบโจ๊กหม้อเล็กๆจากพ่อครัวลี่มาด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะเดินเข้าไปในบ้านหลังเก่าที่เขาไม่ค่อยได้กลับมาในช่วงปีที่ผ่านมาอย่างมีความสุข
โจวหยู่ไม่ได้เป็นลูกกตัญญที่ไม่รู้จักทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ดังนั้นระหว่างที่ปู่ย่าได้ย้ายกลับมาอยู่ในบ้านหลังเก่านี้ เขาเองก็มักจะมาส่งอาหารให้พวกท่านและอยู่เป็นเพื่อนพวกท่านอย่างน้อยสองสามครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งการกระทํานี้เองที่ทําให้ผู้อาวุโสของครอบครัวโจวยังคงรู้สึกถึงความรัก และความห่วงใยจากลูกหลาน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเล็กๆน้อยๆแต่มันก็แสดงให้เห็นว่าโจวหยู นั้นยังไม่ลืมครอบครัวเพราะธุรกิจที่วุ่นวายนี้
แต่อาหารเช้าวันนี้ดูแตกต่างออกไป
คุณปู่และคุณย่านั้นแก่มากแล้ว ระบบย่อยอาหารของพวกท่านจึงได้มีประสิทธิภาพที่ลดลงมาก ส่วนพ่อของเขาเองก็เป็นคนที่ไม่ใช่คนกินที่ขี้จุกจิกมาแต่ไหนแต่ไร สําหรับเขาแล้วมีอาหารเพียงสองประเภทเท่านั้นที่อยู่บนโลกนี้ นั้นคืออาหารที่กินได้กับอาหารที่กินไม่ได้เท่านั้น แต่ไม่ใช้สําหรับแม่ของเขา ในสายตาของเธอนั้นอาหารเช้านี้ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก มีเพียงอาหารจานผัก สองจาน ขนมปัง และโจ๊กหนึ่งหม้อเท่านั้นที่อยู่บนโต๊ะในตอนนี้ แต่เพียงแค่การกัดเพียงครั้งเดียว ของเธอกับผักนั้น เธอมีความรู้สึกในถึงการกระตุ้นเซลล์รสชาติทั้งหมดบนลิ้น มันเป็นประสบการที่ทั้งสนุกและอร่อยเป็นอย่างมาก
เพียงกัดเดียว หยางซู่หลันก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ ก่อนที่เธอจะมองไปยังลูกชายของเธอที่กําลังเคี้ยวขนมปังตุ้นๆอยู่ด้านข้างอย่างสงสัย
อาหารจานเล็กๆดูธรรมดาเป็นอย่างมาก แต่มันกับซ่อนรสชาติที่พิเศษเอาไว้ มันไม่ได้มีรสชาติ เหมือนกับอาหารที่สามารถปรุงโดยคนทําอาหารธรรมดาที่เธอเคยกินตามปกติเลย มันเป็นไปได้ไหมที่ลูกชายของเธอได้จ้างพ่อครัวชื่อดังมาในครั้งนี้? แต่มันก็ดูจะไม่ค่อยมีเหตุผลเลย? เพราะสวนสนุกนี้มีขนาดเล็กมากและมันยังอยู่ในพื้นที่ชนบทอีก มันจําเป็นต้องการพ่อครัวชื่อดังด้วยเหรอ? มันจะมีคนรวยที่ไหนมากินกัน? นอกจากนี้เธอยังไม่เคยได้ยินโจวฟูพูดถึงว่ามีแผนจะเปิดร้านอาหารด้วยซ้ํา
ดังนั้นคําอธิบายเดียวที่เธอคิดได้ในตอนนี้ก็คือ ลูกชายของเธอได้จ้างพ่อครัวมาเป็นพิเศษเพื่อเตรียมอาหารให้พวกเขาในครั้งนี้
แม้ว่าการทําแบบนี้จะเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่มันก็ถือว่าเป็นอะไรที่สิ้นเปลืองมากเช่นกัน ก่อนหน้านี้พวกเขาเองก็ได้จ้างพ่อครัวไปแล้ว แม้ว่าทักษะการทําอาหารของเขาจะอยู่ในระดับปานกลาง แต่แค่นี้มันก็ถือว่าไม่เลวเมื่อเทียบกับครอบครัวทั่วไป มันไม่จําเป็นต้องจ้างพ่อครัวคนอื่นอีก ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจของลูกเธอมากนัก แต่ถ้าเขายังคงดําเนินชีวิตด้วยความฟุ่มเฟือยแบบนี้อยู่เธอคงต้องลงไปสั่งสองเขาซักครั้ง
แต่การได้เห็นผู้อาวุโสทั้งสองคนกําลังเพลิดเพลินกับอาหารอย่างมีความสุข เธอไม่ต้องการทําลายอารมณ์ของพวกท่านในขณะนี้ ดังนั้นหลังจากเสร็จจากการรับประทานอาหารเช้าและผู้เฒ่าสองคนได้ออกไปเดินเล่นในเวลาสั้นๆ หยางซูหลันก็เริ่มตําหนิลูกชายของเธอทันที่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
โจวหยูที่กําลังมีความสุขกับมื้ออาหารนี้อยู่นั้นรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับปฏิกิริยาของแม่ที่แสดงออกมาในตอนนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับอาหาร? อาหารไม่อร่อยเหรอ? ไม่น่าจะใช้นะ ถ้าเป็นแบบนั้นปู่ ย่าก็ต้องพูดอะไรออกมาบ้างสิ? หรือว่าโจ๊กจากพ่อครัวลี่จะไม่อร่อยกัน?
“อาหารพวกนี้ไม่อร่อยหรือครับ? ถ้ามันไม่อร่อยเดียวครั้งหน้าผมจะบอกให้พ่อครัวลี่ปรับปรุงมันนั้นครับ?”
“ ลูกยังโกหกแม่คนนี้อยู่อีกเหรอ? ถ้าพ่อครัวลี่มีทักษะทําอาหารแบบนี้ เขาคงจะได้ทํางานในโรงแรมใหญ่ๆในเมืองไปแล้ว! เอาละ! แม่รู้ว่าลูกนั้นเป็นคนกตัญญและต้องการให้พวกเราใช้ชีวิตที่ดีขึ้น แต่มันก็ไม่จําเป็นที่จะต้องเสียเงินในเรื่องพวกนี้มากนัก! ลูกควรจะประหยัดเงินเอาไว้ใช้ในธุรกิจของลูกมากกว่า ก่อนหน้านี้แม่ได้ยินว่าลูกกับลุงฟูนั้นต้องการใช้เงินจํานวนมากในการสร้างโครงการใหม่ มันจะเป็นเรื่องดีกว่าถ้าลูกจะประหยัดเงินในช่วงนี้”
โจวหยูที่ได้ฟังแบบนั้นก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก มันกลับกลายเป็นว่าอาหารเช้านี้อร่อยมากจน แม่ของเขาคิดว่าเขาได้จ้างพ่อครัวชื่อดังมาทํา เดิมที่โจวหยูต้องการที่จะให้แม่ของเขาเข้าใจผิด แบบนี้ต่อไป แต่เขาไม่คิดว่าเธอจะบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องจนในที่สุดเขาก็ไม่สามารถทดได้อีกต่อไป เขาจึงได้เริ่มอธิบายเรื่องทั้งหมดออกมา
เดิมเขาเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะต้องชอบทานอาหารที่อร่อย แต่เพราะก่อนหน้านี้มันไม่มีทางเลือกดังนั้นเขาจึงไม่ได้เรื่องมากมากนักในการกินอะไร แต่ในตอนนี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาได้มีลูกชายฝาแฝดที่เป็นพ่อครัว และฝีมือการทําอาหารของพวกเขาเอง ก็ถือว่าสุดยอดเป็นอย่างมาก ถ้าเขาไม่แก้ไขสถานการณ์นี้ให้ลุล่วงละก็มีความเป็นไปได้มากที่เขา จะต้องกลับไปทานอาหารธรรมดาอีกครั้ง
ดังนั้นเมื่อไม่มีทางเลือกมากนัก เขาจึงได้ตัดสินใจพูดออกมาว่า “แม่! คนที่ทําอาหารจากพวกนี้จริงๆแล้วก็คือ…ผมเอง! ผมทําอาหารพวกนี้เอง”
คําตอบนี้ทําให้หยางซู่หลันรู้สึกโกรธเล็กน้อย เพราะเธอไม่ชอบเด็กที่โกหกมากที่สุด ในเรื่องนี้มันเป็นเรื่องยากมากที่เธอจะเชื่อ เพราะเมื่อก่อนตอนที่ลูกชายของเธอยังอยู่ด้วยกันนั้น เขาไม่เคยทํางานบ้านอะไรเลย และเธอก็ไม่เชื่อว่าการย้ายมาอยู่ในหมู่บ้านนี้เพียงลําพังแค่หนึ่งหรือสองปี มันจะทําให้ลูกชายของเธอกลายเป็นพ่อครัวมืออาชีพได้
สถานการณ์ในตอนนี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น มีความเป็นไปได้ว่าถ้าโจวหยูไม่สามารถทําให้แม่ของตัวเองเชื่อได้ เขาอาจจะเจอเข้ากับพายุความรุนแรงระดับ10
ดังนั้นเมื่อไม่มีทางเลือกอีกแล้ว เขาจึงได้ส่งข้อความไปยังมู่ลี่อย่างลับๆให้รีบไปพาน้องชายฝาแฝดของเธอมาที่นี้ทันที
มันใช้เวลาไม่นานก่อนที่พี่น้องฝาแฝดจะมาถึงห้องครัว ก่อนที่โจวหยูจะลงมือทําอาหารในครั้งนี้นั้น สองพ่อลูกได้ทําการปรึกษากันแล้วก็ได้ข้อสรุปว่าโจวหยูนั้นจะพยายามทําท่าทางว่าตัวเอง กําลังทําอาหารส่วนคนที่รับหน้าที่ทําจริงๆกับเป็นกาก้าลูกชายของเขา
วิธีการทําก็ง่ายๆ คือเมื่อกาก้าเริ่มนั่นผัก โจวหยูก็จําเป็นต้องทําการแกล้งนั่นตรงจุดเดียวกันแน่นอนว่าคนอื่นนอกจากโจวหยู่นั้นไม่สามารถเห็นได้ ดังนั้นทุกคนตอนนี้ทันมาขอเพียงเขาไม่ แสดงจุดที่หน้าสงสัยออกมา มันก็สามารถทําให้คนดูเชื่อได้อย่างง่ายดายว่านี้เป็นฝีมือของเขาเอง
“เด็กดี! ระวังอย่าตัดมือพ่อนะ!”
ระหว่างนั้นโจวหยูก็พยายามกระซิบบอกกาก้าเรื่องนี้ตลอดเวลา เพราะระยะการหุ่นที่ใกล้กันมาก มันทําให้เขาอดรู้สึกหวาดเสียวขึ้นมาไม่ได้