The Rise of Otaku - ตอนที่ 142
บทที่ 142 ในที่สุดก็ได้มา
มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากที่จะได้เตะคนเลวแล้วหายไปโดยไร้ร่องรอย ในความเป็นจริงนี้เป็นกลยุทธ์ที่ได้รับการไตร่ตรองเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่เพราะโจวหยูไม่เคยต่อสู้ในโลกแห่งความจริงมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้วางแผนที่จะเตะคนเลวเหล่านั้นเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด เขาทําเพียงบุกเข้ามาเหมือนตัวร้ายที่มีในภาพยนตร์ ก่อนที่จะลักพาตัวเป้าหมายออกไป
นี่เป็นอะไรที่ทั้งง่ายดายและเห็นผลได้ดีที่สุด
โจวหยูเองก็รู้สึกว่าวิธีที่เขาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนนั้นเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ด้วยการวาดมือไปมาไม่กี่ครั้ง กลุ่มกามากกว่าโหลได้พุ่งเข้าไปโจมตีเป้าหมาย ด้วยความโกลาหลที่เกิดขึ้นนี้เองเขาจึงสามารถเข้าไปยังกลุ่มอันธพาลได้ ก่อนที่จะตรงไปช่วยชายชุดข้าว
มันเป็นแผนที่สมบูรณ์แบบ!
อย่างไรก็ตามแผนการอันเหลือเชื่อนี้กับถูกทําลายอย่างไร้ความปราณีโดยชายชุดขาวคนนี้ ชายหนุ่มชุดขาวคนนี้ได้จับมุมของกําแพงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย พร้อมกับพูดชื่อของผู้หญิงและขอร้องให้เธอไปกับเขาตลอดเวลา
ตรอกนี้แคบเป็นอย่างมาก มันทําให้นกกาเหล่านี้ไม่สามารถใช้กําลังเต็มที่ได้ พวกมันทําได้เพียงบินลงมาจิกไม่กี่ครั้ง และต้องย้อนบินกลับไปยังด้านบน ก่อนที่จะบินกลับลงมาอีกครั้ง เมื่อเป็นแบบนี้มันก็ทําให้การโจมตีไม่ต่อเนื่องและทําให้กลุ่มอันธพาลสามารถตั้งหลักได้
เมื่อพวกอันธพาลที่มีผมสีเหลืองพบว่าการโจมตีของกาพวกนี้ไม่ได้รุนแรงอย่างตอนแรกอีกแล้ว เขาก็หันไปสํารวจรอบๆ ก่อนที่จะเห็นชายสวมหน้ากากแปลกๆที่พยายามที่จะดึงชายสวมชุดสีขาวออกไป แต่ชายผิวขาวก็ได้ปฏิเสธที่จะออกไปอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน
มองผ่านรูของหน้ากาก โจวหยูรู้สึกได้ว่าพวกอันธพาลคนนั้นกําลังจ้องมองเขาอยู่ และเวลาก็ดูเหมือนจะหยุดชั่วครู่หนึ่งหรือสองวินาทีก่อนที่ทุกคนจะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
“เอ่อ….โอ้…”
“แกเป็นใคร?!”
พี่ใหญ่เซี่ยนดูเหมือนจะโกรธเป็นอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาได้พุ่งเข้าหาโจวหยุโดยไม่รอคําตอบ ดูเหมือนว่าเขาต้องการระบายความโกรธของเขาด้วยการเตะตูดของชายสวมหน้ากากคนนี้ แต่ความเร็วของโจวหยูไม่ได้ช้าเลย ทันทีที่เขาเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหว เขาก็ได้ทิ้งชายชุดขาวทันทีและวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว หากไม่มีความช่วยเหลือจากบูบูช่วยระหว่างทาง มันก็มีความเป็นไปได้ที่เขาอาจจะถูกจับระหว่างที่กําลังหลบออกมา
ในเวลาไม่กี่วินาทีโจวหยูก็ได้หายตัวไปจากสายตาของผู้คนเป็นที่เรียบร้อย สมุนทั้งหมดของพี่ใหญ่เซียน ทําได้เพียงมองฝุ่นที่ลอบขึ้นมาระหว่างที่อีกฝ่ายวิ่งหนีออกไปได้เท่านั้น ด้วยความโกรธที่มีอยู่เต็มอกพวกเขาเหล่านั้นได้หันไปลงกับชายชุดขาวแทบจะทันที อย่างไรก็ตามใบหน้าของหยานเฟิงที่แสดงออกมานั้นกับเต็มไปด้วยความลังเล
“เธอไม่เข้าใจว่าทําไมชายที่ใส่หน้ากากแปลกๆคนนั้นต้องเขามาช่วยด้วย? และเธอควรจะทําอะไรดีในตอนนี้? นี้ต่างก็เป็นคําถามที่วนอยู่ในหัวของเธอในตอนนี้”
พอเห็นว่าไม่สามารถจับชายแปลกๆคนนั้นได้ มันก็ทําให้พี่ชายเซี่ยนรู้สึกโกรธมากขึ้น เขาจึงได้เข้าไปร่วมวงกับการซ้อมชายชุดขาวคนนี้กับพวกลูกน้องของตัวเองด้วย
แต่พวกเขาไม่คิดว่า พวกเขายังไม่ทันจะได้ลงมือซ่อมชายชุดขาวเพื่อระบายความโกรธ ชายชุดขาวก็ได้กลับมาอีกครั้ง
โจวหยูรู้สึกว่าฉากนี้เป็นอะไรที่คุ้นเคยกับเขามาก ดูเหมือนว่าเขาจะเคยทําอะไรที่คล้ายกันกับพวกอันธพาลของหมู่บ้านใกล้เคียงของหมู่บ้านลู่หัวมาแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ต้องทํามันอีกครั้ง แต่ความแตกต่างในครั้งนี้คือเขามีบบมาด้วยไม่ใช้มือสมัครเล่นเหมือนครั้งก่อน
เมื่อโจวหยูต้องการที่จะแสดงกลอุบายเก่าอีกครั้ง คนเก็บขยะก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเช่นกัน อีกฝ่ายได้ยืนอยู่ต่อหน้าโจวหยูและพูดว่า “คุณโจว! คุณรู้หรือไม่ว่าคุณกําลังทําให้เรื่องนี้แย่ลง เพราะชายชุดขาวคนนี้ทําให้ผู้หญิงคนนี้ยังไม่ตกลงสื่อบาปอย่างเต็มตัว แต่ถ้าเราปล่อยให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้นตามเดิม ผมรับรองว่ามันจะใช้เวลาไม่นานที่ผู้หญิงคนนี้จะกลายเป็นคนบาปเต็มตัว และคุณจะได้รับแร่ที่คุณต้องการอย่างแน่นอน”
ความหมายของคนเก็บขยะก็คือถ้าเขายังคงช่วยชีวิตชายคนสําเร็จ มันก็จะทําเขาไม่ได้แร่ที่เขาตามหา ซึ่งแน่นอว่าเขาต้องกลับบ้านมือเปล่า และดอกไม้ร่วงหล่นที่เขามีก็คงจะไม่สามารถบานได้อีกต่อไป
เมื่อได้ยินเรื่องนี้มันทําให้โจวหยูรู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องของโลกของ ACG, แต่เขาก็มีครอบครัวของตัวเองเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นมเนียน หยานกู่ หิงห้อย มู่ลี่ กาก้า และเป็นเป็น พวกเขาเหล่านี้ต่างก็เป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัวของเขา และภายในดอกไม้น้ําแข็งนั้นก็มีลูกที่ยังไม่เกิดของเขาอยู่เช่นกัน มันจึงทําให้เขารู้สึกขัดแย้งกันไปมาระหว่างการเป็นคนดีที่ต้องการช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก กับการที่เขาต้องการให้ลูกของเขาเกิดมา
‘การตัดสินใจในครั้งนี้เป็นอะไรที่ยากเป็นอย่างมาก’
แต่ในเวลาที่สําคัญแบบนี้ บูบก็ได้เข้ามาช่วยเขาในการตัดสินใจ อีกฝ่ายได้ลงบนไหล่ของโจวหยูเบาๆ แล้วพูดว่า “อย่าคิดมากเลยเจ้านาย! เราไม่ใช่นักบุญนะ! เราไม่สามารถช่วยทุกคนได้ แต่เราก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อสิ่งอยุติธรรมที่เกิดขึ้นต่อหน้าเราได้เช่นกัน ถ้าเจ้านายต้องการแร่นี้จริงๆฉันจะช่วยเหลือเจ้านายเอง ฉันจะไปยังเมืองแบล็กสตาร์และค้นหามันทั้งเมือง ฉันไม่คิดว่าเมืองใหญ่แบบนั้นจะไม่มีแร่ที่เจ้านายต้องการ”
แม้ว่ากระรอกบูบูชอบที่จะทําให้เกิดปัญหาตลอดเวลา แต่เมื่อถึงช่วงเวลาที่มันเองก็สามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดได้ โจวหยูที่ฟังแบบนั้นก็พยักหน้าและให้บูบูเป็นผู้นํากองทัพโจมตีนี้อีกครั้ง
คราวนี้โจวหยูได้เรียนรู้บทเรียนของเขาจากครั้งที่แล้ว หลังจากที่เขาเข้าไปในซอยในครั้งนี้ เขาไม่ได้ไปหาชายแต่งตัวสีขาว แต่กับเลือกไปอุ้มผู้หญิงขึ้นมาแทน ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วแน่นอนว่าชายชุดขาวที่เห็นแบบนั้น ก็ได้วิ่งออกมาโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเองเช่นกัน
หลังจากโจวหยูออกไปแล้วบูบูพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อกันไม่ให้พวกนักเลงออกไปไล่ล่าพวกเขา พี่ใหญ่เซี่ยนที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกว่าวันนี้มันเป็นวันซวยของตัวเองจริงๆ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ได้แอ้มสาวเท่านั้น ตามเนื้อตัวของเขายังเต็มได้วยรอยจิกและขี้ของนกจํานวนมาก
เมื่อนกได้กระจัดกระจายไปเกือบหมดแล้ว ในที่สุดพี่ใหญ่เซี่ยนที่กําลังโกรธสุดๆอยู่นั้นก็ได้วางแผนที่จะไปมหาลัยของพวกมันทั้งสอง และเขาต้องทําให้แน่ใจว่าจะสอนบทเรียนให้พวกมันทั้งสองจนกว่าจะขอความเมตตาให้ได้
แต่เมื่อเขาเพิ่งจะออกจากตรอก สิ่งที่รอเขาอยู่กลับเป็นกลุ่มตํารวจจํานวนมาก
การแบกคนพร้อมกับวิ่งหนีไปด้วยนั้นเป็นงานที่เหนื่อยมาก แม้ว่าความสามารถทางกายภาพของโจวหยูจะเพิ่มขึ้นมากในเวลาที่ผ่านมา แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดีที่จะวิ่งไปพร้อมกับแบกคนไปด้วย
ดังนั้นเมื่อบูบูได้กลับมารายงานว่าอีกฝ่ายได้ถูกตํารวจนําตัวไปแล้ว เขาจึงรีบวางผู้หญิงคนนั้นลงอย่างรวดเร็ว
จากนั้นนกประมาณหนึ่งโหลก็บินไปหาเขาแล้วโยนของสองชิ้นให้ เขารู้ได้ทันทีว่าพวกมันคืออะไรแต่เมื่อมันมาถึงมือของเขากับถูกทุบไปแล้ว แต่มันก็ยังสามารถบอกได้ว่าเจ้าของสิ่งนี้เคยเป็นกล้องมาก่อน
“เมื่อเราออกไปข้างนอกวันนี้ ฉันพบว่ามีบางคนติดตามเราตลอดเวลา แต่เพราะพวกเขาไม่ได้ทําอะไรเป็นพิเศษ ฉันจึงไม่ได้บอกเจ้านาย แต่เมื่อเรากําลังต่อสู้อยู่ข้างในฉันเห็นพวกเขากําลังถ่ายรูปอยู่ ฉันกลัวว่ามันอาจจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น ดังนั้นฉันจึงได้ทําลายสิ่งเหล่านั้น “
คําพูดของบบทําให้โจวหยูตกตะลึงเป็นอย่างมาก พระเจ้า! นายรู้มาตลอดเวลาว่ามีคนตามมา แต่นายกับไม่บอกอะไรฉันซักคํา!” เขาที่รู้แบบนั้นก็จ้องมองอีกฝ่าย ก่อนที่จะรู้ว่าสิ่งที่บบพูดขึ้นมานั้นเป็นเรื่องจริง และเรื่องนี้ก็ถูกแก้ไขไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาเพียงแค่จ้องมองที่บบและพูดว่า “เอาละ! เรื่องที่ผ่านมาแล้วฉันจะไม่พูดถึงมัน แต่ครั้งหน้าเราจะต้องทําการพูดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง!”
ฉากที่ปรากฏต่อไปนี้ทําให้โจวหยูถึงกับพูดอะไรไม่ออกอย่างสมบูรณ์ เขาไม่คิดว่าหลังจากผ่านการต่อสู้เป็ ตายมาแล้ว เขาจะได้มาเห็นละครโรแมนติกเศร้าๆทันที
เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้ในระยะใกล้ๆแบบนี้ มันถือว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่เป็นอย่างมาก
มันเริ่มขึ้นเมื่อพวกเขาทั้งสองได้กอดกันพร้อมกับร้องไห้ออกมาไม่หยุด และหลังจากนั้นก็เป็นการถามอาการของอีกฝ่ายสลับไปมาแบบนี้…
ดูเหมือนว่าเวลานี้จะหยุดลง ก่อนที่มันจะกลับมาเดินอีกครั้งเมื่อน้ําตาที่ส่องแสงของหยานเฟิงไหลออกมา มันทําให้โจวหยูที่ดูอยู่ไม่ไกลจ้องมันตาเป็นมัน
มันช่างน่าทึ่งจริงๆ”
“พระเจ้า! ไม่มีใครบอกฉันว่าน้ําตาของหญิงสาวนั้นจะเป็นแบบนี้! ‘เขาอดไม่ได้ที่จะก้มหัวลงแล้วมองน้ําตานั้นด้วยตาแห่งความจริง แต่มันก็เป็นน้ําตาปกติ ไม่ได้มีอะไรแตกต่างเลย”
“เกิดอะไรขึ้น?”