The Rise of Otaku - ตอนที่ 29
บทที่ 29 อุทิศ
เช้าวันรุ่งขึ้น สิ่งแรกที่โจวหยูเจอนั้นก็คือขาทั้งสองของเขายังคงเจ็บปวด โชคดีที่อาการปวดกล้ามเนื้อประเภทนี้ได้เคยเกิดขึ้นบ่อยมากในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ดังนั้นอาจเรียกได้ว่านี้เป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยกับมันแล้ว
ด้วยเสียงระฆังโรงเรียนดังขึ้นในหมู่บ้าน พร้อมกับเสียงของเด็กๆที่ตะโกนว่า “สวัสดีตอนเช้า – ครับ/ค่ะ… ” ดังก้องกังวานอยู่ในอากาศ มันก็ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงวันเก่าๆที่พวกเขาเคยไปโรงเรียน
เป็นกิจกรรมตามปกติที่หลังจากตื่นนอนของโจวหยู เขาจะล้างหน้าและแปรงฟันให้เรียบร้อย จากนั้นเขาก็จะไปทำการตรวจดูบทการ์ตูนฮันเตอร์ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างทำงานได้ตามปกติ หลังจากนั้นในที่สุดเขาก็เริ่มวันของเขา
ทางด้านเจ้าตัวหยางกู่นั้นยังคงไม่ตื่นเต็มที่ หลังจากที่เมื่อวานนี้อีกฝ่ายได้ใช้แรงไปจำนวนมากจากภารกิจ ดวงตาทั้งสองของเขายังคงไม่เปิดตลอดเวลา จนกระทั่งเขาได้ถูกโยนเข้าไปในวิหารลัทธิเต๋าในที่สุดเขาก็ตื่นขึ้นอย่างไม่เต็มใจ
นกอมตะเฒ่าเองก็ยังคงรักษาอาการเงียบสงบเอาไว้ตลอดเวลา แต่เมื่ออีกฝ่ายได้รับตัวของหยางกู่ไปแล้ว ทั่งคู่ก็ได้ชวนกันเดินกลับเข้าไปในวิหารหลักทันที ก่อนที่ตัวประตูจะถูกปิดไปต่อหน้าของโจวหยูผู้ที่ต้องการจะดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
‘เอ่อ…นักบวชลัทธิเต๋าคนนี้ต้องการจะทำอะไรกับลูกคนที่สองของฉันกันแน่?’ ขณะที่โจวหยูพยายามก้มศีรษะเข้าไปใกล้วิหารให้มากที่สุด เพื่อที่หวังว่าเขาจะสามารถได้ยินอะไรได้
ไม่มีเสียงร้องคร่ำครวญจากหยางกู่ และดูเหมือนว่าจะไม่ได้เสียงกรีดร้องเพื่อขอความช่วยเหลือด้วย มันเงียบมากราวกับว่าไม่มีใครอยู่ข้างใน ความเงียบที่แปลกประหลาดนี้ใช้เวลาประมาณสองหรือสามนาที จากนั้นก็ได้เสียงฟ้าร้องดังขึ้นจากด้านในของวิหาร และนั้นทำให้โจวหยูตกใจทันที
‘ไอ้บ้าเอ้ย … ไอ้นักบวชลัทธิเต๋าเฒ่านั้นกำลังทำอะไรอยู่กันแน่? ทำไมถึงมีเสียงฟ้าร้องอยู่ในวิหารได้กัน?’
เมื่อเขาต้องการผลักประตูเข้าไปเพื่อตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่นกอมตะเฒ่านั้นได้เดินออกมาจากอีกฝั่งอย่างเงียบๆ
เมื่อโจวหยูเห็นแบบนั้นก็รีบมองเข้าไปในวิหารทันที ก่อนที่เขาจะเห็นว่าตอนนี้ในวิหารต่างก็เต็มไปด้วยเมฆหมอกสีขาวหนาที่เขาไม่สามารถมองทะลุได้ และทางนกอมตะเท่าเองก็ไม่คิดจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ให้เขาฟัง กลับกันอีกฝ่ายกับหันไปสนใจเจ้ารูปปั้นที่เขาและหยางกู่ได้ขโมยมาจากพวกอันธพาลนั้นแทน
ตั้งแต่เมื่อวานนี้ เจ้ารูปปั้นลึกลับได้ถูกวางไว้ในลานว่างของวิหารลัทธิเต๋า เพื่อให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะได้ให้นกอมตะตรวจสอบได้สะดวก
แต่ในตอนนี้โจวหยูกับรู้สึกกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับลูกคนที่สองของเขา เพราะหยางกู่นั้นไม่ได้ออกมาพร้อมกับนกอมตะเฒ่าในครั้งนี้ มันทำให้เขาเกิดความคิดอย่างการล้มเหลวในการยกระดับขึ้นมา หรือว่าหยางกู่จะล้มเหลวกัน?
ในขณะที่โจวหยูกำลังตกอยู่ในความคิดของตัวเองนั้น ก็ได้มีชายที่มีอายุประมาณห้าสิบปี เดินออกมาจากควันหมอกหนานั้น และเมื่ออีกฝ่ายเห็นโจวหยู เขาก็พูดทันที“ พ่อ! ผมทำมันสำเร็จแล้ว”
‘แกเป็นใครกันแน่!’ โจวหยูได้ตะโกนประโยคนี้ออกมาอย่างบ้าคลั่งในใจ เขาเคยเห็นชายแก่ที่เคยปลอมตัวเป็นนักบวชเต๋า เพื่อพยายามหลอกลวงผู้คนมาแล้ว แต่เขาไม่เคยเห็นคนแก่คนไหนที่มาหลอกเรียกคนที่หนุ่มกว่า: พ่อ …
‘เอ่อ…ฉันรู้สึกเหมือนฉันแก่ลงไป 100 ปี ในตอนนี้ “
แม้ว่าเขาจะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถใช้ตรรกะในโลกของความจริงไปตัดสินโลก ACG
หลังจากที่อีกฝ่ายอธิบายเพิ่มเต็มแล้ว โจวหยูก็เข้าใจทันทีว่าชายแก่ตรงหน้าของเขานั้นก็คือหยางกู่ ลูกคนที่สองของเขานั้นเอง และเรื่องที่อีกฝ่ายกลายเป็นชายชราก็เป็นความจริง แล้วเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ดังนั้นสิ่งที่เขาควรให้ความสนใจในตอนนี้ก็คือค่าสถานะของเจ้าลูกคนที่สองของเขา เรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับคุณภาพของการผลิตอนิเมชั่นที่กำลังจะตามมา
หยางกู่ – ผู้อำนวยการสร้างแอนิเมชันสามัญ
ศิลปะ: 35;
เนื้อเรื่อง: 52;
ภาพเคลื่อนไหว: 45;
เอฟเฟกต์เสียง: 38;
เทคนิคพิเศษ: 50;
ลักษณะบุคลิกภาพ: แฟนตาซี (เพิ่มคุณภาพของงานแฟนตาซี 10%);
ทักษะพิเศษ: คนบ้างาน (มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะทำให้การผลิตเร็วขึ้น)
แต่เมื่อโจวหยูได้เห็นค่าสถานะล่าสุดนี้ของหยางกู่แล้ว มันก็ทำให้เขารู้ว่าหยางกู่นั้นถึงจัดอยู่ในระดับมาตรฐานเท่านั้น ไม่ได้พิเศษแต่อย่างใด ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่มีสถาบันฝึกอบรมใดๆในหมู่บ้านลู่หัวนี้ การมีความถนัดในระดับธรรมดานั้นก็ถือว่าไม่เลวร้ายนัก และการที่หยางกู่ได้ทักษะพิเศษมาหนึ่งอย่างก็ไม่ใช้เรื่องเลวร้ายอะไร มันก็แค่ก่อนหน้านี้เขาได้ขาดหวังสูงไปก็เท่านั้น
จากนั้นเขาก็ได้เปลี่ยนความสนใจของเขาไปที่รูปปั้นปริศนานั้นแทน เมื่อนกอมตะเฒ่าได้โบกสะบัดปีกไปมา ในอากาศประมาณหนึ่งเมตรเหนือวิหารเต๋าก็ได้ปรากฏเป็นเมฆมืดขึ้น ด้วยสายฟ้าสีฟ้าจางๆที่ปรากฎอยู่ข้างในเป็นครั้งคราว มันก็เป็นเรื่องชัดเจนว่าอีกไม่นานมันจะต้องเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่าฟ้าฝ่าขึ้นมา
‘พระเจ้า! นี่เป็นวิธีการใช้กำลังภายในในตำนานใช้ไหม? ‘
เมื่อสายฟ้าได้แตกออกมาบ่อยขึ้นเรื่อยๆ มันก็ทำให้เสียงฟ้าร้องเองก็ได้ดังขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน โจวหยูที่เห็นแบบนั้นก็รีบย้ายออกมาให้ไกลตามสัญชาตญาณทันที
เขาไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นจะเป็นการดีที่สุดถ้าเขาจะอยู่ห่างจากมันเอาไว้
เหตุการณ์นี้ได้มีอยู่ไม่นาน ก่อนที่ในที่สุดก้อนเมฆนี้จะรวบรวมพลังงานได้เพียงพอ มันได้เกิดเสียงดังลั่นแสงสายฟ้าสีขาวพุ่งเข้าใส่รูปปั้นบนจัตุรัสอย่างรุนแรง มันทำให้รูปปั้นนั้นเกิดไฟลุกไหม้ทันทีและในกองเพลิงดูเหมือนจะมีเงาดำๆเกิดขึ้น
จากนั้นเมื่อนักอมตะเฒ่าได้โบกปีกไปมาอีกครั้ง เจ้าก้อนเมฆดำก็เริ่มที่จะหายไปและไฟบนรูปปั้นเองก็เริ่มที่จะเล็กลงเรื่อยๆจนกระทั่งมันหายไป สิ่งที่เหลืออยู่ในตอนนี้ก็คือรูปปั้นสีดำสนิท
แต่ในไม่ช้าชั้นสีดำของรูปปั้นก็ค่อยๆหลุดออกที่ละนิด เมื่อชิ้นส่วนสีดำทั้งหมดหลุดออกไป มันก็ได้เผยโฉมเป็นรูปปั้นชายชราที่แปลกๆพร้อมกับแว่นตาที่แปลกๆต่อหน้าเขา
‘พระเจ้า … เจ้ารูปปั้นมันสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของมันได้’
รูปปั้นของนักปราชญ์: เพิ่มคุณภาพของอนิเมชั่น 30 คะแนน โดยเพิ่มเอฟเฟกต์พิเศษสไตล์จีนให้กับอนิเมชั่น 30 คะแนนโดยอัตโนมัติ สามารถสร้างภาพเคลื่อนไหวคัตเอาท์ได้โดยไม่ต้องใช้คนที่มีความสามารถพิเศษ
‘พระเจ้า! ดูเหมือนว่าเขาจะได้ขอวดีเข้าให้แล้ว’
ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากกับเจ้าสิ่งนี้ มันได้ถูกมอบให้กับบริษัทอนิเมชั่นทันที เพราะก่อนที่เขาจะออกไปทำภารกิจในเมื่อวานนี้ เขาได้ซื้อพิมพ์เขียวบริษัทแอนิเมชันแล้วและส่งมอบให้ช่างไม้บีเวอร์เป็นที่เรียบร้อย และดูจากเวลาแล้วมันคงจะเสร็จแล้วในตอนนี้
บริษัทแอนิเมชันระดับแรก มีสตูดิโออนิเมชั่นสองแห่ง หากต้องการให้บริษัทเริ่มงานได้ มันจำเป็นที่จะต้องมีทีมจัดการอสังหาริมทรัพย์หนึ่งทีมเสียก่อน มันถึงจะสามารถเริ่มเปิดใช้งานได้ ซึ่งหลักการนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากบริษัทเกมมากนัก
ปลดปล่อยมือแห่งปาฏิหาริย์ : ทีมบ้าของผู้ป่วยจิตเวช, ทีมตัณหาของพวกนิสัยเสีย, ทีมโลภของคนตะกละ
ในขณะนี้โจวหยูซึ่งคุ้นเคยกับกระบวนการสุ่มพวกนี้แล้ว แต่นี้ก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขาต้องเจอกับการเลือกที่ยากที่สุดในประวัติศาสตร์
แน่นอนว่าทีมผู้ป่วยจิตเวชและคนตะกละไม่ใช้โจทย์ยากในครั้งนี้ แต่มันเป็นทีมตัณหาของพวกนิสัยเสียตั้งหาก ด้วยทักษะพิเศษที่พวกเขามีคือการเพิ่มคุณภาพของอนิเมชั่นการ์ตูนแนวโลลิขึ้น 20%
‘พระเจ้า! พระพุทธ! พระ…! ‘
ราวกับว่าได้มีบางสิ่งได้พุ่งทะลุจิตใจของเขาขึ้นมา และนั้นทำให้สมองของเขาว่างเปล่าลงไปในช่วงสามนาทีนี้
ในช่วงเวลานั้นได้มีปีศาจตัวเล็กๆที่น่ากลัว กำลังกระซิบอยู่ในหูของเขา“ เก็บมันไว้! มันไม่เป็นไรหลังจากทั้งหมดนี้ ไม่มีใครสนใจมันหรอก! นายสามารถสนุกได้ด้วยตัวเอง”
ในอีกด้านหนึ่งก็มีนางฟ้าตัวน้อยที่ศักดิ์สิทธิ์กระซิบว่า “ โจวหยู! คุณเป็นคนที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสา คุณต้องคำนึกถึงแฟนอนิเมะหลายพันคนที่กำลังรองานของคุณ คุณอย่าหลงกลไปกับความปรารถนาชั่วนั้น!”
มือของโจวหยูสั่นอยู่ตลอดเวลา เขาลังเลเป็นเวลานานราวกับว่ามีกองทัพสองฝ่ายต่อสู้อยู่ข้างในหัวของเขา หนึ่งในกองทัพกำลังตะโกน “ ลองใช้ชีวิตในด้านมือดูสิ และเจ้าจะได้รับพลังไร้สิ้นสุด …” กองทัพอีกคนกำลังตะโกนว่า “ เผาพวกมันทั้งหมด เราจะคงไว้ด้วยความไร้เดียงสา…” ในเวลาสั้นๆมันได้เกิดการตอบโต้กันมากมาย ก่อนที่เขาจะเลือกที่จะยกเลิกมันไป
ในขณะนั้นราวกับว่าพลังงานทั้งหมดที่เขาเคยมีหายไป มันได้ถูกระบายออกจากร่างกายของเขาไป และนั้นทำให้เขาเหมือนกับตัวละครที่กำลังจะตาย และเป็นที่รับรู้ได้ว่าหลังจากที่กดยกเลิกไปนั้นคือความเสียใจไม่รู้จบ
‘แม่*! ทำไมความมีเหตุผลของฉันถึงต้องชนะด้วย! ตูดคุณธรรมของฉัน! … ของฉัน … ‘ อนิจจามันเป็นความผิดทั้งหมดของเขาเอง เขาไม่สามารถตำหนิใครได้ แต่เมื่อเขาได้กดสุ่มอีกครั้ง เหตุการณ์แบบเดิมก็ได้เกิดขึ้นอีก
เขาก็ได้คลิกที่ปุ่มค้นหาอีกครั้งอย่างไม่ลดละ: ทีมตัณหาของพวกนิสัยเสีย ทีมอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้ปฏิบัติงานอารมณ์ขัน และทีมเงียบของคนหูหนวก
‘พระเจ้า! มันกลับมาแล้วจริงๆ!’
แต่คราวนี้เขาสามารถเลือกตัวเลือกได้ง่ายกว่ามาก เพราะสิ่งที่เขาตามมาอยู่นั้น มันเป็นทีมที่หายากและมีเอฟเฟกต์บวกสองอย่าง ซึ่งมันก็ตรงกับหนึ่งในนั้น
ทีมอันศักดิ์สิทธิ์ของนักปฏิบัติอารมณ์ขัน: เพิ่มคุณภาพของอนิเมชั่น 20% เพิ่มคะแนนอารมณ์ขันของอนิเมชั่นทุกประเภท 30 คะแนน
ในปัจจุบันนี้เป็นทีมที่ดีที่สุดที่เขาได้พบ
ในแง่ของทีมเงียบของคนหูหนวก มันจะสามารถผลิตการ์ตูนแนวทอมแอนเจอรี่ได้เพียงเท่านั้น และมันจะเพิ่มคุณภาพของแอนิเมชันประเภทนี้ขึ้น 20% แต่ข้อเสียของทีมนี้คือมันจะสามารถสร้างอนิเมชั่นแบบเรียบๆได้เท่านั้น
เมื่อเทียบกับแล้วนี้โจวหยูไม่ลังเลเลย เขาเลือกทีมอันศักดิ์สิทธิ์ของนักปฏิบัติอารมณ์ขันทันที