The Rise of Otaku - ตอนที่ 30
บทที่ 30 โรงงานพิกเซล
ทันทีที่โจวหยูกดคำสั่งว่าจ้าง ก็ได้ปรากฏกลุ่มแปลกๆปรากฏตัวต่อหน้าเขา พวกเขาส่วนใหญ่แต่งกายนี้เป็นเอกลักษณ์มาก เช่น พระพุทธ, นักพรตลัทธิเต๋า, แม่ชี, นักบวช, หมอผี, พ่อมด, ฯลฯ … เห็นได้ชัดว่าทีมนี้เป็นการรวมกลุ่มกันของคนนับถือศาสนา
หลังจากที่โจวหยูตรวจสอบดูแล้วก็พบว่ามีคนประมาณสามสิบคนและทุกคนสวมเสื้อผ้าแปลกๆ พวกเขาดูไม่เหมือนทีมแอนิเมชันเลย พวกเขาดูเหมือนกลุ่มนักผจญภัยที่พร้อมจะทำภารกิจดันเจี้ยนมากกว่า บางทีแม้แต่คุกใต้ดินที่ยากที่สุดก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขาในการฝ่าด่านออกมา
ในส่วนของบริษัทอนิเมชั่นเองก็เป็นเหมือนสวนสาธารณะมากกว่าตัวบริษัท มันมีเพียงสตูดิโอเล็กๆ กระจายอยู่ในสวน แม้ว่ามันจะไม่มีอาคารขนาดใหญ่เหมือนบริษัทเกมมี แต่สภาพแวดล้อมนั้นดีกว่ามาก ด้วยดอกไม้และพืชทุกชนิดที่มีอยู่นี้ มันทำให้บริษัทอนิเมชั่นดูเหมือนเป็นรีสอร์ทที่จะมาพักในช่วงวันหยุดที่สวยงาม
ในไม่ช้าคนทางศาสนาเหล่านั้นก็เริ่มกระจายไปในสวนสาธารณะ และก็มีการละเล่นต่างๆเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเล่นว่าว แสดงความสัมพันธ์รักโรแมนติกของพวกเขา เล่นไทเก็กโดยใช้อุปกรณ์ออกกำลังกาย มันทำให้ดูเหมือนสวนสาธารณะมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยขนาดที่ใหญ่พอๆกับเครื่องซักผ้ารุ่นที่ใหญ่ที่สุด มันจึงทำให้การย้ายมันมายังห้องจัดแสดงจำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่ง
เมื่อการย้ายเสร็จสิ้น โจวหยูก็พึ่งจะสังเกตเห็นว่าห้องจัดแสดงของเขานั้นเริ่มจะแออัดขึ้นมาเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจว่าเมื่อเขาได้รับเงินจากการขายเกม เขาจะทำการขยายตัวห้องนี้ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
บริษัทแอนิเมชันระดับหนึ่งเองก็มีสถานที่เอาไว้ติดตั้งรูปปั้นเช่นกัน จากการศึกษาของโจวแล้วในบริษัทแต่ละแห่งนั้นจะมีสถานที่เอาไว้ติดตั้งรูปปั้นเช่นกัน
ในข้างต้นนั้นเนื่องจากตัวบริษัทที่เขามีนั้นอยู่เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น มันจึงทำให้เขาสามารถติดตั้งรูปปั้นได้เพียงชิ้นเดียว ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่เขาสนใจอยู่แล้ว เพราะยังไงในตอนนี้เขาก็มีเพียงเจ้ารูปปั้นของนักปราชญ์นี้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น
โจวหยูได้วางรูปปั้นลงตรงกลางพอดีกับช่องอย่างสมบูรณ์ ตามที่ช่างไม้บีเว่อร์ได้บอกเอาไว้ เขายังต้องทำการบิดตัวรูปปั้นเล็กน้อย มันก็เป็นเหมือนกับว่าเขาจำเป็นต้องเปิดกลไกลการทำงานของมันก่อน
หลังจากที่รูปปั้นถูกบิดไปเล็กน้อย มันก็ได้มีแสงแปลกๆเกิดขึ้น ก่อนที่แสงนั้นจะกระจายไปทั่วทั้งสวนสาธารณะก็มีชีวิตชีวาทันที ทุกคนในสาธารณะที่ได้รับแสงนี้ต่างก็ได้ทิ้งกิจกรรมที่ทำอยู่ลง และรีบวิ่งไปล้อมรูปปั้นขณะที่ส่งเสียงดังออกมาพร้อมๆกัน
ในแง่ของทีมจัดการอสังหาริมทรัพย์ เป็นที่น่าแปลกใจที่เขาสามารถได้รับทีมจัดการอสังหาริมทรัพย์ระดับสูงเพียงครั้งแรกที่ทำการสุ่ม ด้วยเอฟเฟคที่ติดตัวมาของทีมจัดการอสังหาริมทรัพย์นี้ มันจะทำให้ตัวบ่งชี้แฟชั่นของฐานแอนิเมชั่นเพิ่มขึ้น 20 คะแนน
ตอนนี้องค์ประกอบที่จำเป็นทั้งหมดของบริษัทแอนิเมชันก็ได้ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว ในที่สุดมันก็สามารถเปิดทำการได้ เมื่อเปิดสตูดิโอของผู้ปฏิบัติงานขึ้นมาโจวหยูก็เห็นว่า เขาสามารถสร้างอนิเมชั่นได้สามระดับแบบเดียวกับบริษัทเกม
และก็เป็นเรื่องปกติที่เขาจะต้องทำการตรวจสอบคุณภาพของแต่ละระดับ
ราคาอนิเมชั่นระดับหนึ่งดาว: ภาพยนตร์ (50 เหรียญโม, 30 พิกเซล) ซีรีย์ทีวี (3 เหรียญโม และ 2 พิกเซลต่อตอน) หรือ 5 การ์ดสัตว์เล็กสัตว์ ตัวบงชี้อารมณ์ 10 แต้ม
ราคาอนิเมชั่นระดับสองดาว : ภาพยนตร์ (150 เหรียญโม, 90 พิกเซล) ซีรีย์ทีวี (9 เหรียญโมและ พิกเซลต่อตอน) หรือ 10 การ์ดสัตว์เล็กสัตว์ ตัวบงชี้อารมณ์ 30 แต้ม
ราคาอนิเมชั่นระดับสาม: ภาพยนตร์ (250 เหรียญโม, 150 พิกเซล) ทีวีซีรีส์ (15 เหรียญโมและ 10 พิกเซลต่อตอน) หรือ 15 การ์ดสัตว์เล็กสัตว์ , ตัวบงชี้อารมณ์ 50 แต้ม
มันแตกต่างจากบริษัทเกม การ์ดสัตว์ขนาดเล็กได้กลายเป็นตัวเลือกในครั้งนี้ เพราะองค์ประกอบหลักนั้นได้ถูกแทนที่ด้วยจุดพิกเซลแทน แต่เดิมเขาคิดว่ามันจะต้องให้เขาเพิ่มการ์ดสัตว์ร้ายบางอย่างเช่น การ์ดเขียนอนิเมชั่นลงไป เหมือนกับที่บริษัทเกมต้องการการ์ดโปรแกรม แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดผิด
เขาได้ไปสอบถามเรื่องนี้จากผู้รู้ชาวประมงนกอ้ายงั่วแล้ว และรู้ว่าหลังจากประมวลผลปลาของโลก ACG แล้วเขาจะได้รับคะแนนพิกเซลมา แต่กว่าที่เขาจะได้แคะแนนพิกเซลมานั้นเขาจำเป็นที่จะต้องมีโรงงานพิกเซลก่อน
‘แม่*! ระบบหน้าเลือกจริงๆ!’
พิมพ์เขียวโรงงานพิกเซลมีราคา 500 เหรียญโม บวกกับค่าก่อสร้าง 100 เหรียญโม ทีมจัดการอสังหาริมทรัพย์ และการสรรหาอื่นๆ ฯลฯ … เมื่อรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว มันก็สูงถึง 1,000 เหรียญโม
‘เฮ้อ! ฉันไม่คิดเลยว่าเงิน 5,000 เหรียญโมของฉันจะหมดเร็วแบบนี้’
โรงงานพิกเซลระดับหนึ่ง สามารถประมวลผล 30 คะแนนต่อชั่วโมงเท่านั้น ปลาหนึ่งดาวจะได้รับหนึ่งจุดพิกเซล ปลาสองดาวรับจุดพิกเซลสองจุด และอื่นๆ ส่วนปลาที่มีชื่อติดว่า – ราชา นั้นจะได้รับจุดพิกเซลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
จากนี้ไปปลาที่เขาจับได้ทุกวันก็สามารถนำไปแปรรูปเป็นวัสดุหลักเป็นสำหรับการสร้างอนิเมชั่นได้
‘นี้มันเป็นการเชื่อมโยงกันอย่างแท้จริง!’
ดูเหมือนว่าผู้กำกับอนิเมชั่นนั้นจะมีสถานะสูงสุดในบริษัทอนิเมชั่น เขาไม่เพียงแต่เป็นเจ้าของคฤหาสน์ส่วนตัวเท่านั้น แต่ทุกคนที่เขาเดินผ่านใคร คนนั้นจะรีบเรียกเขาว่าอาจารย์ด้วยความเคารพทุกครั้ง
สิ่งนี้ทำให้หยางกู่รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก จะเห็นได้ว่าตลอดเวลาที่อีกฝ่ายเดินไปรอบตัวบริษัทนั้น มือของเขาจะประสานกันอยู่ด้านหลังตลอดเวลา
เช่นเดียวกับบริษัทเกม หลังจากที่โจวหยูคลิกเลือกภาพยนตร์แอนิเมชันระดับหนึ่งดาว มันไม่ได้เริ่มต้นทันที แต่มันกลับพ่นกระดาษออกมาแทน
จากนั้นก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องเติมคำตอบลงในกระดาษ
ภาพยนตร์แอนิเมชั่นระดับหนึ่งดาว:
จากภาพยนตร์เรื่องการเดินทางบนสันทราย ของ ตี๋หรงฟู่;
ระยะเวลา 2 ชั่วโมง;
ผู้กำกับแอนิเมชัน – หยางกู่;
ทีมแอนิเมชัน – ทีมงานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกสอนอารมณ์ขัน
เวลาในการผลิต: 24 ชั่วโมง
…………………………
จางเฟิงเป็นบุคคลที่ดูแลทีมสร้างเกมระดับสูงในบริษัทฉันเป็นโอตาคุ ในครั้งนี้เขาได้รับเลือกให้เป็นผู้ดูแลทีมน้องใหม่ที่พึ่งจะรับเข้ามา และทางบริษัทเองก็มีความหวังสูงมากสำหรับทีมใหม่นี้ ดังนั้นพวกเขาจึงใจกว้างเป็นพิเศษเกี่ยวกับเงินสนับสนุนในโฆษณาสำหรับทีมนี้
เพื่อที่จะทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ จางเฟิงได้มอบทีมที่เขาเคยรับผิดชอบให้กับคนอื่นๆในแผนกของเขาแทน เพราะเขารู้สึกว่าอนาคตของเขาอยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงต้องการมุ่งความสนใจทั้งหมดไปกับทีมน้องใหม่ทีมนี้
แผนกที่เขาทำงานอยู่นั้นมีการแข่งขันสูงมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพบทีมที่ดีแต่มันก็ไม่เพียงรับประกันว่าพวกเขาจะได้รับโบนัสในอนาคต ดังนั้นการเลือกทีมดูแลของพวกเขาแต่ละครั้งจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
เพื่อให้ได้เป็นผู้จัดทีมของลัทธิเต๋าที่ถูกคุมขัง เขาได้ใช้ความพยายามลงไปมาก ดังนั้นแน่นอนเขาต้องประสบความสำเร็จในทีมนี้
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้รับมอบหมายให้ดูแลทีมนี้เข้าจริงๆ เขาก็ได้รับรู้ถึงปัญหาในที่สุด
‘เพราะตัวแทนของทีมลัทธิเต๋าที่ถูกคุมขังนั้นมันแปลกกว่าทีมอื่นๆ’
ในอดีตทีมที่เขารับผิดชอบจะมาหาเขาเสมอ และจะถามคำถามจำพวกว่า เกมของพวกเขาจะได้รับการอนุมัติเมื่อใด? พวกเขาจะเริ่มโปรโมตเกมตอนไหน? และเมื่อไหร่ที่จะปล่อยเกมนี้ ฯลฯ … มันเป็นแบบนั้นเสนอมา แต่สำหรับทีมของลัทธิเต๋าที่ถูกคุมขังนั้นกลับไม่ใช้ อีกฝ่ายไม่เคยถามคำถามแม้แต่คำเดียวกับเขา มันราวกับว่าอีกฝ่ายได้ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ มันก็ทำให้จางเฟิงคิดว่าอีกฝ่ายคงมีความมั่นใจมากเกี่ยวกับเกมที่พวกเขาสร้าง นั้นจึงทำให้เขาคิดว่าความอดทนของอีกฝ่ายนั้นสมควรได้รับการยกย่อง อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาติดต่อไปหาเพื่อบอกว่าเกมได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลแล้วนั้น อีกฝ่ายกับตอบมา – “k”
‘K ตูดของนายสิ!’
เมื่อได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล มันก็หมายความว่าพวกเขาสามารถปล่อยเกมได้ทุกเวลาและยังหมายความว่าพวกเขาจะได้รับค่าตอบแทนจากการทำงานหนักของพวกเขาในไม่ช้า วันนี้จึงถือว่าเป็นวันที่ผู้พัฒนาเกมหลายคนต่างรอคอย อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายเพิ่งตอบกลับข้อความที่น่ายินนี้เพียงแค่ประโยคเดียว และมันยังไม่ใช้ประโยคที่สมบูรณ์อีกด้วย
ตั้งแต่คำตอบนั้นมาจางเฟิงก็มีความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้นมาโดยตลอด และมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด
หลังจากเอกสารที่จำเป็นทั้งหมดพร้อมแล้ว การโปรโมตตัวเกมก็เริ่มทันที ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์เกมต่างๆ หรือเว็บไซต์ของพวกเขา ต่างก็มีวิดีโอโฆษณา ข้อความโปสเตอร์ ทั้งหมดถูกเผยแพร่ในเวลาเดียวกัน ด้วยเงินทุนการโฆษณาที่เพียงพอ จางเฟิงจึงตั้งใจจะทำให้เกมนี้เป็นกระแสที่ร้อนแรง และแน่นอนว่านี้จะช่วยเพิ่มชื่อเสียงของทีมลัทธิเต๋าที่ถูกคุมขังอีกด้วย
เว็บไซต์เกมหลายแห่งรวมถึงพวกนิตยสารเกมต่างก็แสดงความสนใจในตัวเกมนี้เป็นอย่างมาก และมีบริษัทจำนวนมากที่ต้องการสัมภาษณ์ทีมพัฒนาเกมนี้ โดยที่พวกเขาหวังว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้กระบวนการพัฒนาในเชิงลึกของเกมและจุดเด่นของเกมนี้มากขึ้น
ตัวเกมจะวางจำหน่ายในไม่ช้า ดังนั้นการสัมภาษณ์ประเภทนี้จึงเป็นเรื่องปกติ ทีมพัฒนาเกมจำนวนมากต้องการการสัมภาษณ์มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อเป็นการโปรโมตเกมของพวกเขา
อย่างไรก็ตามเมื่อจางเฟิงได้บอกเรื่องนี้กับลัทธิเต๋าที่ถูกคุมขัง อีกฝ่ายก็ได้ตอบปฏิเสธออกมาทันที พร้อมกับพูดว่า “ พวกคุณสามารถทำสิ่งที่คุณต้องการได้ ผมจะไม่เข้าไปยุ้งเกี่ยว แต่เราไม่รับการสัมภาษณ์ใดๆทั้งนั้น”
จางเฟิงที่ได้ฟังแบบนั้นก็เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ นี้มันเกิดอะไรขึ้น? มันไม่ใช้การขายผลไม้ในตลาดที่พวกเขาต้องการตะโกนสิ่งที่พวกเขาขายอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นเกมที่ดี หากพวกเขาโฆษณามันอย่างถูกต้อง มันก็ไม่ใช้เรื่องยากที่ตัวเกมจะทำรายได้ทะลุ 50,000 ดาวโหลด
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจางเฟิงก็ยังได้พยายามเกลี้ยกล่อมลัทธิเต๋าที่ถูกคุมขังมากขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าเขานั้นไม่สามารถเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้
ในที่สุดดูเหมือนว่าลัทธิเต๋าที่ถูกคุมขังนั้นจะผู้หงุดหงิดกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นอีกฝ่ายจึงได้ตอบโดยตรงว่า “ เอาละ! ผมจะขอพูดตรงๆตรงนี้เลยละกัน! ผมนั้นเป็นตัวแทนของทีมเท่านี้และสมาชิกในทีมของผมทุกคนกล่าวว่าพวกเขาไม่ต้องการสัมภาษณ์ใดๆ อย่างไรก็ตามหากคุณสามารถติดต่อพวกเขาเป็นรายบุคคลและเปลี่ยนความคิดของพวกเขาได้ ผมจะไม่ขัดขวางการตัดสินใจของพวกเขา!”
‘คุณคิดเหรอว่าฉันจะทำไม่ได้?!’ นี้เป็นความคิดของจางเฟิงที่ได้รับข้อความนี้ เห็นได้ชัดว่าเขานั้นโมโหกับคำตอบของลัทธิเต๋าที่ถูกคุมขังมาก