The Rise of Otaku - ตอนที่ 31
บทที่ 31 เครื่องฉายภาพยนตร์โบราณ
หนึ่งเดือนต่อมาจางเฟิงก็ยอมแพ้ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะหาคนซักคน
เขาเคยคิดว่าทีมของลัทธิเต๋าที่ถูกคุมขัง นั้นอาจจะทิ้งชื่อปลอมของพวกเขาเอาไว้ในเกม เพราะเป็นเรื่องปกติที่สมาชิกทุกคนในทีมจะมีชื่อเขียนในเครดิตตอนจบของเกม นั่นคือสาเหตุที่จางเฟิงคิดว่าเขาจะสามารถหาอีกฝ่ายได้ง่ายๆ
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ ชื่อที่ปรากฏอยู่ในช่วงท้ายของเครดิตนั้นทั้งหมดเป็นตัวละครจากโลกของ ACG นอกจากว่าเขาจะมีความสามารถเช่นเดียวกับโจวหยูแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาก็จะไม่สามารถหาพวกเขาเจอ
คนเดียวที่โจวหยูหาได้คือลัทธิเต๋าที่ถูกคุมขัง- โจวหยู ทั้งสามเกมมีพื้นฐานมาจากหมู่บ้านลู่หัว และชายที่ชื่อว่าโจวหยูเองก็อาศัยอยู่ที่นั่นเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ใช้เรื่องยากที่จะหาเขาเจอ
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะเมื่อมีการลงนามในสัญญาและให้รายละเอียดเกี่ยวธนาคาร มันจำเป็นที่โจวหยูต้องให้รายละเอียดที่แท้จริง ดังนั้นแม้ว่าเขาจะต้องการซ่อนตัว เขาก็ไม่สามารถทำได้
นั่นสามารถแสดงให้เห็นได้ว่าโจวหยูนั้นมีบทบาทที่สำคัญมากในทีมนี้ ไม่อย่างนั้นคนอื่นในทีมจะไม่เชื่อใจเขาให้ดูแลเงินจำนวนมากที่จะตามมา?
อย่างไรก็ตามโจวหยูก็ยืนยันว่าเขาเป็นเพียงตัวแทนของทีมเท่านั้น เขาไม่ใช่สมาชิกในทีมหลักและไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเกมเลย ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการถูกสัมภาษณ์ใดๆ
หลังจากที่จางเฟิงได้ทำการตรวจสอบโจวหยูแล้ว เขาก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นเพียงโอตาคุธรรมดาเท่านั้น เขาไม่ได้ออกจากหมู่บ้านมานานกว่าหนึ่งปี ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากว่าพวกเขาสื่อสารกันผ่านทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น
อาชีพของอีกฝ่ายเองก็เป็นนักเขียนนวนิยายออนไลน์ และพวกนวนิยายที่เขาเขียนนั้นไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้มากที่เขาจะเป็นผู้เขียนบทของเกมนี้
ยิ่งจางเฟิงสืบค้นมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เขาประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น เขาไม่รู้ว่าทำไมคนธรรมดาอย่างอีกฝ่ายถึงรู้จักผู้คนที่พัฒนาเกมที่สุดยอดแบบนี้ได้ และทำไมพวกเขาถึงเชื่อใจกันมากขนาดนี้
………………………
สำหรับกิจกรรมทางธุรกิจพวกนี้โจวหยูคิดว่าเขาจะไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมใดๆทั้งสิ้น เหตุผลแรกก็คือเขาไม่ต้องการเป็นที่รู้จัด เหตุผลที่สองก็คือมันเป็นเรื่องจริงที่เกมพวกนี้ไม่ได้ทำขึ้นโดยเขาเลย การที่เขาออกไปเผยโฉมต่อสาธารณะและถ้าเกิดว่าเขาถูกถามด้วยคำถามทางเทคนิคบางอย่าง มันมีความเป็นไปได้สูงที่เขาอาจจะถูกเปิดเผยตัวต้นจริงๆของเขาขึ้นมาได้
ถ้าเกมนี้สามารถขายได้ดีเขาก็จะได้รับเงินมากขึ้น แต่ถ้าหากว่าเกมนี้ไม่สามารถขายได้ มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขาแต่อย่างใด ยังไงธุรกิจนี้เขาก็ไม่ได้ลงทุนใดๆนอกจากร่างกายของเขาเท่านั้น
ไม่ว่าคนอื่นจะมองยังไงโจวหยูก็ยังคงได้กำไรอยู่ดี ในทางกลับกันบริษัทฉันเป็นโอตาคุที่ใช้เงินจำนวนมากไปกับการโฆษณา หากเกมนี้ขายไม่ดีขึ้นมา คนที่มีปัญหาอาจจะเป็นตัวจางเฟิงเอง
โจวหยูพยายามรักษาสภาพของการเป็นคนนอกตลอดเวลา ดังนั้นมันจึงทำให้เขาค่อนข้างผ่อนคลายเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ แม้ว่าเกมจะขายไม่ดีและเว็บไซต์อาจจะสูญเสียเงินเป็นจำนวนมากในโครงการนี้ หรือบางทีเว็บไซต์อาจไม่ต้องการทำงานกับเขาอีกต่อไป เขาก็ยังสามารถรับเงินจากเกมของเขาได้ในเดือนแรก และด้วยเงินจำนวนนั้นมันจะช่วยให้เขาอยู่รอดไปได้อีกนานมาก
ในระยะเริ่มนี้ มันจะเป็นการดีถ้าตัวเกมมันประสบความสำเร็จ แต่ถ้ามันจะไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็ไม่ได้คิดมากเช่นกัน
เพราะในตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขาสนใจมากที่สุดก็คือการสร้างแอนิเมชันขึ้นมา ดังนั้นเขาไม่ต้องการคิดเกี่ยวกับเรื่องเกมในขณะนี้
ภาพยนตร์แอนิเมชั่นระดับหนึ่งดาว เรื่อง “ภูเขาเพลิง” เสร็จสมบูรณ์ในที่สุด!
มีผู้กำกับอนิเมชั่นในทีมและรูปปั้นในตำนานที่ให้เทคนิคพิเศษ รวมถึงทีมผู้ผลิตยังเป็นทีมที่มีคุณภาพสูงและอนิเมชั่นเองก็เป็นประเภทของอนิเมชั่นที่จะกระตุ้นเอฟเฟกต์พิเศษของทีมงาน ดังนั้นผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้จึงถือว่าเป็นอะไรที่ไม่เลวร้ายเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากใช้การ์ดสัตว์ขนาดเล็กธรรมดา 50 ใบในวันนี้เขาก็ได้รับเครื่องฉายภาพยนตร์โบราณที่ถูกสาป ซึ่งสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงจากชามสมบัติเจ้าชายมังกรตัวที่สาม
มันเป็นของเก่าอย่างแท้จริง มันทำให้โจวหยูนึกไปถึงโรงภาพยนตร์กลางแจ้งที่เขาเคยไปเมื่อตอนที่เขายังเด็ก ในเวลานั้นภาพยนตร์ถูกฉายบนจอผ้าใบขนาดใหญ่ที่ถูกแขวนบนผนัง
จากนั้นเมื่อเครื่อง “สองล้อ” แปลกๆเริ่มทำงาน มันก็ได้ปรากฏลำแสงสว่างบนหน้าจอ ก่อนที่มันจะเป็นฉากมากมายที่น่าสน
ส่วนมากโรงภาพยนตร์กลางแจ้งมักจะเล่นภาพยนตร์สองเรื่องต่อคืน อย่างไรก็ตามเมื่อเขายังเป็นเด็กเขา มักจะง่วงนอนมากในเวลากลางคืน แม้ว่าพ่อแม่ของเขาจะพยายามลากเขากลับบ้านเพื่อนอน แค้เขาก็ยังคงปฏิเสธที่จะจากไป และยังคงต้องการที่จะดูหนังถึงจุดจบ
‘เจ้าเครื่องนี้มันทำให้ฉันคิดถึงวันเก่าๆจริงๆ.’
การปรากฏตัวของเครื่องฉายภาพยนตร์โบราณที่ถูกสาปตรงกับโปรเจ็กเตอร์ในความทรงจำของเขา แต่ผ่านสายตาของโลก ACG เขาจะเห็นว่ามีสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เรียกว่าเงาปีศาจในเครื่องฉายนั้น
มันมีผิวสีแดง มีเขาอยู่บนหัว และหางลูกศรที่เป็นสัญลักษณ์ มันเป็นลักษณะทั่วไปของปีศาจตามสไตล์ตะวันตกเลยที่เดียว สิ่งเดียวที่แปลกก็คือว่ามันสวมเครื่องแบบของคนงานที่มักจะเห็นตามโรงภาพยนตร์
“ สวัสดีเจ้านาย! ปิศาจเงาพร้อมให้บริการแล้วครับ” ปีศาจเงานั้นสุภาพมาก ซึ่งมันเป็นอะไรที่โจวหยูไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็น
เขายังได้สังเกตภายในกล่องฉายนี้เช่นกัน เขาเห็นว่าในนนั้นมีสามเตียงเล็กๆ โต๊ะเก้าอี้ ตู้เครื่องมือ และชั้นวางหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือ
และตามที่เขาคิดไว้ เงาปีศาจได้อธิบายเพิ่มเติม “ ผมเคยเป็นนักฉายภาพยนตร์มาก่อน เพื่อให้ผู้ชมได้รับประสบการณ์การดูภาพยนตร์ที่ดีที่สุด ผมจึงได้ขายวิญญาณให้กับปีศาจไป”
“นั้นจึงทำให้ภาพยนตร์ที่ผมฉายนั้นจะทำให้ผู้ชมได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดเสนอมา อย่างไรก็ตามมันก็มีค่าใช้จ่ายเช่นกัน นั่นคือผมจะไม่สามารถออกจากกล่องนี้ได้จนกว่าผมจะฉายภาพยนตร์ครบ 1,000 เรื่อง นายท่าน! ท่านช่วยผมกำจัดคำสาปนี้ได้ไหม?”
ภาพยนตร์ 1,000 เรื่อง … เวลาในการผลิตภาพยนตร์อนิเมชั่นคือหนึ่งวัน แต่เขาวางแผนเอาไว้ว่าจะสร้างอนิเมชั่นระดับสูงในอนาคต และแน่นอนว่าเขาต้องใช้เวลามากในการคืนค่าคะแนนอารมณ์ของทุกคนที่อยู่ในนั้นอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ต่อในการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นหนึ่งเรื่อง
ดังนั้นหากเขาต้องการช่วยปีศาจเงานี้จริงๆ เขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 หรือ 20 ปี
‘แต่การกำจัดคำสาปนี่ไม่ใช่ความเชี่ยวชาญของนกอมตะเฒ่าหรอกเหรอ?’ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ใช้ว่าคำสาปของนีเนียนและหยางกู่ต่างก็เป็นอีกฝ่ายที่จัดการให้เหรอ? ดังนั้นเขาอาจจะสามารถลบคำสาปนี้ได้เช่นกัน
เมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้นมา โจวหยูก็ไม่รอช้าที่จะไปหาอีกฝ่ายทันที พร้อมกับที่เขาได้อธิบายสถานการณ์นี้ให้ฟังอย่างละเอียด อย่างไรก็ตามหลังจากที่นกอมตะเฒ่าได้เดินไปรอบๆเจ้ากล่องฉายภาพนี้แล้ว มันก็ได้ส่ายหัวออกมาแล้วพูดว่า “ ข้ากลัวว่าข้าจะไม่สามารถลบคำสาปนี้ได้ แต่หากเจ้าสามารถหาอาจารย์ของข้าได้ ไม่แน่ว่าบางทีท่านอาจจะทำได้ก็ได้”
‘เอ่อ…นี้แกจะให้ฉันไปหาคนที่ระดับสูงกว่าแกว่างั้น!” นี้มันเป็นเรื่องอะไรที่บ้ามากๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ในการค้นหาอาจารย์ของอีกฝ่าย ดังนั้นเขาคงทำได้เพียงแค่ให้ปีศาจเงานี้ฉายภาพยนตร์ให้มากขึ้นเท่านั้น
ดูเหมือนปีศาจเงาจะไม่รู้สึกเสียใจแต่อย่างใด เพราะในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้ใช้เวลานานมากในกล่องฉายนี้ มันจะเป็นอะไรไปถ้าเขาจะใช้เวลาเพิ่มอีกเล็กน้อยในกล้องนี้ กลับกันเขารู้สึกซาบซึ้งมากที่นายท่านหยูมีความตั้งใจที่จะปลดปล่อยเขาจากเรื่องนี้ มันทำให้เขาให้สัญญาว่าเขาจะตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายจากโจวหยูให้ดีที่สุด
‘ก็อย่างที่ว่าการมีความหวังนั้นย่อมดีกว่าความสิ้นหวังเสมอ’
นอกจากนี้ปีศาจเงายังหลงใหลในงานของตัวเองเป็นอย่างมาก ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ยอมแลกเปลี่ยนกับปีศาจเพื่อรับความสามารถพิเศษนี้
เมื่อโจวหยูเห็นอีกฝ่ายกำลังตรวจสอบอุปกรณ์อย่างหงุดหงิด เพราะเขากลัวว่าอุปกรณ์จะมีปัญหาเมื่อฉายภาพยนตร์ โจวหยูไม่ต้องการให้อีกฝ่ายผิดหวัง เขาจึงได้ไปที่บริษัทอนิเมชั่นและหยิบภาพยนตร์อนิเมชั่นที่เสร็จแล้วออกมา สิ่งแรกที่เขานำออกมาคือข้อมูลดิจิตอลซึ่งสามารถเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ของเขาได้
ก่อนหน้านั้นมันได้ตัวเลือกมากกว่าหนึ่งให้โจวหยูเลือก ไม่ว่าจะเป็นม้วนฟิล์ม เทป VHS แผ่นดิสก์ ฯลฯ … ดูเหมือนว่ามันจะมีทางเลือกมากมายที่เต็มไปด้วยคำศัพท์ทางเทคนิค นั้นยิ่งทำให้ทำให้เขารู้สึกปวดหัว
โชคดีที่มีปีศาจเงามันรู้ว่าต้องใช้รีลฟิล์มชนิดใดสำหรับเจ้าเครื่องเล่นที่ตัวเอง
หลังจากที่โจวหยูเลือกม้วนฟิล์มแล้ว ก็ได้ปรากฏม้วนฟิล์มทะลักออกมาจากด้านล่างของตัวบริษัทอนิเมชั่น แค่ม้วนเดียวมันไม่สามารถเก็บภาพยนตร์ที่มีความยาวถึงสองชั่วโมงได้ ดังนั้นมันจึงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน