The Rise of Otaku - ตอนที่ 32
บทที่ 32 โรงหนังกลางแจ้งเปิดทำการ
วันนี้เป็นวันเสาร์ เหล่าเด็กๆที่ต้องไปในโรงเรียนเป็นเวลาหลายวันในที่สุดก็สามารถมีความสุขได้แล้วในวันนี้ พวกเขาต่างก็ต้องการเล่นมากเท่าที่พวกเขาต้องการในช่วงเวลานี้ แน่นอนว่าบ้านของโจวหยูนั้นเป็นจุดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เหล่าเด็กซนเกือบทุกคนในหมู่บ้านต่างก็อยู่ที่นี้
แม้แต่เด็กบางคนจากหมู่บ้านใกล้เคียงก็ยังได้รับเชิญให้มาเล่นของเล่นที่นี้เช่นกัน
มันเป็นความอัปยศที่ในตอนนี้มันได้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว มันจึงทำให้อุณหภูมิได้เริ่มลดลง ดังนั้นเหล่าเด็กๆจึงไม่สามารถเล่นน้ำได้ แต่พวกเขายังคงสามารถเล่นเกมสงครามหรือเกมจับโจรที่สนามโจวหยูได้ตามปกติ
เมื่อเด็กๆกำลังเล่นกันอยู่นั้น พวกเขาก็ได้สังเกตเห็นว่าพี่ชายหยูกำลังย้ายเครื่องจักรขนาดใหญ่ออกมา ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มล้อมเขาไว้อย่างสงสัยทันที
เด็กทุกคนต่างก็ไม่เคยเห็นเครื่องจักรแปลกๆประเภทนี้มาก่อน อย่างไรก็ตามจริงๆแล้วมันค่อนข้างเข้าใจได้ เพราะเครื่องฉายหนังเครื่องนี้เป็นอะไรที่โบราณอยู่เล็กน้อย มันอาจจะหายไปแล้วในปัจจุบันแต่ถ้าใครมีอายุใกล้เคียงกับโจวหยูหรือมากกว่าเขา มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะไม่รู้จักเครื่องฉายหนังเครื่องนี้
“ พี่ชายหยู! เจ้าเครื่องนี่คืออะไร? มันจะทำให้ผมบินได้ไหม” เจ้าหนูน้อยโจวเฮาคนนี้เป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นมากที่สุด เขารีบไปหาโจวหยูและถามขณะที่พยายามช่วยโจวหยูขยับเจ้าเครื่องแปลกๆนี้
เป็นที่รู้กันว่าจินตนาการของพวกเด็กๆนั้นยิ่งใหญ่เสมอ บางทีเขาอาจต้องการที่จะขับเครื่องบินไม้เหล่านั้นจริงๆ
ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะในที่สุดเขาก็เคยได้เล่นเกทสงครามของหมู่บ้านลู่หัวมาก่อน และเขายังได้สนใจเครื่องบินที่บินอยู่บนท้องฟ้าในเกมอย่างมาก เขายังเปลี่ยนชั้นเรียนตามปกติให้เป็นห้องนักบินมาแล้ว
“ หยุดเลย! นี่คือตัวฉายภาพยนตร์ ฉันจะเล่นหนังให้พวกเธอได้ดูกันในวันนี้”
การแบ่งปันความสุขนั้นมีความสุขยิ่งกว่าสนุกเพียงคนเดียว นอกจากนี้มันยังเป็นเรื่องน่าเศร้าที่จะเห็นใครบางคนเพลิดเพลินกับภาพยนตร์เพียงคนเดียวบนหน้าจอขนาดใหญ่เช่นนี้ ดังนั้นโจวหยูจึงได้วางแผนที่จะฉายภาพยนตร์ให้เด็กๆเหล่านี้ดูเป็นเพื่อน
การดูภาพยนตร์บนหน้าจอขนาดใหญ่ ไม่ใช่เรื่องใหม่ในปัจจุบันเหมือนสมัยวัยเด็กของโจวหยู เพราะเมื่อใดก็ตามที่เขาได้ยินว่ามีใครบางคนกำลังเล่นภาพยนตร์บนถนน เขาจะตื่นเต้นตลอดทั้งวันเมื่อเขายังเป็นเด็ก
แต่ทุกวันนี้ต่างออกไป เพราะมีห้องเรียนมัลติมีเดียในโรงเรียนประถมศึกษาทุกแห่ง และเด็กทุกคนจะสามารถดูภาพยนตร์ได้สองถึงสามครั้งต่อสัปดาห์ อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่โรงเรียนและคงไม่ใช่ภาพยนตร์วิทยาศาสตร์และการศึกษาที่น่าเบื่อ ดังนั้นเมื่อโจวเฮาได้ยินแบบนี้ก็ได้แสดงความสุขออกมา
“ พี่ชายหยู! มันหนังเรื่องอะไรอะ? ผมอยากดู เจ้าหนูตะลุยจักวาลภาค 3 พี่มีมันไหม?”
‘เอาตูดของฉันนิ!’ โจวหยูถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินแบบนี้ เจ้าเด็กกลุ่มนี้ช่างเอาใจได้ยากจริงๆ ซึ่งมันแตกต่างจากเขาตอนเด็กๆมาก
เมื่อเขายังเด็กเพียงแค่ภาพยนตร์อะไรก็ได้ มันก็เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นแล้ว แต่มาตอนนี้พวกเด็กๆเหล่านี้กับต้องการดูหนังฮอลลีวูด!
อย่างไรก็ตามมันเป็นเพียงภาพยนตร์ระดับหนึ่งเท่านั้นในตอนนี้ แม้ว่ามันจะมีเทคนิคพิเศษบางอย่างเพิ่มเข้ามา มันก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีคุณภาพ ดังนั้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าเด็กเหล่านี้จะสนุกกับมันหรือไม่
‘จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเด็กเหล่านั้นโห่ใส่หนังของเขา?’ แน่นอนว่ามันคงจะเป็นอะไรที่น่าอับอายเล็กน้อยสำหรับเขา
ในขณะที่กังวลเกี่ยวกับประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์อยู่นั้น โจวหยูก็แขวนจอโปรเจ็กเตอร์สีขาวอย่างช้าๆบนกิ่งก้านของต้นไทรขนาดใหญ่ภายในบ้านของเขา
สิ่งที่โจวหยูทำอยู่นั้น ก็ได้ถูกพบโดยผู้สูงอายุในหมู่บ้านเช่นกัน ซึ่งนั้นทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความคิดถึง เพราะมันทำให้พวกเขานึกถึงวันวานที่ดีและภาพยนตร์สงครามที่พวกเขาเคยดู
ดังนั้นหลังอาหารเย็นเมื่อเด็กๆนำเก้าอี้ของตัวเองไปที่บ้านของโจวหยู ผู้สูงอายุบางคนก็ตามพวกเขาไปข้างหลังและเตรียมพร้อมที่จะหวนระลึกถึงความทรงจำเก่าๆ
โชคดีที่สนามหน้าบานของโจวหยูนั้นใหญ่พอที่จะสามารถจุคนข้างในได้จำนวนมาก ภายใต้แสงสว่างผู้คนต่างก็ได้พบจุดที่ตัวเองต้องการอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ภาพยนตร์จะเริ่มต้นขึ้น เหล่าเด็กๆก็ได้เล่นสนุกไปด้วยกัน พวกเขาหัวเราะและเล่นอยู่ตลอดเวลา ในช่วงเวลาดังกล่าวพวกเขายังเห็นว่ามีผู้คนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันทำให้เด็กซนกลุ่มนี้ตื่นเต้นยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามนี่เป็นเวลากลางคืนไม่ใช้ช่วงเวลากลางวันตามปกติ มันจึงยังมีบางส่วนของลานหญ้าที่มืดที่แสงไม่สามารถเข้าถึงได้ ดังนั้นหลังจากที่เด็กๆบางคนที่ล้มลงบนพื้นในระหว่างการเล่นไล่ล่า ก็ถูกปู่ย่าตายายของพวกเขาสั่งให้หยุดเล่นทันที
ถ้าในสมัยก่อนช่วงเวลานี้ จะมีคนบางคนที่ใช้โอกาสนี้ในการทำให้เด็กเหล่านั้นขอให้พ่อแม่ซื้อขนมขบเคี้ยวสำหรับพวกเขาแล้วพวกเขาก็จะสามารถเพลิดเพลินกับขนมขบเคี้ยวในขณะที่ดูภาพยนตร์ได้
ในเวลานั้นเด็กๆทุกคนแต่งตัวเสื้อคลุม หลังจากดูภาพยนตร์และกลับถึงบ้าน พ่อแม่หลายคนมักจะพบว่าลูกๆของพวกเขาเป็นเหมือนห้างสรรพสินค้า เพราะมันจะมีของว่างมากมายบรรจุอยู่ในมือของลูกน้อย ดังนั้นเด็กๆหลายคนจึงมักถูกพ่อแม่บอกว่าจะไม่พาพวกเขาไปดูหนังในครั้งต่อไป
มองไปที่ท้องฟ้ามันมืดแล้ว ดังนั้นโจวหยูจึงเดินออกจากบ้านพร้อมกับม้วนฟิล์ม เขาปิดไฟในสนามเหลือเพียงไฟหลอดเล็กๆที่เปิดถัดจากเครื่องฉายหนังเท่านั้น หากไม่มีโคมไฟมันจะยากมากสำหรับผู้ฉายภาพที่จะเปลี่ยนม้วนฟิล์มและตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับเครื่องถ้าเกิดว่ามันมีปัญหาเกิดขึ้น
แน่นอนโจวหยูไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเหล่านี้ เขาเพียงแค่ต้องนั่งถัดจากเครื่องฉายหนังและแสร้งทำเป็นว่าเขาทำงานทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง แต่ความจริงก็คือมันได้ถูกทำโดยปีศาจเงาข้างในทั้งหมด
ด้วยทักษะที่ยอดเยี่ยม เจ้าปีศาจเงาได้ทำการปรับมุมของเครื่องฉายหนังก่อน จากนั้นจึงสั่งให้โจวหวางม้วนฟิล์มที่มีภาพยนตร์ตอนที่ 1 และรีลฟิล์มเปล่าบนเครื่องฉาย
งานอื่นๆของโจวหยูคือการทำให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้เขา ไม่อย่างนั้นความจริงที่ว่าเครื่องฉายหนังกำลังฉายภาพยนตร์ด้วยตัวเองจะถูกเปิดเผยทันที แน่นอนในคืนที่มืดแบบนี้มันเป็นเรื่องยากมากที่จะเห็นสิ่งที่เขาทำ นอกจากนี้เขาใช้ร่างกายของเขาเพื่อปิดกั้นมุมมองอื่นๆ ตราบเท่าที่ไม่มีใครเดินเข้ามาใกล้เขา ก็จะไม่มีใครสังเกตเห็นอะไรทั้งนั้น
เนื่องจากทุกอย่างพร้อมแล้ว มันจึงถึงเวลาเล่นหนังแล้ว
เมื่อมีเสียงคลิกของเครื่องฉายหนังเริ่มทำงาน ตามด้วยเพลงไพเราะที่มาจากลำโพงถัดจากหน้าจอ ภาพยนตร์ – ภูเขาเพลิงกำลังเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
โจวหยูเข้าใจทันทีว่าคุณภาพของภาพยนตร์เกือบจะเหมือนกับอนิเมชั่นไซอิวเมื่อ 10 ปีก่อน แม้ว่ากราฟิกของมันจะไม่ถือว่าดี แต่เอฟเฟกต์เสียงของภาพยนตร์เกือบจะแข่งขันกับภาพยนตร์ระดับกลางๆได้สบายๆ เมื่อเสียงคลาสสิกของเพลงจิงจฺวี่ปรากฏขึ้น มันก็ดึงดูดความสนใจของผู้สูงอายุเหล่านั้นทันที อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาตระหนักว่ามันเป็นอนิเมชั่น พวกเขาต่างก็ถอนหายใจด้วยความผิดหวังเท่านั้น แต่ก็ยังไม่มีใครที่จะลุกหนีไปเพราะในที่สุดแล้วตรงลานหน้าบ้านนั้นก็ยังมีลูกหลานของพวกเขายังอยู่
แต่สำหรับเด็กๆแล้วภาพยนตร์ที่พวกเขาชื่นชอบมากที่สุดคืออนเมชั่น แม้ว่ากราฟิกของอนิเมชั่นนี้จะไม่ดีมากนัก แต่พวกเขายังคงสนุกกับมันอยู่ดี
แม้แต่เด็กน้อยโจวเฮาที่ก่อนหน้านี้เป็นห่วงเรื่องคุณภาพของภาพยนตร์ก็ถึงกับปรบมือและตะโกนออกมาอย่างต่อเนื่องขณะที่ดู
ดูเหมือนว่าความกังวลของโจวหยูนั้นไม่จำเป็นเลย
ตามความจริงแล้วผู้คนที่ชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ ต่างก็เข้าใจความสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่มีต่ออุตสาหกรรมอนิเมชั่นประเทศจีนหรืออาจมีความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับแอนิเมชั่นแบบนี้ ในแง่ของคนที่เหลือที่ชอบหนังเรื่องนี้พวกเขาอาจเป็นเด็กๆที่ไม่ได้สนใจเรื่องคุณภาพของอนิเมชั่นมากนัก
ในสำหรับโจวหยูแล้วเรื่องนี้ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องสนุกในระดับหนึ่ง แต่มันจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าต้องทำการดูนานครั้งเท่านั้น เพราะถ้าเขาต้องการดูมันทุกสัปดาห์ มันเป็นเรื่องแน่นอนเขาจะไม่รู้สึกสนุกไปกับมันได้
ดังนั้นในครั้งนี้อนิเมชั่นระดับหนึ่งจะถูกยกเลิกการทำไป แต่เขาจะหันไปให้ความใจในอนิเมชั่นระดับแทน
เนื้อหาของภาพยนตร์นี้ไม่มีอะไรพิเศษและโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีอะไรที่จะทำให้ใครบางคนต้องการที่จะวิพากษ์วิจารณ์มัน
อาจจะเป็นเพราะแอนิเมชันเรื่องนี้ได้ถูกทำซ้ำมาแล้วมากมาย มันจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกเขาไปแล้ว ถึงแม้ว่าเอฟเฟกต์เสียงจะน่าตื่นเต้นและการแสดงเสียงของนักแสดงทุกคนก็ค่อนข้างจะได้มาตรฐาน แต่สไตล์แอนิเมชั่นนั้นค่อนข้างเก่า ซึ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่น่าเสียดายเกี่ยวกับอนิเมชั่นนี้
เวลาผ่านไปสองชั่วโมงอย่างรวดเร็ว สำหรับเด็กเหล่านั้นมันก็ดึกมากไปแล้ว ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะร้องไห้เพื่อขอการ์ตูนเรื่องอื่นจากโจวหยู แต่เขาก็จะไม่เล่นอีกต่อไป การปิดเครื่องฉายหนังและเปิดไฟในบ้านเขา มันก็เป็นสัญญาว่าหมดเวลาแล้ว ดังนั้นโจวหยูจึงได้เริ่มส่งเด็กทุกคนกลับบ้านในขณะที่พวกเขายังคงบ่นอยู่ตลอดเวลา
“ พี่ชายหยู! พี่จะเล่นหนังเรื่องอื่นให้เราดูอีกครั้งตอนไหน?”
เห็นได้ชัดว่าโจวเฮาน้อยนั้นไม่มีความอดทนมากพอ มันจึงเป็นเขาที่เริ่มถามคำถามนี้ทันที
“ ในอนาคต! ตราบใดที่ฉันว่างฉันจะเล่นหนังทุกคืนวันเสาร์ แต่มีเงื่อนไขข้อหนึ่งคือ เธอต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อน ใครก็ตามที่ไม่ทำการบ้านให้เสร็จ ฉันจะไม่ยอมให้พวกเขาดูหนัง”
ด้วยเหตุนี้ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านลู่หัวจึงประหลาดใจ เมื่อพบว่าลูกๆของพวกเขาเริ่มที่จะทำการบ้านใกล้วันหยุดสุดสัปดาห์ ราวกับว่าพวกเขากลายเป็นเด็กดีขึ้นมายังไงยังงั้น
และเมื่อพวกเขาถามลูกๆของพวกเขากับสิ่งที่เกิดขึ้น ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าเป็นเพราะเด็กน้อยโจว – โจวหยูได้เปิดโรงภาพยนตร์กลางแจ้งสำหรับพวกลูกของเขานั้นเอง
และการฉายหนังเรื่องนี้ไม่ได้ใช้เงิน เขาจะรับเฉพาะการบ้านของเด็กๆเป็นตั๋วเข้าชมเท่านั้น ทุกคนที่ไม่ทำการบ้านเสร็จจะไม่ได้รับอนุญาตให้ดูหนัง
‘นี่เป็นความคิดที่ดีอย่างแท้จริง!’