The Rise of Otaku - ตอนที่ 42
บทที่ 42 พ่อ
โจวหงเป็นอาจารย์ในมหาลัย อย่างไรก็ตามเขาได้ล้มเหลวในการสอนลูกชายให้ประพฤติตนเหมือนชายหนุ่มทั่วไปทุกคน
สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้มันเป็นการประชดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา เพื่อให้ลูกชายของเขาออกมาจากห้องของตัวเอง เขาได้ลองใช้วิธีการทุกชนิดแต่ผลลัพธ์ที่เขาได้รับก็คือการสร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวขึ้น มันยังได้ส่งสัญญาณของการแตกหักออกมาให้เห็นอีกด้วย
ถึงแม้ว่าการปล่อยให้ลูกชายย้ายกลับไปบ้านเกิดไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แต่ยังไงก็ตามหากเขายังไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ เขาก็คิดว่านี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์ครอบครัวเอาไว้ได้
มันเป็นเวลาหนึ่งปีแล้วที่ลูกชายของเขาได้ย้ายออกไป ในตอนแรกภรรยาของเขา – หยางซู่หลัน เธอได้ร้องไห้ทุกวัน เมื่อเวลาผ่านไปในที่สุดเธอก็เริ่มยอมรับความเป็นจริงในที่สุด เขาที่เห็นแบบนั้นก็โล่งใจว่าในที่สุดเธอก็ผ่านช่วงเวลาที่ยากที่สุดมาได้
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้เขาได้รับโทรศัพท์จากหัวหน้าหมู่บ้าน มันก็ได้ทำให้เขากังวลอีกครั้ง
เขาได้รับรู้มาว่าตลอดเวลาหนึ่งปีมานี้ เจ้าลูกชายของเขานั้นได้ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านตลอดเวลา และนั้นอาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดปัญหาด้านจิตใจ
โจวหงที่ได้ฟังเรื่องนี้ก็ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับภรรยาของตัวเอง ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอถ้าเธอได้ฟังเรื่องนี้
และเมื่อเร็วๆนี้ เขาเองก็ได้เริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับอาการป่วยทางจิตและได้ปรึกษากับนักจิตวิทยาด้วยเช่นกัน แต่คำตอบทั้งหมดที่เขาได้รับคือพยายามอย่าทำให้ผู้ป่วยเกิดอารมณ์ด้านลบมากเกินไป ไม่อย่างนั้นมันอาจจะทำให้สภาพของผู้ป่วยแย่ลง
หลังจากที่เขาขอให้หัวหน้าหมู่บ้านช่วยหาคนไปพูดคุยกับลูกชายของเขา สถานการณ์ก็ดูเหมือนจะดีขึ้น จากนั้นในที่สุดโจวหงก็โล่งใจ แต่เขายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำ
โชคดีที่หัวหน้าหมู่บ้านบอกเขาได้ทันเวลา ยังไงก็ตามจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเงื่อนไขมันได้เลวร้ายลงอีกครั้ง ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะเสี่ยง เขาไม่ต้องการให้ลูกชายของเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ปิดตลอดไป
โจวหงเองก็มีเพื่อนที่ทำงานในฐานแอนิเมชันในจังหวัด เขาเป็นนักเขียนบทภาพยนตร์แอนนิเมชั่นที่โด่งดังมาก ดังนั้นเขาคิดว่ามันจะเป็นเรื่องดีกว่าถ้าเขาจะให้ลูกชายของเขาเป็นเด็กฝึกงานของเพื่อน
แอนิเมชั่นเป็นสิ่งที่ลูกชายของเขาสนใจ การเขียนบทความเองก็เป็นความพิเศษของลูกชายด้วย ดังนั้นการทำงานที่อีกฝ่ายรัก มันอาจจะเป็นการช่วยทำให้อาการของลูกชายของเขาดีขึ้นก็ได้
เมื่อคิดได้แบบนั้น เขาก็คิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่เขาจะไปรับเจ้าลูกชายกลับบ้าน
…………………………
ในบ้านของโจวหยูกำลังฉายอนิเมชั่นอยู่
แน่นอนว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวเล็กๆที่ชื่อว่าฟอซ่าไม่มีอยู่จริงในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ตัวละครมนุษย์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กจากหมู่บ้านลู่หัวเอง มันทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความสมจริงที่ยอดเยี่ยม
โดยเฉพาะบุคลิกของเด็กทุกคน พวกเขาได้ถูกแสดงอย่างเต็มตาในภาพยนตร์นี้ มันจึงทำให้เหล่าเด็กๆสนใจอนิเมชั่นนี้มากขึ้น
เด็กๆที่อยู่ในเครื่องแบบทหารนั้นเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่กล้าหาญและการต่อสู้ระหว่างพวกเขากับหัวหน้าจอมวายร้ายนั้นรุนแรงมาก จนแม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังรู้สึกถึงเสน่ห์ของอนิเมชั่น
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโจวหยูถึงสามารถทำเงินจากเกมได้มากขนาดนี้ จากอนิเมชั่นเรื่องนี้มันก็ทำให้พวกเขาสามารถเห็นได้อย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายเก่งมากในสิ่งที่เขาทำ
ทางด้านเด็กๆเองก็ยิ่งส่งเสียงดังมากขึ้น เมื่อใดก็ตามที่มี “ใครบางคน” ปรากฏตัวในอนิเมชั่น เด็กคนนั้นจะตะโกนดังๆราวกับว่าพวกเขากลัวที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเอกอย่าง – โจวเฮา เขาไม่สามารถหยุดยิ้มที่ไร้สาระของเขาได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่พ่อของเขาตบหัวของเขาก่อนหน้านี้ มันก็มีความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะวิ่งไปรอบๆสนามหญ้าแล้ว
ใบหน้าของเด็กทุกคนที่มาจากหมู่บ้านอื่นๆต่างเต็มไปด้วยความอิจฉา พวกเขาต่างก็คิดว่าถ้าพี่ชายยูกำลังจะสร้างหนังอีกเรื่องในอนาคต พวกเขาเองก็อยากจะขอเป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน แม้ว่ามันจะเป็นเพียงบทบาทเล็กๆก็ตาม
ในตอนท้ายของอนิเมชั่น ภายใต้ความพยายามของทุกคนในกองทหารของเด็กๆ ในที่สุดพวกเขาก็ประสบความสำเร็จในที่สุด หมู่บ้านลู่หัวเองก็ได้กลับไปสู่ช่วงเวลาที่ชาวบ้านสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับฟอซ่าได้อีกครั้ง
ผู้ใหญ่เริ่มปรบมือให้แล้วเด็กๆก็เลียนแบบสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำและเริ่มปรบมือให้เช่นกัน
โรงหนังกลางแจ้งในวันนี้น่าจะเป็นโรงหนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งของโจวหยู
…………………………
เนื่องจากการจราจรที่ล้าช้าระหว่างตัวเมืองกับหมู่บ้าน มันจึงทำให้เมื่อโจวหงกลับมาที่หมู่บ้าน มันก็เป็นตอนเย็นแล้ว เขาไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านก่อนเป็นอันดับแรก อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครอยู่บ้าน โดยปกติพวกเขาควรกลับมาบ้านแล้วในเวลานี้ เป็นไปได้ไหมที่มีคณะละครสัตว์ในหมู่บ้าน?
ยิ่งเข้าใกล้บ้านของตัวเองมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจมากขึ้นเท่านั้น บ้านทุกหลังระหว่างทางต่างก็เงียบเป็นอย่างมาก ที่เดียวที่เปิดไฟคือบ้านของเขา และยิ่งเขาเข้ามาใกล้บ้านมากขึ้นเท่าไรมันก็ยิ่งเกิดคำถามในใจมากขึ้นเท่านั้น
‘มีบางอย่างเกิดขึ้นในบ้านของฉันเหรอ?’ เขาเริ่มวิตกกังวล ในเวลาเดียวกันเขาก็เริ่มเดินให้เร็วขึ้น
ประตูบ้านเปิดออก เสียงดังที่เขาได้ยินมาก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะมาจากลำโพงที่อยู่ในสนามหญ้าหน้าบ้าน ดูเหมือนว่ามีคนกำลังเล่นภาพยนตร์อยู่ในตอนนี้
‘นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?’
เขาที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้เดินเข้าไปในสนามอย่างช้าๆ และสิ่งที่เขาเห็นต่อไปก็คือฉากแปลกๆ มันมีหน้าจอโปรเจ็กเตอร์แขวนอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ในบ้านของเขา ขณะนี้ก็กำลังแสดงอนิเมชั่น และเสียงที่เขาได้ยินระหว่างทางกลับบ้านก็มาจากลำโพงถัดจากหน้าจอนี้
‘มันเกิดอะไรขึ้น? ทุกคนในหมู่บ้านอยู่ที่นี่!’ อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าพวกเขาทุกคนถูกดึงดูดด้วยอนิเมชั่นเรื่องนี้ ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีคนอื่นเดินเข้ามาในเวลานี้
ถัดจากเครื่องฉายหนังโบราณไม่ไกลคือลูกชายของเขาที่ล้มเหลวในการทำตามความคาดหวังของเขา ในขณะนี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยุ่งกับการใช้งานเจ้าเครื่องนี้อยู่
‘มันไม่ใช่นักฉายหนังจากเมืองเหรอ? และมันตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ลูกเราได้ชอบทำอะไรแบบนี้ ‘
ก่อนหน้านี้เคยมีคณะฉายหนังที่ได้เดินทางไปรอบๆเมือง เพื่อจัดโรงหนังกลางแจ้ง อย่างไรก็ตามเขาคิดว่าคณะนี้ควรจะเจ๊งไปนานแล้ว ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่เมื่อใดกันที่คนในหมู่บ้านนี้ชอบความบันเทิง?
อาจจะบอกได้ว่าในตอนนี้จิตใจของโจวหงนั้นเต็มไปด้วยความสับสน แต่เขาก็ไม่ได้ทำเสียงดังใดๆ เขากลับอดทนรออยู่ข้างๆในขณะที่คอยดูอนิเมชั่นไปด้วย
นี่เป็นอนิเมชั่นที่แปลกเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านลู่หัวของเขา ตัวละครและฉากทั้งหมดนำมาจากหมู่บ้านลู่หัวจริงๆ มันไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงเข้ามาดูมัน
ฉากเกี่ยวกับผู้นำตัวร้ายที่มักมีอารมณ์โกรธและฉุนเฉียวตลอดเวลา และการต่อสู้กันระหว่างทหารเด็กกับสัตว์ประหลาดตัวน้อย มันทำให้ฉากดำเนินเรื่องคล้ายกับนิทานเรื่องหนึ่ง
อนิเมชั่นดังกล่าวเป็นทั้งการศึกษาและสามารถเพลิดเพลินกับเด็กๆ ไม่ว่าจากมุมมองใดมันก็เป็นภาพยนตร์ที่ดี
มันก็เป็นเพียงแค่ว่าเขาไม่รู้วิธีที่ลูกชายของเขาได้รับภาพยนตร์เรื่องนี้มายังไง? ยิ่งกว่านั้นทำไมเขาไม่เคยได้ยินข่าวอะไรที่เกี่ยวกับคนที่สร้างอนิเมชั่นที่สวยงามเรื่องนี้?
แต่ถึงยังไงเจ้าอนิเมชั่นเรื่องนี้ก็ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว เขาไม่ได้คิดว่านี้มันจะเป็นภาพหลอนแต่อย่างใด
‘ดูเหมือนว่าเขาต้องหาเวลาพูดคุยกับลูกชายของเขาเกี่ยวกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำในปีที่ผ่านมาเสียหน่อยแล้ว’
หลังจากภาพยนตร์จบลง ทุกคนต่างก็เริ่มปรบมือให้ ลูกชายของเขาขอบคุณทุกคนอย่างขี้อายเล็กน้อย แล้วก็เริ่มเก็บของทุกอย่าง
หัวหน้าหมู่บ้านได้เดินไปเปิดไฟ ก่อนที่เขาจะเห็นโจวหงเข้า
เขาไม่รู้ว่าที่โจวหงมาที่นี่เพื่อต้องการลากโจวหยูกลับไปที่เมืองหรือเปล่า ดังนั้นหัวหน้าหมู่บ้านจึงได้ดึงอีกฝ่ายไปอีกทาง ก่อนที่เขาจะเริ่มสรรเสริญโจวหยูไม่หยุด
“อะไรนะครับ! นี่เป็นอนิเมชั่นที่ลูกชายของผมทำจริงเหรอ?”
โจวหงไม่อยากจะเชื่อเลยกับเรื่องนี้ แต่เดิมเขายังต้องการให้ลูกชายของเขากลับไปทำงานให้กับบริษัทแอนิเมชันในจังหวัด แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะทำหนังอนิเมชั่นออกมาแล้ว ยิ่งกว่านั้นมันเป็นสิ่งที่ดีมากอีกด้วย
หัวหน้าหมู่บ้านเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองลืมบอกโจวหงเกี่ยวกับเกมที่โจวหยูทำ ดังนั้นเขาจึงบอกโจวหงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในไม่กี่วันที่ผ่านมา มันเกือบจะทำให้ใจของโจวหงลัดวงจร
‘เด็กคนนี้ไม่เพียงแต่สร้างแอนิเมชั่นโดยไม่บอกเขาเท่านั้น แต่ยังได้ทำเกมขึ้นมาอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นเขายังทำเงินได้มากมายจากเกมนั้นและใช้เงินที่เขาได้รับเพื่อซื้อสิ่งต่างๆสำหรับเด็กๆในหมู่บ้าน’ ถ้าคิดตามที่หัวหน้าหมู่บ้านบอกเขามา ดูเหมือนว่าเจ้าลูกชายของเขาจะทำเงินได้มากกว่าหนึ่งแสนหยวน
‘เจ้าเด็กคนนี้! ทำไมเขาถึงไม่พูดคุยกับเราเลย! เขาไม่รู้หรือว่าแม่ของเขาเป็นห่วงเขามาก ‘ ความรู้สึกโกรธเริ่มปรากฏภายในตัวโจวหง แต่ในไม่ช้ามันก็ถูกระงับลงไป
แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนเริ่มพูดคุยกับพวกเขาก่อน มันก็มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจยังคงไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้น ท้ายที่สุดการได้งานที่แท้จริงคือสิ่งที่พวกเขาต้องการเห็น
แต่มาตอนนี้เขาจะทำอะไรได้อีก? ลูกชายของเขาได้เลือกเส้นทางของตัวเองแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ใช่เส้นทางที่พวกเขาต้องการให้เดินก็ตาม แต่ยังไงตอนนี้พวกเขาก็สามารถทำได้เพียงเรียนรู้ที่จะยอมรับมันให้ได้เท่านั้น
ในขณะที่โจวหยูเงยหัวขึ้นหลังจากที่เขาเก็บเจ้าเครื่องเล่นหนังโบราณอย่าง “ปีศาจแห่งเงา” เสร็จแล้ว ทันใดนั้นเขาก็เห็นพ่อของเขา เมื่อเห็นว่าพ่อของเขายืนอยู่ในสนาม เขามีความรู้สึกสลับซับซ้อนขึ้นมา