The Rise of Otaku - ตอนที่ 64
บทที่ 64 ครอบครัวพร้อมหน้า
โจวหยูมีจอบมากมายในบ้านของเขา แต่ไม่มีจอบพิเศษอันไหนที่สามารถใช้ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งอุปกรณ์ได้ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะอยากรู้อยากเห็นว่าเมล็ดนี้จะให้อะไร แต่ในตอนนี้มันจำเป็นที่จะต้องถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของเช่นเมล็ดของนักผจญภัยไปก่อน อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่ปัญหาที่จะมีเมล็ดพวกนี้มากขึ้น มันคงจะมีสักวันหนึ่งที่พวกมันจะเติบโตได้ทั้งหมด
ลมหนาวเย็นยะเยือกได้มาอย่างตรงเวลาและในที่สุดวันหยุดฤดูหนาวก็มาถึง หลังจากการสอบปลายภาคที่ยากลำบากในที่สุดพวกเด็กๆก็ได้พบกับวันหยุดที่พวกเขารอมานาน แม้ว่ามันจะไม่นานเท่ากับวันหยุดฤดูร้อน แต่แค่นี้มันก็ทำให้พวกเขาก็คึกคักกว่าวันปกติแล้ว
นั้นทำให้จำนวนผู้คนเพิ่มขึ้นหลายเท่าในบ้านของโจวหยู หากไม่นับคนในหมู่บ้านมินิลู่หัว
ในที่สุดพ่อแม่และปู่ย่าของเขาก็กลับมา และก็เป็นไปตามคาดแม่ของเขาไม่พอใจกับสภาพแวดล้อมทั้งหมดนี้เป็นอย่างมาก ทันทีที่พวกท่านกลับมา พวกเขาก็เริ่มเตรียมทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่อีกครั้งทันที
ส่วนด้านพ่อของเขาไม่มีความคิดเห็นใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะในสายตาของเขาแล้วสภาพนี้มันดีกว่าครั้งที่เขาเห็นครั้งสุดท้ายมาก คุณปู่และย่าเองกำลังยุ่งอยู่กับการไปเยี่ยมชาวบ้านทุกคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างก็คิดถึงเพื่อนบ้านมากขนาดไหน
ไม่ใช้เพียงโจวหยูเท่านั้นที่รู้สึกไม่เคยชินการมีเสียงดังตลอดเวลาแบบนี้ แม้พ่อแม่และปู่ย่าของเขาเองก็ไม่คุ้นเคยกับบ้านหลังนี้เช่นกัน
หลังจากที่พวกเขาไม่ได้กลับบ้านเก่ามาเป็นเวลาหลายปี มันก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นเช่นกัน สถานที่ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือการมีเรือนกระจกเกิดขึ้น และมันก็ยังมีความรู้สึกแปลกๆทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนของเล่นไม้ที่อยู่เต็มไปหมด เครื่องมือแปลกๆ แปลงผักแปลกๆ ผักแปลกๆ และเจ้าเดียนเดียน- ไก่ที่ดูเหมือนม้าศึกมากกว่าไก่จริง ฯลฯ …
นั้นทำให้พวกเขาสามารถทำได้เพียงพยายามปรับตัวให้เข้ากับบ้านหลังเก่านี้ได้เท่านั้น แต่ที่ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นที่บ้านของพวกเขาได้กลายเป็นโรงภาพยนตร์กลางแจ้งเกือบทุกคืน แม้ว่าจะมีการฉายซ้ำภาพยนตร์อนิเมชั่นก่อนหน้านี้ แต่ความดึงดูดต่อพวกเด็กยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
แม้ว่าช่วงเวลานี้มันจะเย็นมากในตอนกลางคืน แต่พวกเด็กๆก็ยังคงมาดูภาพยนตร์ทุกเรื่อง พวกเขามักจะสวมเสื้อผ้าหนาๆและดูหน้าจออย่างเงียบๆในขณะที่หายใจออกมาเป็นไอหมอก
หัวหน้าหมู่บ้านเองก็หยุดหัวเราะออกมาไม่ได้ ขณะที่เขาได้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงของหมู่บ้านและสิ่งที่เด็กน้อยโจวหยูทำให้กับหมู่บ้าน
คุณปู่เป็นคนที่ชอบตกปลาและคุณยายชอบกระถางต้นไม้ ในช่วงเวลานี้พวกท่านรู้สึกพอใจมากกับสิ่งที่หลานชายทำ มีเบ็ดตกปลา 7 หรือ 8 คันในเรือนเครื่องมือ แต่ละคันก็เหมือนของเก่าที่สวยงามและทุกอันก็มีลักษณะของตัวเอง นั้นทำให้ชายชราตกหลุมรักพวกมันมากจนเกือบจะออกไปเล่นกับพวกมันทุกวัน หากไม่ใช่เพราะการตกปลาในฤดูหนาวนั้นเป็นอะไรที่ลำบากมากเกินไป มีความเป็นไปได้ว่าปู่ของเขาจะใช้เวลาทั้งวันอยู่ข้างๆลำธาร
ส่วนคุณยายเองก็มีความสนใจพวกดอกไม้กระถางที่อยู่ในเรือนกระจกเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เธอเองก็ยังได้ปลูกดอกไม้กระถางในเมืองเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับดอกไม้ที่หลานชายของเธอปลูกนั้นกลับเทียบกันไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของดอกไม้กระถางหรือความคิดเชิงศิลปะของพวกมันทั้งหมดต่างก็ถูกเลือกมายังดี
และเมื่อมองไปที่เรือนกระจกเรือนเล็กๆนี้ ด้านในกลับมีการจัดบ้านรูปทรงต่างๆที่กระจัดกระจายอยู่ในนั้นเช่นกัน พวกมันทั้งหมดดูบอบบางมากราวกับว่าพวกมันเป็นบ้านจริงๆ แต่มีขนาดเล็กกว่ามากก็เท่านั้น จากสายตาของเธอมันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำงานดังกล่าวโดยปราศจากความอดทนได้ บางทีนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่หลานชายของเธอต้องการออกมาอยู่ที่นี้ก็เป็นไปได้
ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มันจึงทำให้คู่รักเฒ่าไม่ได้คัดค้านการตัดสินใจที่หลานชายของพวกเขาจะอยู่ที่หมู่บ้านนี้อีกต่อไป เพราะตราบใดที่หลานชายของพวกเขาชอบมัน มันก็ไม่มีความแตกต่างอะไรระหว่างการใช้ชีวิตในหมู่บ้านและการใช้ชีวิตในเมือง ด้วยการสนับสนุนของพวกเขามันจึงทำให้โจวหงและภรรยาของเขาเห็นด้วยเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะยังคงต้องการพาลูกของพวกเขากลับไปอยู่ในเมือง
“เอาละ! เนื่องจากลูกต้องการอยู่ที่นี้ มันก็จำเป็นที่จะต้องปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองทันที ก่อนหน้านี้แม่ได้ยินมาว่าบ้านของลุงฟูได้ทำการสร้างใหม่ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนของลูก แม่จึงคิดว่าลูกเองก็ควรจะขอให้เพื่อนคนนั้นช่วยออกแบบบ้านให้ลูกเช่นกัน “
แม่ของโจวหยูมีชื่อว่าหยางซู่หลัน ช่วงเวลานี้เธอมีความสุขมากเมื่อเธอได้รับรู้วีรกรรมที่ลูกชายของเธอทำในหมู่บ้านนี้ แต่เมื่อเธอได้คิดไปถึงอนาคตของลูกชาย มันก็ทำให้เธอเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา นั้นก็คือการแต่งงานของลูกชายของเธอ มันเป็นเรื่องยากที่จะพบคนหนุ่มสาวสองสามคนในหมู่บ้านในช่วงระยะเวลาหนึ่งปี นับประสาอะไรกับลูกชายเธอที่ไม่ขอบออกจากบ้านกัน เมื่อเธอยิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไหร่มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเป็นกังวลมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นเธอจึงคิดว่าเธอควรจะช่วยเหลือลูกชายของเธอในการนัดบอดผู้หญิงดีไหม? ถ้ามันเป็นการนัดบอดอย่างเป็นทางการมันก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีการพูดถึงภูมิหลังของทั้งสองครอบครัว มันอาจจะเป็นการพูดคุยเรื่องต่างๆ เช่นรายได้การออม รถยนต์ และ บ้าน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่นี่คือโลกแห่งวัตถุและลูกชายของเธอก็มีเงินและรายได้จำนวนมากก่อนหน้านี้ นี้คงจะไม่เป็นปัญหามากนัก แม้ว่าลูกชายของเธอจะไม่ชอบรถยนต์ แต่ถ้าฝ่ายหญิงชอบมันลูกชายของเธอก็ยังสามารถซื้อให้ได้ ดังนั้นสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ในตอนนี้ก็คือที่อยู่อาศัย การที่ต้องพูดว่าลูกชายของเธอได้อาศัยอยู่ในบ้านที่วันหนึ่งอาจถล่มลงมาได้ตลอดเวลา มันอาจจะทำให้ความคิดของอีกฝ่ายที่มีต่อลูกชายของเธอแย่ก็เป็นได้
เมื่อโจวหยูได้ยินที่แม่ของเขาพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็ได้เดินกลับเข้าไปในห้อง ก่อนที่จะนำกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาโชว์ให้แม่ของเขาดู
ทั้งพ่อและแม่ของโจวหยูนั้นเป็นคนที่มีการศึกษาสูง ดังนั้นในแวบแรกพวกเขาก็สามารถบอกได้อย่างง่ายดายว่าการออกแบบที่โจวหยูนำมาให้พวกเขาดูนั้นดีกว่าบ้านของโจวฟูมาก อย่างไรก็ตามมันก็เกิดคำถามในเรื่องของราคาเท่าไหร่ที่จะสามารถสร้างมันขึ้นมาได้?
มีการกล่าวกันว่าโจวฟูได้ใช้เงินหลายแสนหยวนในการสร้างบ้านหลังใหม่ของตัวเอง และนี้ยังไม่ได้นับเรื่องของการตกแต่งภายในด้วยซ้ำ จากตัวเลขเหล่านั้นมีความเป็นไปได้ที่ราคารวมของบ้านหลังนั้นอาจจะมากกว่าล้านหยวนแน่นอน
โจวหงนั้นค่อนข้างพอใจเมื่อเขามองดูการออกแบบบ้านหลังนี้ ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้ว่าค่าใช้จ่ายจะต้องค่อนข้างสูง ดังนั้นเขาจึงพูดว่า ” มันสวยมาก! แต่มันก็คงจะต้องใช้เงินมากเช่นกัน? “
โจวหยูที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ในตอนแรกเรื่องเงินนั้นไม่เป็นปัญหาจริงๆ แต่เมื่อผมคิดจะสร้างบ้านตามแบบนี้เพื่อนของผมก็ได้บอกว่าให้รอไปก่อน เพราะในอนาคตจะเขาจะออกแบบบ้านที่ดีกว่านี้ให้”
ในช่วงเวลานี้กำไรที่ทำโดยเกม “สงครามแห่งพุดดิ้งถั่วเหลือง” เองก็ค่อยๆถูกโอนเข้าบัญชีของเขา ตอนนี้เขามีเงินมากพอที่จะสร้างบ้านตามแบบของช่างไม้บีเวอร์ได้ แต่เนื่องจากการการเพิ่มขึ้นของสมาชิกก่อนหน้านี้อย่างลิงช่างหิน มันจึงทำให้เขาตัดสินใจที่จะไม่รีบเร่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อเห็นว่าลูกชายของพวกเขามีแผนของตัวเอง โจวหงและภรรยาก็ไม่ได้รบเร้าอะไรอีกต่อไป และพวกเขายังได้พูดว่าพวกเขาจะคอยดูการออกแบบที่สวยงามยิ่งกว่าที่เพื่อนของโจวหยูพูดถึง
เป็นเรื่องปกติสำหรับโจวหยูผู้ที่เคยอาศัยอยู่คนเดียวรู้สึกไม่สบายใจเมื่อจำนวนคนในบ้านของตัวเองเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ตอนนี้เขาต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อพูดคุยกับผู้คนในหมู่บ้านมินิลู่หัว เพราะไม่อย่างนั้นมันอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ถ้าพ่อแม่ของเขาเห็นมัน
แต่การที่มีครอบครัวของเขาอยู่ที่นี้มันก็มีประโยชน์เช่นกัน นั้นก็คือเขาสามารถกินอาหารอร่อยๆได้นั้นเอง
แม้ว่าทักษะการทำอาหารของแม่ของเขาจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับพ่อครัวมืออาชีพได้ แต่แค่นั้นมันก็ดีกว่าการทำอาหารของเขาไปมากแล้ว
“แม่! มะเขือเทศไข่กวนที่แม่ทำในวันนี้ดีจริงๆ มันเหมือนทำโดยพ่อครัวมืออาชีพเลย”
มันไม่ใช้สิ่งที่โจวหยูโกหกแต่อย่างใด มันมีรสดีจริงๆ มันทำให้เขาอยากรู้ว่าแม่ของเขาไปเรียนรู้สูตรลับใหม่นี้จากที่ไหน? เพราะนี้มันถือว่าเป็นการปรับปรุงฝีมือครั้งใหญ่จริงๆ
“ลูกก็คิดแบบนั้นเหมือนกันเหรอ? เห็นได้ชัดว่าผักที่ปลูกเองนั้นดีกว่าของที่มีอยู่ในตลาดเสมอ แต่น่าเสียดายที่ปริมาณผักที่ลูกปลูกนั้นมีน้อยเกินไป..เฮ้อ!…โจวน้อย! ถ้าเกิดว่าในอนาคตลูกว่างละก็ ลูกต้องมั่นปลูกผักให้เยอะขึ้นนะ “
เมื่อเช้านี้เมื่อหยางซู่หลันเห็นมะเขือเทศในแปลงผักเกือบจะได้ที่แล้ว เธอก็ได้ตัดสินใจทำอาหารเช้าจากมะเขือเทศเหล่านั้น โดยไม่คาดคิดว่าอาหารจานที่เธอทำจากมะเขือเทศเหล่านั้นจะอร่อยเป็นอย่างมาก ทุกคนในครอบครัวต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามะเขือเทศกวนนี้อร่อย
แต่เมื่อโจวหยูได้ยินสิ่งที่แม่ของตัวเองพูดออกมา มันก็ทำให้เขาต้องรีบวิ่งออกไปตรวจสอบแปลงผักของตัวเองทันที และมันก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ มะเขือเทศในแปลกผักเล็กๆนี้ได้หายไปหมดและนั้นทำให้ลุงกวนเอ๋อถึงกลับเศร้าขึ้นมา
‘อนิจจา! เขาจะพูดอะไรอีก เขาไม่สามารถบอกแม่ได้ว่ามะเขือเทศพวกนี้ใช้ทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์’
สำหรับอุบัติเหตุที่น่าสลดใจนี้ โจวหยูอาจจะพูดได้เพียง ‘ฉันขอโทษนะพวก!’