The Rise of Otaku - ตอนที่ 74
บทที่ 74 วังฟาสต์
การเดินทางไกลในครั้งนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับโอตาคุที่ไม่ได้ออกจากจังหวัดมาสี่หรือห้าปีหลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโจวหยูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะใช้รถไฟใต้ดินยังไง เขาถึงกับไม่รู้วิธีขับรถยนต์ด้วยซ้ำ ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงแต่ต้องนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินเท่านั้น แต่มันก็เกิดปัญหาขึ้นเช่นกันนั้นก็คือเขาไม่เคยแม้แต่จะซื้อตั๋วรถไฟมาก่อน
เพื่อกำหนดระยะทางของแผนที่จุดแรกที่เขาเลือกคือป้ายรถเมล์ จากนั้นเขาก็ไปที่เมืองใกล้เคียงโดยรถเมล์ แต่เมื่อเขาลงจากรถเขาก็เกิดอาการตกใจอย่างสมบูรณ์ เพราะตอนนี้ตรงหน้าของเขานั้นเต็มไปรถยนต์และผู้คนทุกประเภทที่กำลังเคลื่อนไหวไปทุกหนทุกแห่ง และยังเสียงที่น่ารำคาญที่ดังมาไม่รู้จบ หนึ่งในนั้นก็เป็นกลุ่มของพวกป้าๆที่เดินตรงเข้ามาหาเขาพร้อมกับแจกใบปลิวเล็กๆให้เขา หรือไม่ก็ถามเขาว่าต้องการรถยนต์หรือไม่
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นพวกหลอกลวงเท่านั้น ถึงแม้ว่าโจวหยูจะรู้แบบนั้นแต่เขาก็ยังคงให้เงินสองร้อยหยวนกับวพวกเขาเพื่อกำจัดการคุกคามอย่างต่อเนื่องของคนเหล่านี้ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ได้กลับมาเป็นปกติแล้ว เขาก็ได้ก้มดูแผนที่ขนาดเล็กต่อทันทีและเขาพบว่าระยะทางถึงจุดสีแดงนั้นได้สั้นลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเดินทางอีกไกล
‘มุ่งหน้าไปทางเหนืออย่างต่อเนื่อง’
ในห้องจำหน่ายตั๋วของสถานีรถไฟ โจวหยูยืนอยู่ที่นั่นอย่างงงงันไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน เขาได้รอจนกว่าพนักงานขายตั๋วจะเดินเข้ามาพร้อมกับสอนการใช้เจ้าตู้ขายตั๋ว และจากนั้นเขาก็ได้ซื้อตั๋วรถไฟฟ้าใต้ดินไปทางทิศเหนือได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คาดหวังว่าสัตว์จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปบนรถไฟกับเขาด้วย แม้ว่ามันจะเป็นเพียงนกพิราบก็ตาม ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ถามบูบูว่า “เราจะทำยังไงกันต่อไป? นายยังจำทางกลับบ้านได้ไหม? หรือนายจะให้ฉันกลับไปส่งนายกลับบ้านก่อนแล้วค่อยไปทำภารกิจต่อในภายหลัง”
ในความเป็นจริงเขาสามารถจ้างเท็กซี่ได้ แต่เขานั้นเป็นคนที่เมารถยนต์มาก ดังนั้นการนั่งรถเท็กซี่เป็นเวลานานดูเหมือนจะเป็นการทรมานเขามากกว่า อย่างไรก็ตามบูบูกลับตอบกลับว่ามันสามารถบินไปตามเส้นทางรถไฟได้ เห็นได้ชัดว่าความกังวลก่อนหน้านี้ของโจวหยูนั้นเป็นเรื่องไร้สาระด้วยการเป็นนักผจญภัยที่มีประสบการณ์ การเดินทางไกลนั้นถือว่าเป็นเรื่องง่ายเหมือนสำหรับพวกเขา
เนื่องจากบูบูพูดออกมาเช่นนั้น มันก็ทำให้เขาทำได้เพียงเลือกที่จะเชื่อมั่นในมันได้เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงโบกมือลาพวกมันทั้งสองคนก่อนที่จะเดินเข้าไปยังรถไฟฟ้าใต้ดิน
ปรากฎว่าในทุกเมืองโจวหยูสามารถมองเห็นพลเมืองจำนวนมากในโลกของ ACG ได้ พวกเขาต่างก็มีแวดวงสังคมของตนเอง ด้วยที่แวดวงสังคมของพวกเขานั้นจะขึ้นอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงบางส่วน เช่นในร้านอาหารข้างทางก่อนหน้านี้เขาได้เห็นว่าพนักงานน่ารักกำลังยืนรอลูกค้าอยู่ข้างในร้าน นอกจากนี้ยังมีพ่อครัวทำอาหารแปลกๆ อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากเขาแล้วไม่มีใครสามารถเห็นพวกเขาได้
หลายครั้งที่โจวหยูไม่สามารถช่วยได้ แต่ต้องการใช้ทักษะ ‘นักพูดที่แข็งแกร่งที่สุด’ เพื่อลักพาตัวพลเมืองหนึ่งหรือสองคนของโลก ACG ไปยังหมู่บ้านมินิลู่หัวของเขาอย่างลับๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วหมู่บ้านของเขายังต้องการผู้คนทุกประเภท แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาคิดว่าทักษะนี้สามารถใช้ได้เพียงสองครั้งเท่านั้น มันจึงทำให้เขาต้องมีความระมัดระวังในที่สุดในการใช้
ผู้คนในโลก ACG เองก็ตกใจเช่นกันเมื่อพวกเขารู้ว่าโจวหยูสามารถเห็นพวกเขาได้ เนื่องจากนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นใครบางคนจากโลกแห่งความเป็นจริงที่อาจสังเกตเห็นพวกเขา เมื่อเทียบกับผู้คนจากโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว โจวหยูรู้สึกสะดวกสบายในการสื่อสารกับคนเหล่านี้มากมาก ดังนั้นระหว่างทางเขาได้พบกับพลเมืองใหม่ๆของ ACG โลก
โดยเฉพาะบนรถไฟฟ้าใต้ดินแห่งนี้เองก็มีคนตัวจิ๋วหลายประเภท หลายคนต่างก็กำลังยกย่องสรรเสริญภูมิปัญญาของผู้คนจากโลกแห่งความเป็นจริงอย่างต่อเนื่อง และพวกเขาต่างก็ประหลาดใจที่ผู้คนจากโลกแห่งความจริงสามารถประดิษฐ์เครื่องมือการขนส่งที่รวดเร็วเช่นนี้ได้ อย่างไรก็ตามเมื่อโจวหยูได้มองออกไปนอกหน้าต่างเขาก็เห็นพวกเรือบินของโลก ACG ที่กำลังบินไปในอากาศ ดังนั้นเขาจึงไม่ทราบว่าเป็นฝ่ายใดกันแน่ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงมากกว่ากัน
นอกจากนี้ยังมีพนักงานเสิร์ฟบนรถไฟด้วย พวกเขาต่างก็กำลังขายอาหารของโลก ACG โดยที่พวกมันได้ถูกว่างอยู่บนรถเข็นที่ถูกผลักจากผู้ดูแลรถไฟจริง โชคดีที่เจ้าบูบูไม่อยู่ที่นี้ด้วยไม่อย่างนั้นมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะถูกมันขอให้ซื้อของว่างมากมายอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีนักแสดงบางคนที่อาศัยอยู่บนรถไฟทำการแสดงมายากลและการเล่นปาหี่มากมาย ดังนั้นการเดินทางตลอดทางในครั้งนี้จึงไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด
‘เฮ้อ! เมื่อไหร่หมู่บ้านมินิลั่วหัวของฉันจะเริ่มคึกคักเหมือนตอนนี้บ้างนะ?”
หลังจากที่จุดสีแดงแตะจุดสีเขียวแล้ว แผนที่ก็ได้เริ่มซูมเข้าและแสดงข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติม โจวหยูยังสามารถเห็นรูปแบบของถนนซึ่งทำให้เขาทำภารกิจได้ง่ายขึ้น จากนั้นเขาก็เดินสุ่มไปตามทางจนพบเข้ากับร้านอาหารและโรงแรมที่จะนอนหลับในคืนนี้
เช้าวันรุ่งขึ้นบูบูและเจ้าเซอร์แบลร์ก็ได้รออยู่ที่นอกหน้าต่างแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่
หลังจากทำความสะอาดตัวเองแล้ว มันก็ถึงเวลาทำภารกิจการค้นหาอย่างเป็นทางการ
การมีนกพิราบบนบ่าของตัวเองเมื่อเดินบนถนนที่จอแจก็กลายเป็นอะไรที่สะดุดตาอย่างมาก แต่ถ้าหากเปลี่ยนเป็นชายแก่ที่ถือกรงนกก็คงเป็นเรื่องปกติ แต่ชายหนุ่มที่มีนกพิราบนั้นถือว่าเป็นอะไรที่แปลกสำหรับคนเดินไปเดินมา? นอกจากนี้ถนนสายนี้ไม่ใช่สวนสาธารณะ มันไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมในการเดินเล่นของพวกนก
ไม่ใช่ว่าโจวหยูต้องการมาที่ถนนที่แออัดแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่าวังฟาสต์จะอยู่ที่นี้ แต่เมื่อคิดไปถึงคำอธิบายเอาไว้ในภารกิจก่อนหน้านี้ที่มันได้ระบุบว่ามันเป็นป่าที่อันตราย เขาก็คิดว่ามันเป็นป่าจริงๆเสียอีก แต่เขาไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นพื้นที่แออับแบบนี้
เห็นได้ชัดว่าถนนสายเล็กๆของหมู่บ้านลู่หัวนั้นไม่สามารถเทียบกับที่นี้ได้ การไหลเวียนของผู้คนที่นี่มีมากกว่าหลายร้อยเท่า และร้านค้าที่นี่ก็งดงามกว่ามาก อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าโจวหยูจะเคยเป็นคนในเมือง แต่เขาก็ไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อร้านค้าเหล่านั้นมากนัก ในทางตรงกันข้ามเขาชอบร้านสะดวกซื้อเล็กๆของยายกิฮัวซึ่งตั้งอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านลู่หัวอีกกว่า
หลังจากเดินเข้าใกล้มากขึ้น มันก็ปรากฏตัวร้านอาหารตะวันตกระดับสูงขึ้นมา โจวหยูไม่ได้มีอคติเกี่ยวกับอาหารมากนัก ไม่ว่าจะเป็นอาหารจีนหรือตะวันตกเขาก็สามารถกินมันได้ทั้งคู่ มันเป็นเพียงว่าเขาไม่ชอบบรรยากาศของร้านอาหารระดับสูงก็เท่านั้น เขารู้สึกเหมือนคนที่กินที่นี่มักจะต้องการอวดรวยกันไปมา มันเป็นอะไรที่เขาไม่ต้องการเห็น
แต่สำหรับศิลปินมังงะที่ดีที่สุด เขาสามารถอดทนได้เท่านั้น
เพลงที่ไพรเราะ สภาพแวดล้อมที่ดี แต่มันก็ไม่ได้ทำให้โจวหยูรู้สึกดีมากมายนัก แต่เป็นบูบูที่ให้ความสนใจในสภาพแวดล้อมแบบนี้มาก อาจเป็นเพราะการตกแต่งสไตล์แฟนตาซีตะวันตก แต่น่าเสียดายที่มันไม่สามารถกินอาหารของโลกแห่งความจริงได้ ดังนั้นมันจึงทำได้เพียงมองดูเท่านั้น
บริกรไม่ได้ปฏิเสธการเข้ามาของโจวหยู เดิมทีเขายังกลัวว่าอีกฝ่ายจะบอกว่าไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้ามา ยิ่งไปกว่านั้นเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่เองก็ถือว่าเป็นของราคาถูก ทุกคนสามารถบอกได้อย่างง่ายดายเพียงแค่มองครั้งเดียว แต่บริกรก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น พวกเขายังคงให้บริการทุกประเภทแก่โจวหยูตามปกติ ดูเหมือนทรอปิคอลที่คอยตบหน้าแบบคลาสสิกที่มีอยู่ในนวนิยายบนเว็บจะไม่ปรากฏที่นี่
สภาพแวดล้อมดี บริการดี แต่โจวหยูก็ยังคงไม่ชอบสถานที่แบบนี้ โชคดีที่เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อทานอาหาร ดังนั้นเขาจึงสั่งอาหารบางอย่างแบบสุ่ม ในขณะที่กำลังรออาหารของตัวเองมาถึงนั้น ดวงตาของเขาก็ได้จ้องมองไปที่ชายร่างเล็กคนหนึ่ง นั้นก็คือ – ศิลปินมังงะชั้นนำที่ชื่อว่า : วังฟาสต์
เมื่อทำการสรรหาศิลปินมักจะแสดงเฉพาะข้อมูลหรือเทคนิคพิเศษของพวกเขาเท่านั้น หากชื่อปรากฏขึ้นแสดงว่าศิลปินไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน มันเป็นเพียงว่าผู้ชายคนนี้ดูเหมือนลุงแปลกๆ เขามีเคราแพะที่มีสไตล์จีนโบราณและชุดที่คล้ายกับเสื้อผ้าจีนโบราณ
การแต่งตัวนั้นถือว่าเป็นคนจีนเต็มตัว แต่อีกฝ่ายกลับมากินในร้านอาหารตะวันตก มันดูเป็นอะไรที่แตกต่างกันมาก มีโต๊ะเล็กๆวางอยู่บนโต๊ะในโลกแห่งความเป็นจริง ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขนาดเล็กและกินกับข้าวเล็กๆ เขาส่ายหัวไปขณะสูดดมกลิ่นของอาหารตะวันตกบนโต๊ะถัดไป ทำให้โจวหยูสงสัยว่าทำไมเขาถึงส่ายหัว หรืออาจจะเป็นเพราะเขาผิดหวังที่เขาไม่สามารถกินอาหารตะวันตก หรือเป็นเพราะว่าเขาไม่ชอบอาหารตะวันตกกัน?
เจ้าของร้านอาหารตะวันตกในโลก ACG นั้นเป็นคนอ้วน และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเคารพวังฟาสต์มากเช่นกัน เพราะแทนที่พนักงานจะเป็นคนนำอาหารมาเสิร์ฟด้วยตัวเอง กลับเป็นตัวเขาเองที่เดินมาเสิร์ฟเป็นการส่วนตัว
“วังฟาสต์ วีรบุรุษผู้กล้าหาญ มันไม่สำคัญว่าคุณจะพบสัตว์ร้ายหรือไม? คุณสามารถอยู่ในร้านค้าเล็กๆนี้ได้นานเท่าที่คุณต้องการ”
‘อึศักดิ์สิทธิ์! นั้นใช้วังฟาสต์จริงใช้ไหม? ทำไมเขาถึงได้รับอาหารฟรีและที่พักฟรีที่นี่กัน? ‘
‘ฉันละอิจฉาเขาจริงๆ’