The Rise of Otaku - ตอนที่ 101
บทที่ 101 ผักแปลก ๆ
สมาคมสหกรณ์ในชนบทและกระท่อมของเกษตรกรมีราคาเท่ากัน แต่อย่างแรกสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการทํางานได้สองเท่าทําที่ใช้เกษตรกรเพียงแค่ห้าคนเท่านั้น ถ้าโจวหยูใช้วิธีนี้มันจะสามารถลดค่าใช้จ่ายลงครึ่งหนึ่งโดยตรง ด้วยอาคารนี้เขาจําเป็นที่จะต้องมีกระท่อมของเกษตรกรเพียง 15 แห่งเท่านั้นที่จะดูแลฟาร์มขนาดเล็กทั้งหมดได้ ด้วยวิธีนี้เหรียญโมที่เขามีก็จะเพียงพอ
‘เฮ้อ! เขาต้องยอมรับชะตากรรมที่ว่าเหรียญโมที่ตัวเองมีนั้นมักจะไม่เพียงพอเสมอ แต่สิ่งที่น่ารังเกียจกว่าการที่เขามีเหรียญโมไม่เพียงพอคือเขาไม่มีช่องทางที่สามารถใช้เงินในโลกแห่งความจริง เปลี่ยนไปเป็นเงินในโลกของACG’
เป็นงชั่วข้ามคืนก็มีกระท่อมเกษตรกรหลังใหม่ถึง 13 แห่งปรากฏในฟาร์มขนาดเล็ก และยังมีสมาคมสหกรณ์ชนบทสามแห่งที่ได้ออกแบบให้กลิ่นอายของประวัติศาสตร์จีนขึ้นมา3กลุ่ม
เทียนเนียงเป็นชาวนาอาวุโสที่สุด ดังนั้นเธอจึงได้รับการเลื่อนตําแหน่งให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม 1 ตอนนี้เธอมีลูกน้องชาวไร่ที่เป็นผู้หญิงสี่คน ลุงกวนเออร์เป็นหัวหน้ากลุ่ม 2 และตอนนี้เขามีลูกน้องเกษตรกรสี่คน และหัวหน้ากลุ่มที่สามเป็นชาวนาผู้โชคดี เพราะเขาถูกโจวหยูอัพเลเวลให้มากถึง 3 ดาวทันทีเมื่อกระท่อมของเขาถูกสร้างขึ้น ชาวนาคนนี้ชื่อบราวนิ่ง เหมือนกับกลุ่มอื่นๆเขาเองก็มีลูกน้องชาวนาสี่คนเช่นกัน โจว หยูค่อนข้างแปลกใจมากเมื่อเขาค้นพบว่ามีเกษตรกรในโลก ACG มากขนาดนี้
‘อืม? … ตอนนี้สมาชิกในหมู่บ้านมินิลู่หัวของฉันก็มีกลุ่มเกษตรกรถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดนะ สิแบบนี้?’
เช้าวันนี้อาจเป็นวันที่ขยันขันแข็งที่สุดของโจวหยูในรอบสามเดือนก็ว่า ในที่สุดหลังจากที่เขาวางกระท่อมของชาวนาทั้งหมดและแบ่งพื้นที่อย่างชัดเจน ตัวของสมาคมสหกรณ์ในชนบทเองก็ได้ เปิดทําการเช่นกัน
ดังนั้นในตอนนี้เขาก็ทําเพียงแค่ต้องรอผักแสนอร่อยที่จะได้ออกมาเท่านั้น
สําหรับกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นจะพวกชาวนาและชาวสวนนั้น คนในโลกแห่งความจริงไม่สามารถมองเห็นได้นอกจากโจวหยู นั้นจึงทําให้ทุกคนที่ผ่านทางไปมาต่างก็คิดว่าพวกนี้เป็นงานอดิเรกแปลกๆอีกอย่างหนึ่งของเจ้านายตัวเอง
บางที่โจวหยูอาจจะเดาความคิดของพวกลูกน้องออกมา วันต่อมาเขาก็เลิกที่จะดูแลฟาร์มเล็กที่เขาลงมือทําเมื่อวานนี้ไป และค่อยๆกลับมาเป็นตัวของตัวเองตามเดิม
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเมื่อมีคนต้องการช่วยโจวหยุดูแลพวกผักเหล่านั้นอีกฝ่ายจะถูกปฏิเสธกลับออกไปทันที โดยที่โจวหยูให้บอกเพียงว่าเขาจะดูแลพวกมันเป็นการส่วนตัว ถ้าผักทั้งหมดตายไปก็เพียงปล่อยมันให้เป็นแบบนั้นไม่ต้องทําอะไร
คุณปู่หูผู้ที่มีจิตใจดีเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าโจวหยูได้ปลูกผักจํานวนมาก เขาก็ได้เสนอตัวเองเพื่อที่จะมาช่วยเหลืออีกฝ่ายดูแลพวกมัน เพราะเขาไม่ต้องการให้ผักจํานวนมากขนาดนี้ตายไป แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือผักทั้งหมดที่โจวหยูปลูกเอาไว้นั้นกลับรอดชีวิตมาได้ และพวกมันก็มีอัตราเติบโตที่ดีมากอีกด้วย มันดีกว่าผักที่เขาดูแลด้วยตัวเองด้วยซ้ํา
มันแปลกมากๆ เพราะเขารู้แน่นอนว่าทุกครั้งเวลาที่โจวหยูใช้เวลาไปกลับพวกมันนั้น อีกฝ่ายใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขนาดเพียงแค่การรดน้ําอีกฝ่ายยังไม่เคยทําด้วยซ้ํา
เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมันก็ทําให้มุมมองพื้นฐานทั้งหมดของคุณปู่หูได้แตกสลายไปเกือบหมดแล้ว และนั้นทําให้เขาได้มาที่ฟาร์มเล็กๆของโจวหยูบ่อยขึ้น อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทําไมพวกผักพวกนั้นถึงเติบโตได้ดีแบบนี้? จนในที่สุดเขาคิดว่าเด็กโจวหยูอาจจะใช้วิธีลับอะไร บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เป็นไปได้
ในขณะนี้ผักที่ปลูกในฟาร์มขนาดเล็กพวกนี้ก็สามารถนํามากินได้แล้ว นั้นทําให้โจว หยู จําเป็นต้องสร้างห้องอาหารเล็กสําหรับพนักงานในสวนสนุกขึ้นมา เขายังไม่ลืมที่จะจ้างพ่อครัวในท้องถิ่น มาเป็นเซฟประจําห้องครัวอีกด้วย ถึงแม้ว่าฝีมือการทําอาหารของเขาจะไม่แย่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่เมื่อนํามาเทียบกับพ่อครัวมืออาชีพมันก็ยังคงห่างไกลกันอีกมากอยู่ดี
ถึงเขาจะทําตัวเขื่อยๆไปวันๆ แต่เขาก็ยังคงเป็นหัวหน้าของสวนสนุกแห่งนี้ ดังนั้นเพื่อเสริมส วัสดีการของเหล่าลูกน้องให้ดีมากขึ้น เขาก็ยังต้องทําเรื่องพวกนี้อยู่ดี ดังนั้นทุกครั้งที่เขาได้เข้าไปยังฟาร์มผักของตัวเองนั้น เขาก็มักจะเลือกผักที่โตแล้วมาจําหนึ่งและขอให้พ่อครัวอ้วนทําอาหาร ด้วยผักเหล่านั้นให้เขา
เมื่อเทียบรสชาติจานที่ทําด้วยเซฟมืออาชีพกับตัวเองแล้ว เห็นได้ชัดว่าอาหารจานนี้อร่อยกว่ามากและการนั่งอยู่คนเดียวบนชั้นสองใกล้หน้าต่างเองเขาก็สามารถเพลิดเพลินไปกับสายลมเย็นๆ และทิวทัศน์ของบ่อปลาในขณะที่กินอาหารอร่อย มันดีกว่าการกินมาม่าหน้าคอมพิวเตอร์เป็นไหนๆ
ห้องอาหารขนาดเล็กสําหรับพนักงานนี้ถูกสร้างขึ้นในสไตล์ย้อนยุค มันเป็นเหมือนร้านอาหารเล็กๆในสมัยโบราณ พนักงานส่วนใหญ่มักพูดติดตลกว่าไม่มีใครสามารถเพลิดเพลินกับอาหารเมื่อรับประทานในอาคารที่สวยงามแห่งนี้ ชั้นสองนั้นกลับสวยงามกว่ามาก แต่มันน่าเสียดายที่ห้องอาหารแห่งนี้ไม่มีนักดนตรีมาเล่นเครื่องดนตรีหรือนักร้องร้องเพลงไม่อย่างนั้นมันคงทําให้พวกเขา ที่มากินอาหารที่นี้ต้องได้สัมผัสถึงความรู้ของจีนโบราณ
การกินดื่ม และนอนหลับ ปัญหาทั้งหมดสามารถแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์แบบในสวนสนุกแห่งนี้ นั้นจึงทําให้โจวหยูนั้น ไม่เต็มใจที่จะออกจากสวรรค์เล็กๆแห่งนี้ไป
อย่างไรก็ตามโจวฟูไม่ได้เป็นอิสระเหมือนโจวหยู ในฐานะตัวแทนผู้มีอํานาจเต็มของโจวหยู เขาไปที่เมืองใหญ่กับหลิงกูเสี่ยวและได้เห็นว่ามีคนจํานวนมากขนาดไหนที่กลายเป็นแฟนตัวยงของภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องนี้ แต่เมื่อเขากลับมาที่สวนสนุกและพบกับการเปลี่ยนแปลงไปของมัน มันกลับทําให้เขารู้สึกทั้งตกใจและแปลกใจมากกว่า
“เด็กน้อยโจว! ในที่สุดฉันก็พบเธอ! เธอคิดว่าจะซ่อนตัวจากฉันได้เหรอไง?”
คนเดียวที่กล้าขึ้นไปบนชั้นสองของห้องอาหารแห่งนี้แบบไม่ได้รับอนุญาตนั้นนอกจากลุงฟู แล้วไม่มีใครกล้า อีกฝ่ายได้ออกจากหมู่บ้านเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน เห็นได้ชัดว่าการกระนี้ของลุงฟูนั้นเป็นอะไรที่หนักมากจริงๆ
อย่างไรก็ตามด้วยผิวที่เปล่งปลั่งและใบหน้าที่เบ่งบานของเจ้าตัวนั้น มันดูไม่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะเหนื่อยแต่อย่างใด
หลังจากนั้นโจวฟูก็นั่งลงพร้อมกับหยิบชามข้าวและตะเกียบจากพ่อครัวอ้วน ขณะที่เขาพูดถึงสิ่งที่เขาเห็นและได้ยินในช่วงเดือนนี้ขณะที่กินอาหารไปด้วย
จากนั้นปัญหาก็ตามมา
“โอ้! ฉันไม่เจอเชฟลีในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทักษะการทําอาหารของคุณพัฒนาขึ้นอย่างมากเลยนะ!”
อย่างน้อยเดือนที่แล้วตอนที่เขากินอาหารของเชฟลี เขาคิดว่าตัวเองกําลังกินอาหารของพ่อค้าริมถนน แต่มาตอนนี้เขารู้สึกว่าเขากําลังกินอยู่ในร้านอาหารมีระดับ มันช่างเป็นอะไรที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เมื่อพูดถึงปัญหานี้เชฟลี่เองก็เกิดความสงสัยหลายครั้งเช่นกัน ทําไมอาหารที่เขาทําเพื่อเจ้านายตัวน้อยคนนี้ถึงได้กลิ่นดีทุกครั้ง เขาเองก็ได้ลองชิมบางส่วนของพวกมันอย่างลับๆ และพบว่า พวกมันนั้นอร่อยกว่าอาหารที่เขาปรุงออกมาขายเมื่อก่อนไปมาก ตอนแรกเขาคิดว่าในที่สุดเขาก็มีฝีมือการทําอาหารเพิ่มขึ้น
แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พบคําตอบ มันไม่ใช้ว่าฝีมืออาหารของเขานั้นดีขึ้นหรืออะไร แต่มันเป็นเพราะผักที่เจ้านายตัวน้อยนมาให้เขาต่างหากที่ทําให้อาหารออกมาอร่อยแบบนี้
“ ผู้จัดการฟูหยุดล้อเล่นกับผมเถอะครับ ที่มันอร่อยแบบนี้ก็เพราะผักที่เจ้านายนํามาต่างหากครับ มันไม่ใช้ฝีมือผมอะไรเลย”
พนักงานของสวนสาธารณะทุกคนเรียกโจวหยูว่าเจ้านายน้อยตั้งแต่ในตอนแรก แต่โจวหยูรู้สึกอึดอัดใจมากเมื่อพวกเขาเรียกตัวเองแบบนั้น เพราะถึงยังไงพวกเขาทั้งหมดก็มาจากหมู่บ้านเดียวกัน ในความคิดของเขามันไม่จําเป็นที่คนเหล่านั้นจะต้องเรียกเขาแบบนั้น แต่ยังไงก็ตามพนักงานทุกคนก็ได้ยืนยันที่จะเรียกโจวหยูว่า เจ้านายตัวน้อยต่อไป
หลังจากที่โจวฟูชิมอาหารแต่ละจานจากโต๊ะและจากนั้นก็ลงไปชั้นล่างเพื่อลองอาหารอื่นๆ เขาพบว่ามันแตกต่างกันอย่างที่เชฟลีพูดเอาไว้จริงๆ
“ดังนั้น…อาหารทุกจานที่เด็กโจวกินนั้นก็เป็นผักที่ฟาร์มของตัวเอง หรือว่าลุงหูจะมีวิธีปลูกผักดีขึ้นกัน? ”
แม้ว่าโจวฟูไม่ได้ทํางานในไร่เป็นเวลาหลายปี แต่เขาก็ยังรู้ว่าโจวหยู่ไม่รู้จักวิธีการทําฟาร์มอย่างแน่นอน และยิ่งเขาได้เคยเห็นมาก่อนว่าอีกฝ่ายทํายังไงกับผักแปลงเล็กๆในบ้านเก่าก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะสามารถดูแลผักจํานวนมากขนาดนี้ได้
อย่างไรก็ตามความจริงก็เป็นอะไรที่โหดร้ายอย่างมาก เมื่อเขามาถึงที่ฟาร์มเล็กๆของโจวหยู เขาได้เห็นผักที่มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งหมด และเมื่อเขาได้ฟังมาว่าฟาร์มแห่งนี้ไม่ได้รับดูแลจากปูหู แต่อย่างใด มันก็ยิ่งทําให้เขาซึ่งมากขึ้นเท่านั้น
“ นี่มันแปลกมาก! มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ต้องคอยดูแลพวกมัน แต่ทําไมผักที่เด็กน้อยโจว ปลูกมันถึงเติบโตมาอย่างแข็งแรงแบบนี้ได้กัน?”
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งประหลาดใจกับสิ่งที่เขาเห็น แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เพราะยังไงเขาก็รู้ว่าถึงเขาจะไปถามคนทํา โจวหยูก็ไม่บอกเรื่องนี้กับเขา ดังนั้นเขาจึงทําเพียงรู้สึกแปลกใจก่อนที่จะชินไปกับมันเท่านั้น
สําหรับอาหารแสนอร่อยเหล่านี้ เขาสามารถขอให้โจวหยูนพวกมันมาให้เขาได้ตลอดเวลา เพราะท้ายที่สุดเขายังเป็นผู้จัดการของสวนสนุกแห่งนี้