The Rise of Otaku - ตอนที่ 28
ตอนที่ 28 ภารกิจต่อเนื่อง
โจวหยูได้ย้อนกลับไปที่ร้านสะดวกซื้อเล็กๆนั้นอีกครั้ง โดยที่เมื่อเขาเข้าไปยังร้านเขาก็พบว่าตอนนี้พวกนักเลงตัวเล็กๆเหล่านั้นกำลังคุกเข่าพร้อมกับจะร้องไห้ได้ตลอดเวลา และมีหยางกู่ที่ทำท่าทางจริงจังขณะที่เขากำลังอบรมเหล่าอันธพาลอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าเจ้าตัวต้องการใช้พลังของการพูดไม่หยุดนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงพวกนั้น
โจวหยูนั้นต้องการที่จะจากไปโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามหยางกู่ไม่เห็นด้วย เขาให้เหตุผลว่าก่อนที่เขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงเหล่าอันธพาลนี้ได้ เขาไม่ต้องการจากไป ดังนั้นหลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็ได้หันไปอบรมเหล่าอันธพาลเหล่านั้นต่อทันที
เมื่อโจวหยูได้ฟังแบบนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เขาจำใจที่จะต้องออกไปนอกร้านและรอได้เท่านั้น ระหว่างที่เขากำลังรอให้หยางกู่เสร็จสิ้นภารกิจอยู่นั้น กลุ่มอันธพาลในโลกแห่งความจริงก็ได้กลับมาที่ร้านอีกครั้ง
แต่เมื่อพวกนั้นเห็นชายหนุ่มคนนั้นได้กลับมารอยังที่เดิมอีกครั้ง หัวหน้าของอันธพาลก็ถึงกับแสดงสีหน้าที่บิดเบี้ยวออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“ แม่* มันยังไม่ไปอีกเหรอวะ?…”
อย่างไรก็ตามถึงแม้พวกเขาจะโมโหเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็เลือกที่จะไม่สนใจมัน หลังจากที่พวกเขาได้รับความพ่ายแพ้มาแล้วถึงสองครั้ง มันคงเป็นเรื่องตลกถ้าพวกเขายังไปท้าทายอีกฝ่าย ดังนั้นพวกเขาจึงเลิกที่จะไม่สนใจโจวหยูอีกต่อไป
‘เอ่อ…ฉันเดาว่านี่ถือว่าเป็นชัยชนะด้วยใช้ไหม? อืม! … แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ‘
ในที่สุดหยางกู่ก็จบการบรรยายการเป็นคนดี และนั้นทำให้อันธพาลตัวเล็กๆเหล่านั้นไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยเฉดสีดำเข้มอีกต่อไป แต่มันกลับมีสายรุ้งอยู่รอบตัวแทน มันราวกับว่าพวกเขาได้บริสุทธิ์ขึ้น
‘ถ้าผู้คนในโลกแห่งความจริงนั้นเรียบง่ายเหมือนกับพลเมืองของโลก ACG ได้ก็คงดี’… อย่างไรก็ตามโจวหยูไม่คิดว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนพวกอันธพาลในโลกแห่งความจริงได้เพียงแค่พูดกับพวกเขาเป็นเวลานาน
เพราะยังไงทุกคนก็มีวิถีชีวิตของตนเอง เขาไม่สามารถบังคับพวกเขาได้
‘เอาละ! ตอนนี้เขาควรใช้โอกาสที่พวกอันธพาลในโลกแห่งความจริงเหล่านี้ยังไม่ฟื้นพลังดี รีบออกจากที่นี้โดยเร็วที่สุด และเขาสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าเขาจะไม่กลับมาเหยียบที่นี้อีก’
เมื่อได้มอบตุ๊กตาหมีคืนให้แก่โลลิเสี่ยวฮัว ฮีโร่อย่างหยางกู่ก็ได้รับของรางวัลเป็นการจูบหนึ่งครั้งทันที แต่สำหรับโจวหยูที่เป็นเพียงรถม้ากับแย่เป็นอย่างมาก เพราะเขานั้นไม่ได้รับอะไรเลย
“หยางกู่! ภารกิจของนายเสร็จแล้วใช้ไหม? งั้นเรากลับบ้านกันเถอะ!”
หลังจากถูกวิ่งไล่ไปรอบๆหมู่บ้านถึงสองครั้ง โจวหยูก็รู้สึกแย่มากพอแล้วและยิ่งตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาออกมาจากบ้านนานไปแล้ว มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจยังไงไม่รู้
‘ตอนนี้เขาแค่อยากกลับบ้านเพื่ออาบน้ำอุ่น และเล่นกับคอมพิวเตอร์เท่านั้น’
“ พ่อ! พ่อหมายความว่าอะไร? เมื่อกี้เสี่ยวฮัวได้กล่าวว่ายังคงมีกลุ่มโจรที่นอกหมู่บ้านอีก เธอยังได้ขอให้เราช่วยเธอกำจัดกลุ่มเหล่านั้น เราจะรีบกลับได้ยังไง?”
‘แม่*! มันเป็นภารกิจต่อเนื่อง’ โจวหยูไม่สามารถห้ามหารสถบในครั้งนี้ และเมื่อเขารู้ว่าสถานที่ต่อไปที่เขาจะต้องไปทำนั้นคือภูเขาที่อยู่หลังหมู่บ้าน มันก็ยิ่งทำให้เขายากกลับบ้านมากขึ้น เพราะเมื่อเขาได้เห็นภูเขาที่สูงตระหง่าน สามารถมองเห็นได้ชัดเจน และเมื่อเขาเห็นหอโทรศัพท์มือถือที่ด้านบนของภูเขาเป็นเหมือนสายฟ้าผ่าขนาดใหญ่นั้น เขาก็รู้สึกว่าขาทั้งสองของเขาสั่นไปหมด
“ นายพอบอกได้ไหมว่า พวกอันธพาลที่เราต้องไปจัดการนั้นอยู่ตรงสวนไหนของถูเขา?” โจวหยูได้ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ เขาหวังว่าหยางกู่จะบอกว่าพวกนั้นอยู่ที่ด้านล่างของภูเขา
อย่างไรก็ตามความหวังของเขาก็ได้พังลงเมื่อหยางกู่ไม่ได้พูดอะไรเลยกลับกันเขาทำเพียงชี้ไปที่ยอดเขาอย่างเก๋ไก๋เท่านั้น
‘พระเจ้า…’ โจวหยูเกือบร้องไห้ทันทีที่เห็นแบบนี้ เขาเพิ่งถูกไล่ล่าโดยกลุ่มอันธพาลและตอนนี้เขากลับต้องมาปีนภูเขาอีกครั้ง และจากการคาดคะเนของเขาภูเขาลูกนี้จะต้องสูงอย่างน้อยแปดร้อยเมตร แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นภูเขาที่ใหญ่มาก แต่สำหรับโอตาคุอย่างโจวหยูที่มีรางกายติดลบนั้น แค่นี้เขาก็รู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ในนรกแล้ว
เส้นทางเดินขึ้นไปบนภูเขานี้เองมีทางเล็กๆมากมาย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าเดินตามทางพวกนี้ไปแล้วเขาจะไปโผล่ที่ไหน
ดังนั้นเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะตามมา เขาจึงเลือกที่จะเดินไปตามถนนสายหลักและมุ่งหน้าไปจนถึงยอดเขาทันที อย่างไรก็ตามเมื่อเขาสอบถามคนที่ผ่านไปผ่านมาแล้ว ก็พบว่าเขาต้องใช้เวลาเดินขึ้นไปยังด้านบนอย่างน้อย 3 ถึง 4 ชั่วโมงเลยที่เดียว
แต่สำหรับผู้กำกับอนิเมชั่นในอนาคต! เขาต้องทำมันให้สำเร็จให้ได้
หลังจากไปที่ร้านอาหารเล็กๆใกล้ๆกับภูเขาเพื่อเติมพลังแล้ว เขาและหยางกู่ก็ได้เดินทางไปยังภูเขาที่อยู่ด้านหลังทันที…
เพราะก่อนหน้านี้เขาได้เอาชนะพวกนักนักเลงมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงมีความเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของร่างกายตัวเอง แต่แล้วเมื่อเขาได้เดินขึ้นภูเขาจริงๆ มันกับทำให้ความเชื่อมั่นก่อนหน้านั้นของเขาพังลงทันที
ประมาณครึ่งทางผ่านของเส้นทางทั้งหมด โจวหยูเริ่มมีความรู้สึกเวียนหัวและขาของเขาเองก็เริ่มที่จะล้าแล้ว ในตอนนี้ เขาต้องการนั่งที่สุด แต่เมื่อเขาได้หันไปมองยังหยางกู่ที่นั่งอยู่บนไหล่ของเขาพร้อมกับร้องเพลงไปด้วยนั้น มันก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย
‘ฉันกำลังทำสิ่งนี้เพื่ออนาคตของนาย! แต่นายกับมีอารมณ์มาร้องเพลงสบายใจแบบนี้! ฉันขอให้นายกัดลิ้นของตัวเองระหว่างร้อง … ‘
ว่ากันว่าเมื่อคุณปีนภูเขาที่ไหน มันจะเป็นการดีกว่าที่คุณจะไม่พักผ่อนระหว่างทาง แต่เห็นได้ชัดว่าโจวหยูไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก สำหรับเขาแล้วเมื่อเขาต้องการจะพักเขาก็จะหยุดทันที ถ้าเขาเดินไม่ได้เพราะเหนื่อยเขาก็จะหยุดพักทันทีเช่นกัน ดังนั้นจึงทำให้ตอนนี้เขาจึงค่อยๆขยับทีละนิ้วไปยังยอดเขา
ตลอดการเดินทางเขาสามารถเห็นรถยนต์บางคันที่วิ่งผ่านไป แต่ไม่มีรถคันไหนที่จะหยุดรถและชวนให้เขาไปด้วย จนกระทั่งเมื่อครู่นี้เขาก็เพิ่งรู้ว่าเขาสามารถจ้างรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างที่อยู่ด้านล่างของภูเขาได้ ซึ่งนั้นมันจะทำให้การเดินทางนี้ง่ายขึ้นมาก
ห้าโมงเย็นในวันนั้น ในที่สุดเขาก็ขึ้นไปถึงบนยอดเขาสำเร็จ ทันทีที่เขาขึ้นไปถึงจุดสูงสุดเขาก็ล้มลงทันที และไม่มีวี่แววว่าเขาจะลุกขึ้นเร็วๆนี้ ในตอนนี้เขาไม่มีพลังงานมากพอที่จะทำสิ่งต่างๆ เช่น การตะโกนเสียงดังที่ด้านบนของภูเขา หรือการเพลิดเพลินกับวิวสวยๆข้างบนนี้
ทางด้านของหยางกู่เองเมื่อมันเห็นว่าตัวเองขึ้นมาบนเขาสำเร็จแล้ว มันก็ได้ตรงไปยังที่อยู่ของเหล่าอันธพาลพวกนั้นทันที
ใช้เวลาไม่นานก่อนที่หยางกู่จะเจอพวกอันธพาลที่โชคร้ายเหล่านั้น ฉากนี้เองก็ไม่ได้แตกต่างจากร้านสะดวกซื้อด้านล่างเลย มันก็เป็นอะไรง่ายๆคือ เมื่อหยางกู่เห็นพวกอันธพาลพวกนั้น เขาก็ได้ตรงเข้าไปจัดการทันที พร้อมกับพูดอบรมพวกมันตลอดเวลา
อย่างไรก็ตามในขณะเดียวกันวิศวกรที่กำลังดูแลหอโทรศัพท์มือถือ ไม่ทราบเลยว่ามีการต่อสู้ที่รุนแรงเกิดขึ้นใกล้ๆเขา คนเดียวที่สามารถเห็นการต่อสู้ที่ดุเดือดได้นั้นในตอนนี้ยังคงนอนอยู่ในพุ่มไม้เหมือนศพตาย
“ พ่อ! พ่อ! ดูสิ! มีสมบัติด้วย!”
เมื่อโจวหยูเห็นว่าหยางกู่ได้กระโดดลงมาอย่างตื่นเต้นในขณะเดียวกันตัวมันเองก็ได้แบกรูปปั้นที่มีขนาดใหญ่เท่ากับตัวเองมาด้วย มันก็ทำให้เขาที่กำลังพักผ่อนอยู่นั้นถึงกับกระโดดขึ้นมาทันที
‘รูปปั้นลึกลับ (ไม่ได้ประเมินค่า), คุณสมบัติ:? ? ?’
‘พระเจ้า! อย่าบอกนะว่าไอ้หยางกู่มันไปยกเค้าของคนอื่นมา?’ แม้ว่าการกระทำแบบนี้มันจะไม่ใช้เรื่องดี แต่เมื่อเขาคิดว่านี้เป็นของที่หยางกู่ได้มาจากพวกอันธพาล ดังนั้นมันก็คงเป็นของที่พวกนั้นขโมยมาอีกที
‘ขโมยของที่ถูกขโมยมาอีกที มันไม่ถือว่าเป็นการขโมยหรอก มันเรียกว่าสินสงคราม!’
แต่สิ่งที่โจวหยูเป็นห่วงตอนนี้ไม่ใช้สมบัติตรงหน้า แต่เป็นอย่างอื่นแทน “เออ! หยางกู่! นายยังต้องไปทำภารกิจอะไรอีกไหม?” เขาถามออกมาอย่างประหม่า
“ ไม่มีแล้วครับ! ตอนนี้เราสามารถกลับบ้านและให้คุณลุงนกอมตะช่วยยกระดับผมได้ทันที”
เมื่อโจวหยูได้ยินแบบนี้ มันก็ทำให้เขานั้นถึงกับยิ้มออกมาด้วยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะแสดงความยินดีกับการทำภารกิจครั้งแรกของหยางกู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วก่อนหน้านี้เขากังวลเป็นอย่างมากว่าเจ้าเด็กคนนี้จะติดใจในการภารกิจประเภทนี้
‘มันคงเป็นเรื่องที่แย่อย่างมาก ถ้าเขาจำเป็นที่จะต้องคอยวิ่งหนีพวกอันธพาลพวกนั้นทุกครั้ง’ …
มันเป็นเรื่องง่ายกว่ามากสำหรับโจวหยูที่จะเดินลงเขา มันเพียงแต่มีปัญหาแค่ว่าตอนนี้มันได้มืดแล้วก็เท่านั้นเอง ดังนั้นเมื่อเขาลงมาตามถนนมันจึงเป็นเรื่องลำบากเล็กน้อยเท่านั้น
ในตอนกลางคืนภูเขาที่สวยงามในตอนนี้เช้าก็ได้กลายเป็นสิ่งน่ากลัวอย่างสิ้นเชิง มีสายลมเย็นๆที่แต่เดิมมันก็สามารถทำให้เกิดเสียงหนาวสั่นได้ มีจุดไฟแปลกๆปรากฏอยู่ในป่า ราวกับว่ามีบางอย่างในป่าที่กำลังเฝ้ามองเขาอยู่
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขายังมีหยางกู่อยู่กับเขา ในตอนนี้เขาคงได้วิ่งหนีลงมาจากภูเขาไปแล้ว
โชคดีที่เขาคิดเรื่องนี้มาแล้ว ดังนั้นก่อนที่เขาจะปีนภูเขานี้ขึ้นมาในช่วงบ่าย เขาจึงได้เตรียมอุปกรณ์อย่างไฟฉายมาด้วย
เขาได้เดินกลับบ้านอย่างช้าๆ แม้ว่าเขาจะต้องการทราบของรางวัลที่หยางกู่จะได้รับและรายละเอียกของรูปปั้น แต่เมื่อเขากลับมาถึงบ้านมันก็ดึกมากแล้ว แสงเทียนที่มักจะมีอยู่ในวิหารลัทธิเต๋าได้ดับไปแล้ว นอกจากนี้เขายังรู้สึกอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก มันคงจะเป็นการดีกว่าถ้าเขาจะถามเรื่องพวกนี้ในวันพรุ่งนี้