The Rise of Otaku - ตอนที่ 35
บทที่ 35 ชีวิตประจำวัน
สำหรับภาพยนตร์ในสัปดาห์นี้ เนื่องจากไม่มีบทที่ดี โจวหยูจึงได้ใช้อนิเมชั่นเรื่องเก่าๆ ดังนั้นภาพยนตร์คลาสสิคอย่าง “ไม้กวาดเวทมนต์” จึงได้ปรากฏบนหน้าจออีกครั้ง อย่างไรก็ตามนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่อนิเมชั่นระดับสามปรากฏโฉมต่อสายตาทุกคน
อย่างไรก็ตามก็มีปัญหาเช่นกัน ดูเหมือนว่าบริษัทแอนิเมชั่นจะไม่สามารถสร้างอนิเมชั่นแบบ 3 มิติได้ ซึ่งแตกต่างจากบริษัทเกมอย่างสิ้นเชิง บริษัทเกมนั้นได้มีตัวเลือกเกม 3 มิติให้เลือก แต่บริษัทแอนิเมชั่นกลับไม่มีอะไรเลย ดูเหมือนว่ามันจำเป็นต้องมีเงื่อนไขบางอย่างถึงจะเรียกใช้มันได้
แต่ 2D ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ถือว่าใช้ได้เช่นกัน กราฟิกที่สวยงามมาถึงระดับของผลงานของนักสร้างระดับแนวหน้าแล้ว มันเป็นงานที่แม้แต่ผู้อาวุโสโอตาคุก็ไม่สามารถหาคำวิจารณ์ได้
หากศิลปินอนิเมชั่นมืออาชีพหรือแม้แต่คนที่รู้จักอนิเมชั่นได้มาเห็นอนิเมชั่นที่กำลังฉายอยู่ในบ้านเล็กๆของโจวหยูตอนนี้ มันมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะหลงคิดไปว่าตัวเองได้ย้ายเข้าไปอยู่ในประเทศจีนในจักรวาลอื่น
‘เพราะนี่เป็นอนิเมชั่นในประเทศที่หลายคนไม่เคยเห็นมาก่อน’
กราฟิกที่สวยงาม เอฟเฟกต์เสียงคุณภาพสูงสุด แม้ว่าตัวอนิเมชั่นจะเป็นเรื่องราวเก่าแก่ที่เคยได้ยินมานับพันครั้ง แต่ด้วยประสบการณ์การรับชมแบบนี้ มันก็ยังถือว่าเป็นอนิเมชั่นที่สนุกมากอยู่ดี
อย่างไรก็ตามคนที่ได้ดูอนิเมชั่นพวกนี้กับมีเพียงเด็กหรือคนชราในหมู่บ้านเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พวกเขาไม่รู้คุณค่าของอนิเมชั่นนี้ แม้แต่ครูหูที่มีความรู้มากกว่าคนอื่นๆก็รู้สึกเพียงว่าอนิเมชั่นพวกนี้ไม่เลวเท่านั้น
ยังไงก็ตาม ถึงยังงั้นโจวหยูก็ยังไม่พอใจเกี่ยวกับประสิทธิภาพนี้ แม้ว่ากราฟิกและเอฟเฟกต์เสียงจะเป็นไปตามความคาดหวังของเขา แต่มันก็ยังขาดความแปลกใหม่ไป มันทำให้ผู้คนรู้สึกว่าล้าสมัย
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองขากสิ่งไหนไป แต่ในตอนนี้เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเขายังขาดส่วนที่สำคัญที่สุดไป นั้นคือนักเขียนนวนิยายที่ดี มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยถ้าเขาต้องการสร้างอนิเมชั่นที่ดีแต่ไม่มีบทที่ดีตามมา
หยางกู่เองก็ไม่มีทักษะการในเรื่องนี้ ซึ่งนั้นแตกต่างจากผู้กำกับที่สามารถสร้างผลงานของตัวเองได้ แต่เขาสามารถผลิตอนิเมชั่นได้จากที่เขาได้รับสคริปต์
เมื่อเป็นแบบนี้ โจวหยูก็คิดไปถึงนิยายที่ดีจำนวนมากที่อยู่บนโลกออนไลน์ เดิมทีเขาต้องการที่จะดัดแปลงนวนิยายบางเรื่องที่เขาชอบให้เป็นภาพยนตร์ อย่างไรก็ตามมันเป็นความอัปยศที่บริษัทแอนิเมชันไม่ยอมรับสคริปต์เหล่านั้นเลย
เหตุผลที่พวกนั้นบอกกับเขาก็คือพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำมัน แม้ว่านี้จะไม่ได้ใช้เพื่อการค้าก็ตาม พวกเขาก็คงยังปฏิเสธที่จะทำมันอยู่ดี เห็นได้ชัดว่าพวกนั้นได้เข้มงวดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อเป็นแบบนี้ มันจึงทำให้ในสภาพปัจจุบันของเขาจำเป็นที่จะต้องใช้เรื่องราวเก่าๆ หรือเขาต้องเขียนสคริปต์ด้วยตัวเองเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาคิดไปถึงการส่งบทสคริปต์อย่างอาณาจักรแห่งความฝันก่อนหน้านี้ มันก็ทำให้เขารีบปัดตกการส่งสคริปต์ของตัวเองไปทันที ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงเหลือเพียงนำอนิเมชั่นเก่าๆมาใช้ได้เท่านั้น
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ไม้กวาดเวทมนต์ก็ได้จบลงในที่สุด ในที่สุดเรือของเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายร้ายก็จมลงในพายุ และนั้นทำให้พวกพระเอกรวมถึงชาวบ้านคนอื่นๆใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ในที่สุด
นี้ถือว่าเป็นพล็อตเรื่องมาตรฐานที่ค่อนข้างดี สำหรับโจวหยูแล้วคิดว่ามันไม่ได้น่าสนใจมากนัก แต่สำหรับเด็กเหล่านี้กับตรงกันข้ามเป็นอย่างมาก พวกเขาถึงกับปรบมือออกมาอย่างตื่นเต้นเมื่อพวกเขาได้เห็นถึงไหวพริบของพระเอก
ยังไงก็ตาม ตราบใดที่ผู้ชมชอบผลิตภัณฑ์ของเขา ในแง่นี้มันก็ทำให้เขารู้สึกดีเช่นกัน
หลังจากที่โจวหยูไปส่งพวกเด็กๆกลับบ้านไปแล้ว เขาก็มีแผนที่จะอัพโหลดภาพยนตร์อนิเมชั่นอีกเรื่อง อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเข้าสู่ระบบ ตัวระบบก็ได้มีการแจ้งเตือนโผล่ขึ้นมา
หลังจากที่เขาอ่านจบแล้วเขาก็รู้ว่าทำไมมันถึงเกิดเรื่องนี้ขึ้น สรุปว่ามีการร้องเรียนจากผู้ใช้รายอื่นว่าวิดีโออนิเมชั่นของเขานั้นอาจจะมีเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ หากเขาเป็นผู้สร้างวิดีโอนี้จริงๆ เขาจำเป็นต้องส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องไปให้ฝ่ายตรวจสอบตรวจสอบทันที มิฉะนั้นบัญชีของเขาจะถูกแบนไม่ให้อัปโหลดวิดีโออีกต่อไป
‘อะไรกัน! นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?!’
โจวหยูไม่เข้าใจว่าอนิเมชั่นอย่าง ภูเขาเพลิง ทำไมถึงลิขสิทธิ์ได้? และเขาจะไปหาพวกเอกสารที่เกี่ยวข้องได้ยังไง? เพราะอนิเมชั่นพวกนี้เป็นสิ่งที่จากบริษัทอนิเมชั่น และแบบนี้มันจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเขาคือผู้สร้างของมัน?
‘อ่า … มันเกิดอะไรกันนะ! ช่างมันละกัน! ยังไงเราก็ไม่คิดจะทำแบบนี้ตลอดอยู่แล้ว ‘
ด้วยเหตุนี้โจวหยูจึงได้เลิกอัพโหลดอนิเมชั่นของเขา
ในวันที่สองเช้าตรู่ โจวเฮาและเด็กๆอีกสองสามคน ได้มาทำความสะอาดลานบ้าน
ที่เป็นแบบนี้ก็เนื่องจาก เมื่อดูภาพยนตร์พวกเด็กๆเกือบทุกคนจะมีของทานเล่น ดังนั้นหลังจากภาพยนตร์จบลงมันจะเป็นการยุ่งยากมากเกินไปถ้าจะทำความสะอาด ดังนั้นโจวหยูจึงได้เสนอให้พวกเด็กๆมาทำความสะอาดในวันถัดไปแทน
แน่นอนว่าโอตาคุที่ขี้เกียจอย่างโจวหยูแล้ว มันไม่มีทางที่เขาจะไม่ทำความสะอาดด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงมอบหมายงานนี้ให้กับโจวเฮาและเพื่อนของเขา
เด็กซนตัวน้อยเหล่านั้นก็ถือว่ามีความรับผิดชอบเช่นกัน แม้ว่าระหว่างนั้นพวกเขาจะเล่นกันบ้าง แต่ยังไงงานทำความสะอาดที่พวกเขาได้รับมอบหมายมานั้นก็ถูกทำจนสำเร็จ
เมื่อโจวหยูเดินออกจากบ้านของเขาในขณะที่หาวอย่างต่อเนื่อง พวกเด็กๆเหล่านั้นต่างก็พูดสวัสดีตอนเช้ากับเขา นั้นทำให้โจวหยูรู้สึกเหมือนว่าเขาได้รับพวกมินเนี่ยนจำนวนมากยังไงไม่รู้
การสร้างของเล่นและการเปิดโรงภาพยนตร์กลางแจ้งของโจวหยูนั้น ทำให้สถานะทางสังคมของเขาในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่เด็กเหล่านั้น มันอาจจะไม่ใช่การเรียกเกิดจริงเลยที่ว่าเขานั้นจะถูกเรียกว่า “ราชาแห่งเด็กซน”
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้เองก็ได้นำปัญหามาให้โจวหยูเช่นกัน ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์เมื่อเขาต้องการออกไปจับสัตว์เล็กๆ มันก็มักจะมีเหล่าเด็กซนติดตามเขาไปรอบๆ และไม่ว่าเขาทำให้พวกนั้นกลัวมากขนาดไหนก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่จากไปไหนเลย มันเป็นเรื่องที่น่าอายอย่างมากที่ได้มีการแข่งขันที่มองไม่เห็นที่แตกต่างกันต่อหน้าเด็กเล็กๆเหล่านั้น
ทุกครั้งที่สิ่งนี้เกิดขึ้น โจวหยูมักจะหวังเสมอว่าวิธีการจับสัตว์ตัวเล็กๆเหล่านั้นจะดีขึ้น อย่างน้อยเขาก็ต้องการมีวิธีที่เขาจะสามารถแยกตัวออกไปต่อสู้กับอีกฝ่ายยังโลกมิติได้ ไม่ใช้ว่าเขาจะต้องมาต่อสู้กับอีกฝ่ายในโลกแห่งความจริงแบบนี้ทุกครั้ง
“ พี่ชายหยู! นี้เป็นท่าใหม่ของพี่ในวันนี้เหรอ? มันยอดเยี่ยมมาก!!”
และก็มักเป็นเจ้าหนูโจวเฮาที่ค่อยส่งเสียงเชียร์อยู่ข้างๆเขาทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาต่อสู้กับพวกสัตว์ตัวเล็กๆ อีกฝ่ายก็จะคิดว่าเขานั้นกำลังฝึกศิลปะการต่อสู้ศักดิ์สิทธิ์อยู่
‘ศิลปะการต่อสู้กับตูดของนายสิ! นั่นมันเป็นตูดของฉันที่ถูกเตะจริงๆ!”
[ลิงเขียนโปรแกรมปรากฏขึ้นข้างหน้าคุณ กรุณาเลือกวิธีการโต้กลับ]
หลังจากเลือกตัวเลือกการต่อสู้ มันก็แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันนั้นมีอะไรบ้าง โจวหยูที่เห็นแบบนั้นก็รู้ว่ามีเพียงการแข่งขันอันเดียวเท่านั้นที่เขาสามารถทำได้ นั้นคือการแข่งขันวิ่ง 1,500 เมตร !
ทันใดนั้นโจวหยูก็หันกลับหลัง ก่อนที่เขาจะออกตัววิ่งหนีเหล่าเด็กซนไปทันที
“ พี่ชายหยู! พวกเรารีบวิ่งตามไปเร็ว! พี่ชายหยูกำลังจะหนีเราไปแล้ว! … ”
ในตอนแรกพวกเขายังสามารถติดตามอีกฝ่ายได้ โดยเฉพาะเด็กๆที่วิ่งเก่ง อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งหมดก็ได้หยุดลง ขณะที่หอบอยู่บนพื้น
…………………………
ใกล้วันชาติเข้ามาทุกขณะ ในเวลาเดียวกันประสิทธิภาพการขายรายเดือนของหมู่บ้านสงครามลั่วหัวเองก็ได้เพิ่มขึ้นอยู่กับสองสามวันนั้นเช่นกัน
ดังนั้นในช่วงเวลานี้จางเฟิงจึงถูกฝังโดยงานมากมาย อย่างไรก็ตามเมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นตัวเลขดาวน์โหลดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาก็มีความสุขแม้ว่าเขาจะเหนื่อยมากก็ตาม
ในตอนนี้เกมนี้ก็ถูกขายไปแล้ว 30,000 ครั้ง ดังนั้นถ้าถึงวันหยุดที่ใกล้จะมาถึง เขาคิดว่ามันจะต้องขายได้เพิ่มถึง 50,000 ครั้งแน่นอน ถึงแม้ว่ายอดขายประเภทนี้จะไม่สามารถแข่งขันกับเกมคุณภาพสูงได้ แต่นี้มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เขารู้ดีว่าทีมของลัทธิเต๋าที่ถูกคุมขังนั้นยังมีประสิทธิภาพที่จะขยายตัวอีกมาก
อย่างไรก็ตามเมื่อใดก็ตามที่เขานึกถึงตัวแทนอย่างลัทธิเต๋าที่ดื้อรั้นคนนั้น มันก็ทำให้ความสุขของเขาจางหายไปทันที
เพื่อที่จะรักษาความนิยมของกระแสนี้เอาไว้ จางเฟิงได้พยายามกระตุ้นอีกฝ่ายอยู่เสนอ… อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่เขาส่งข้อความแนวนั้นไป อีกฝ่ายก็จะตอบกลับมาแบบเดิมทุกครั้ง นั้นคือ “ ยังคิดอยู่…”
ถึงเขาจะได้รับการตอบกลับมาแบบนี้ทุกครั้ง แต่เขาก็ไม่สามารถผ่อนคลายได้ เขาจำเป็นที่จะต้องใช้ช่วงเวลานี้ในการสร้างโอกาสที่ยิ่งใหญ่และชื่อเสียงจำนวนมากให้ได้ เพราะเขาไม่รู้ว่ามันจะมีโอกาสแบบนี้ลอยมาอีกเมื่อไหร่
ดังนั้นจางเฟิงจึงได้ส่งข้อความถึงลัทธิเต๋าที่ถูกคุมขังอีกครั้งว่า “ เกมแรกได้ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องกังวล โปรดเริ่มการวิจัยและพัฒนาเกมต่อไปโดยเร็วที่สุด “