The Rise of Otaku - ตอนที่ 40
บทที่ 40 กลายเป็นคนรวย
พูดถึงการแต่งคอสเพลย์ โจวหยูไม่ใช่คนแปลกหน้าเลยสำหรับวงการนี้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เขานอนไม่หลับในช่วงดึกๆ เขาเองก็มักจะแวะเวียนไปที่เว็บไซต์จำพวกนี้ตลอด มันก็แค่เขาไม่เคยคาดหวังว่าจะมีคนอยากให้เขาแต่งคอสเพลย์ในวันหนึ่งก็เท่านั้น
เขาได้ตอบปฏิเสธทันที เพราะเขาไม่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเองเท่าไหร่นัก
อย่างไรก็ตามบทบาทของคนขายเนื้อสีขาวนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโจวหยูโดยเฉพาะ มันไม่จำเป็นต้องให้เขาแต่งหน้าเลยด้วยซ้ำสำหรับการแต่งคอสเพลย์นี้
มันก็แค่เขาต้องมีเสื้อคลุมสีขาวเท่านั้น และแม้กระทั่งเส้นผมที่ยุ่งเหยิงของเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำมัน เพราะทรงผมนี้มันเป็นทรงเดียวกับตัวละครในเกม
หลังจากที่พวกเหมิงเหมิงพยายามพูดกล่อมอยู่นาน มันก็ทำให้โจวหยูเริ่มให้ความสนใจเล็กน้อย เพราะท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังถือว่าเป็นโอกาสที่หายากสำหรับเขาเช่นกันที่จะมีประสบการแบบนี้ นอกจากนี้เขายังสามารถถ่ายรูปกับสาวอนิเมชั่นน่ารักเหล่านั้นได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาได้เห็นด้วยกับเรื่องนี้ มันก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นช่างแต่งหน้าที่ชื่อว่า – ตงตง มาพร้อมกับ “อาวุธ” การแต่งหน้าทุกประเภท มันก็ทำให้หัวใจของเขาได้ร่วงหล่นทันที ‘พระเจ้า! พวกเธอยังต้องการให้เขาแต่งหน้าด้วย?’
แม้ว่าที่จริงแล้วพวกเธอบอกว่ามันเป็นแค่การแต่งหน้าบางๆเท่านั้น แต่ในท้ายที่สุดโจวหยูก็ยังรู้สึกว่าใบหน้าของเขาถูกปกคลุมไปด้วยชั้นของแป้งมันจำนวนมาก มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดมาก
ตรงกันข้ามกับเหมิงเหมิง เมื่อเธอได้เห็นการแสดงออกของคนขายเนื้อสีขาวที่กำลังทำหน้าจะตายให้รู้แล้วรู้รอดตลอดเวลาแบบนี้ มันก็ทำให้ความกลัวของเธอค่อยๆหายไป และสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความประหลาดใจเท่านั้น
‘มีความคล้ายคลึงกันมาก! อืม…ที่จริงแล้วพวกเขาก็เป็นคนคนเดียวกันอยู่แล้วนี้น่า…อืม…ตอนนี้ฉันเริ่มงงแล้วสิ… ‘
โจวหยูไม่ใช่คนที่หล่อเหลาอะไร ร่างกายของเขาเองก็ถือว่าอยู่ในมาตรฐานเท่านั้นไม่ได้ดีเด่นอะไร อย่างไรก็ตามภายใต้การแต่งหน้าที่มีมนต์ขลังของถงตง มันก็ได้ทำให้อย่างน้อยตอนนี้เขาดูดีขึ้นจากเดิม
คนขายเนื้อสีขาวเป็นตัวละครที่เย็นชาและมืดมน ดังนั้นโจวหยูจึงไม่จำเป็นต้องแสดงอะไรเลย มันก็แค่เขาต้องเป็นตัวของตัวเองก็ใช้ได้แล้ว แต่ก็อาจจะมีการเพิ่มท่าทางบางอย่างเพื่อทำให้บรรยากาศการถ่ายรูปมีอารมณ์มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม็มีสิ่งหนึ่งที่โจวหยูมั่นใจมาก นั้นก็คือเขาจะไม่มีทางออกไปข้างนอกขณะแต่งตัวแบบนี้! เป็นที่รู้ว่าผิวหน้าของเขาไม่ได้หนาขนาดนั้น
แต่ลูหยวนและเพื่อนๆของเธอกลับไม่สนใจเลย พวกเธอได้สวมชุดของตัวละครในเกมพวกนี้เดินไปตามสถานที่ต่างๆในหมู่บ้าน และพวกเธอจะถ่ายภาพทุกที่เมื่อมันเป็นฉากที่ปรากฏในเกม พวกเด็กๆหลายคนเองก็ได้เดินตามพวกเธอไปอย่างสงสัย โดยพวกเขาคิดว่าเหล่าพี่สาวเหล่านี้อาจจะกำลังสร้างภาพยนตร์อยู่ก็ได้
หลังจากส่งพวกผู้หญิงเหล่านั้นออกไปแล้ว สิ่งแรกที่โจวหยูทำทันทีก็คือการเข้าไปอาบน้ำอีกครั้ง เมื่อพวกเครื่องสำอางถูกล้างออก มันก็ทำให้เขาเหมือนกับเกิดใหม่อีกครั้ง
‘การคอสเพลย์นานๆครั้งก็ถือว่าไม่เลวเลย แต่ถ้าเขาจำเป็นที่จะทำทุกวัน มันจะกลายเป็นอะไรที่ไม่น่าสนใจอีกต่อไป’
แม้ว่าโจวหยูจะไม่เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมกับผู้หญิงเหล่านั้น แต่วันหยุดประจำชาติก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดลูหยวนและเพื่อนๆของเธอก็จำเป็นต้องกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเธอได้รับช่วงเวลาที่ดีในการมายังหมู่บ้านลู่หัวแห่งนี้
และไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดหนึ่งในสิ่งเลวร้ายเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในหมู่บ้านของโจวหยูเกิดขึ้น นั้นก็คือมีผู้หญิงไม่มากนักในหมู่บ้านแห่งนี้
ขณะที่เขาส่งพวกเธอออกไปจากบ้าน โจวหยูก็ได้มอบของขวัญให้กับพวกเธอเช่นกัน มันเป็นพวกตุ๊กตาไม้ในตำนานของหมู่บ้านลู่หัว เนื่องจากผู้หญิงที่ชื่อเหมิงเหมิงชอบเกมนี้มาก ดังนั้นโจวหยูจึงคิดว่าการให้ของขวัญเล็กๆน้อยนี้กับพวกเธอ มันคงทำให้พวกเธอมีความสุขกับมันได้
แน่นอนว่าพวกผู้หญิงเหล่านั้นก็ตอบแทนเขากลับเช่นกัน ในบรรดาของขวัญมากมายนั้น ก็มีรูปแปลกๆที่ดูเหมือนทั้งรูปถ่ายในชีวิตประจำวันและรูปคอสเพลย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพวกเธอผ่านโปรแกรมตกแต่งภาพมาแล้ว มันยิ่งทำให้ภาพที่ได้รับดีขึ้นไปอีกขั้น
เมื่อโจวหยูกำลังกล่าวคำอำลากับเหล่าสาวสวยอยู่นั้น อีกสถานที่หนึ่งกับมีชายที่กำลังหัวเราะออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
หลังจากกิจกรรมส่งเสริมการขายพิเศษในช่วงวันหยุดประจำชาติ สงครามการขายรายเดือนของหมู่บ้านลู่หัวในที่สุดก็ทะลุ 50000 ครั้งไปแล้ว และนั้นทำให้เป้าหมายที่จางเฟิงตั้งเอาไว้ก่อนหน้านี้สำเร็จไปด้วยดี
แม้ว่าเขาจะส่งข่าวดีไปยังลัทธิเต๋าที่ถูกคุมขังแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆกลับมา แต่สำหรับเขาแล้วนี้เป็นอะไรที่เริ่มเป็นที่คุ้นเคยแล้วเช่นกัน
การที่อีกฝ่ายเป็นพวกไม่มีทัศนคติที่ใส่ใจต่อประสิทธิภาพการขายของเกม มันทำให้เขารู้สึกว่าโจวหยูคนนี้ไม่น่าเชื่อถือเลย อย่างไรก็ตามทีมของลัทธิเต๋าที่ถูกคุมขังกลับเชื่อใจเพียงบุคคลนี้เท่านั้น ดังนั้นมันจึงทำให้เขารู้สึกหมดหนทาง
แม้ว่าเขาจะรู้สึกหมดหนทางกับสิ่งที่เขาทำอยู่นี้ แต่ยังไงเขาก็ยังต้องทำต่อไป
……………………………
ในที่สุดโจวหยูก็ได้รับเงินหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน มีการระบุข้อความจำนวนมากในทุกหน้าของกระดาษ อย่างไรก็ตามโจวหยูไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นเลย เขาได้ข้ามเนื้อหาทั้งหมดและมองไปที่ด้านล่างของเอกสารโดยตรง และเขาก็เห็นจำนวนตัวเลขที่เขาต้องการเห็นมาโดยตลอด มันคือหนึ่งล้าน!
จากเกษตรกรผู้ยากจนรายย่อยที่มีค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตเพียงไม่กี่ร้อยหยวนต่อเดือน มาตอนนี้เขาได้ก้าวเข้าร่วมกับสโมสรเศรษฐีแล้ว และนี่เป็นเพียงเงินเดือนเดือนแรกเท่านั้น แม้ว่ายอดขายในอนาคตอาจจะลดลงอย่างแน่นอน แต่มันก็ยังคงเป็นเงินจำนวนมากกว่าที่เขาทำได้ในอดีตอย่างแน่นอน
ในขณะนั้นเขาไม่รู้ว่าจะวิธีแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมายังไงดี
‘เขาควรจะเงียบและสงบ หรือตะโกนออกไปดังๆดี ?’ พูดตามตรงการที่เขาได้กลายเป็นคนรวยในชั่วข้ามคืนมันทำให้เขารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
ก่อนหน้านี้เมื่อเขาเล่นเกมออนไลน์ เขามักจะลังเลเสมอที่จะซื้อสกุลเงินในเกม แต่ตอนนี้เขาสามารถใช้เงินเพื่อซื้อบัญชีพรีเมี่ยมในตำนานได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามมันเป็นความอัปยศที่เขาแทบจะไม่เคยเล่นเกมออนไลน์เลย มันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ชุมชนเกมออนไลน์สูญเสียนักรบที่สามารถจ่ายเงินให้กับการชนะไปอีกคนแบบนี้
‘มีความสุข? อืม…มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น แต่มันก็ไม่ควรจะมากเกินไป’
เนื่องจากเขามีสายตาของโลก ACG จุดประสงค์หลักในการทำเงินคือการทำให้พ่อแม่ของเขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับตัวของเขาอีกต่อไป และตอนนี้เขาก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายไปแล้ว มันจึงช่วยไม่ได้ที่เขาจะเกิดความรู้สึกอย่างความมั่นคงก็เกิดขึ้นแบบนี้
หากเขาต้องการทำเงินให้ได้มากในอนาคต เขาอาจจะยังคงขายเกมอื่นๆที่เขาทำ และนั้นจะทำให้เขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเงินอีกต่อไป
หลังจากดูที่รายละเอียดอีกครั้ง เขาก็สามารถถอนหายใจออกมาได้ในที่สุด นี้แสดงว่าในที่สุดเขาก็เข้าร่วมวงของผู้เสียภาษีอย่างเป็นทางการแล้ว ในเวลาเดียวกันเขาก็เริ่มสงสัยว่าเขาควรใช้เงินอย่างไร
มันเป็นเรื่องโง่ที่มีเงินแต่ไม่ได้ใช้ แต่ปัญหาคือวิธีการใช้เงินต่างหาก หากพูดกันจริงๆแล้วมันไม่มีสถานที่ใดในหมู่บ้านที่เขาสามารถใช้เงินได้จำนวนมาก ร้านค้าที่แพงที่สุดคือ – ร้านขายเสื้อผ้า แต่มันก็ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าที่มีราคามากกว่าหนึ่งพันหยวนเลย
เขายังไม่ชอบเดินทางออกนอกเมืองและไม่ชอบช้อปปิ้งออนไลน์ คิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาไม่สามารถแม้แต่จะหาวิธีใช้เงินได้ นี้มันเป็นความอัปยศจริงๆ
เรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจมากสำหรับโจวหยูในเวลานี้ เขาที่มีเงินจำนวนมากอยู่ในมือแต่เขาไม่มีที่จะใช้มัน
จนเวลาล่วงผ่านมาถึงวันเสาร์อีกครั้ง หลังจากโจวหยูกลับมาจากข้างนอกแล้วเขาก็ยืนยันว่าเงินได้ถูกโอนเข้าบัญชีของเขาแน่นอน
จากนั้นเขาก็เดินไปรอบๆถนนและพบว่าการเดาของเขานั้นถูกต้อง แม้เขาจะพยายามใช้จ่ายเงินให้มากที่สุด แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถใช้เงินได้ถึง 1,000 หยวนได้ ด้วยความเร็วนี้มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะใช้เงิน 1 ล้านหยวนหมด!
เมื่อโจวหยูได้เปิดประตูเข้ามายังสนามหน้าบ้าน เขาก็ได้เห็นพวกเด็กๆกำลังทำความสะอาดโต๊ะและเก้าอี้อยู่ข้างใน
วันนี้เป็นวันฉายอีกวันหนึ่ง มันจึงมีเก้าอี้มากมายในสนาม เด็กหลายคนไม่ชอบที่จะย้ายเก้าอี้ไปมา จึงได้มีเด็กหลายคนที่เลือกจะเก็บเก้าอี้ไว้ที่บ้านของโจวหยูแทน
แน่นอนว่าเด็กที่ซุกซนและกระฉับกระเฉงพวกนี้จะไม่จัดเก้าอี้ให้ดีในตอนแรก พวกเขามักจะจัดเรียงเก้าอี้แถวในรูปของงูหรือในรูปแบบของเสาดอกพลัม ก่อนที่พวกเขาจะกระโดดจากเก้าอี้หนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่ง พวกเขาไม่กลัวตกเก้าอี้เหล่านั้นเลย
เมื่อเหล่าเด็กๆเห็นพี่ชายหยูกลับมาพร้อมกระเป๋าหลายใบ โจวเฮาก็รีบวิ่งมาหาเขาและถามอย่างสงสัยว่า “พี่ชายไปรวยมาจากไหน? ทำไมพี่ชายถึงซื้อของมาเยอะแบบนี้? มีอะไรให้ผมช่วยไหม?…”
ขณะที่โจวเฮาพูดออกมานั้น เจ้าตัวก็ได้ยื่นมือออกไปคว้าเป็ดย่างราวกับว่าเขาไม่รู้จักมารยาทเลย
แต่เด็กคนนี้ภักดีต่อเพื่อนมาก เขารีบคว้าปีกไก่อีกอันหนึ่งแล้วส่งต่อให้เด็กคนอื่น ตอนนี้เกือบทุกคนมีถุงขนมอยู่กับตัว
โจวเฮารู้ว่าพี่ชายหยูนั้นเป็นคนดีมากคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาไม่มีเงินมาก ดังนั้นสิ่งที่เขาซื้อก็คือลูกอมหรือเมล็ดแตงโม แต่วันนี้ดูเหมือนว่าเขาจะใช้เงินเป็นจำนวนมากในการซื้อขนมขบเคี้ยวพวกนี้มา
จนกระทั่งโจวหยูเห็นเด็กเหล่านั้น เขาจึงจำได้ว่าเด็กเหล่านั้นเป็นตัวละครหลักของเกมของเขา เนื่องจากเขาได้รับเงินมาแล้วมันก็ควรจะถึงเวลาที่เขาจะต้องให้บางสิ่งตอบแทนเหล่าเด็กๆพวกนี้บ้าง
“เอาละ! เจ้าหนูน้อยโจว! นายไปบอกพวกเด็กๆทุกคนในหมู่บ้านว่าวันนี้พี่ชายคนนี้จะพาทุกคนไปปล้นกัน?”
แม้ว่าโจวเฮาจะไม่รู้ความหมายของโจวหยูว่าอะไรคือการไปปล้นกัน แต่เขาก็เป็นคนประเภทที่เชื่อในคำสั่งของพี่ชายหยูจนหมดหัวใจ ดังนั้นเมื่อเขาได้รับคำสั่งมาแบบนี้ เขาก็ได้รีบรวบรวมเด็กคนอื่นๆ และกระจายออกไปในหมู่บ้านเพื่อตามหาคนอื่นต่อไป
ในไม่ช้าก็มีเด็กกลุ่มหนึ่งก็กลับไปที่ลาน และดูเหมือนว่าเด็กๆทุกคนในหมู่บ้านจะมาที่นี่จริงๆ ความสามารถของพวกเขาสมควรได้รับการยกย่องอย่างแท้จริง
เช่นเดียวกับพิธีเปิดตัวของเรือบรรทุกเครื่องบินก่อนหน้านี้ ภายใต้คำสั่งของโจวเฮาทำให้กลุ่มเด็กๆได้รวมตัวกันเป็นแถวต่อหน้าโจวหยูอย่างรวดเร็ว
เมื่อเขามองไปที่กลุ่มเด็กๆข้างหน้าเขา โจวหยูก็รู้สึกราวกับว่าเขาได้กลายเป็นผู้บัญชาการกองทัพเล็กกองทัพหนึ่งเลยที่เดียว
เมื่อโจวหยูได้เริ่มโบกมืออย่างอาฆาตกลางอากาศ เขาพูดว่า “ไปกันเถอะ!”
จากนั้นกลุ่มเด็กๆก็ออกจากสนามไปกับเขา และมุ่งหน้าไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตในหมู่บ้านทันที