The Rise of Otaku - ตอนที่ 78
บทที่ 78 กลับบ้าน
‘มีการแสดงเกิดขึ้นบนถนน! มาดูสิ! ‘
ฝูงชนจำนวนมากต่างก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เพื่อดูละครที่มีชีวิตชีวาเรื่องนี้
หญิงสาวผู้น่าสงสารคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลางพร้อมกับร้องไห้ออกมาไม่หยุด และยังมีคนร้ายที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ร้องไห้กำลังอยู่อยู่ฝั่งตรงข้าม ยังไม่หมดแค่นั้นด้านข้างของผู้หญิงยังมีอัศวินขี่ม้าขาวที่ได้เข้ามาปกป้องอีกด้วย ดูยังไงนี้ก็เป็นสถานการณ์อัศวินช่วยสาวงามชัดๆ
‘อืม …’
โจวหยูเป็นคนที่พูดไม่เก่งและยังเป็นคนที่ค่อนข้างเขินอายงานเมื่ออยู่ในที่สาธารณะโดยเฉพาะเมื่อมีคนแปลกหน้ามากมายที่นี่ เมื่อเขาได้ถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มคนแปลกหน้ามากมายมันก็ทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออกและไม่สามารถพูดอะไรได้เลย เนื่องจากเขาไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น มันจึงทำให้ดูเหมือนว่าถ้าเขายังคงอยู่ที่นี่ต่อมันจะยิ่งทำให้สถานการณ์นี้แย่ลงเท่านั้น มันเป็นการดีกว่ามากสำหรับเขาที่จะกลับไปที่ร้านเพื่อพูดคุยเรื่องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นและออกจากเมืองด้วยความเร็วเต็มพิกัด
‘เฮ้อ! โลกภายนอกนั้นน่ากลัวอย่างแท้จริง’
หลังจากที่เขาคิดได้แบบนั้นเขาจึงได้หันกลับมาอย่างรวดเร็วและวางแผนที่จะจากไป
อย่างไรก็ตามเมื่อฝูงชนรวมตัวกันแล้วมันไม่ใช้เรื่องง่ายเลยที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชายหนุ่มผู้กล้าหาญ “A” ซึ่งได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มานานหลายปี เห็นได้ชัดว่าเขากระตือรือร้นที่จะพบกับสถานการณ์เช่นนี้บนท้องถนนมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามสถานการณ์เช่นนี้กลับเป็นสิ่งที่หายากมาก แต่ในที่สุดเขาก็พบมัน ดังนั้นเขาจะไม่ยอมปล่อยมันไปง่ายๆอย่างแน่นอน?
ด้วยสองก้าวไปข้างหน้าและกรงเล็บรูปเสือเพื่อจับไหล่ของชายหนุ่มคนนั้น เขาวางแผนที่จะหยุดชายคนนั้นไม่ให้หลบหนีได้ แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการทะเลาะกับอีกฝ่ายเขาก็แค่อยากให้ชายคนนี้ขอโทษหญิงสาวก็เท่านั้น อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มที่ดูอ่อนแอคนนี้จะมีความว่องไวมาก อีกฝ่ายทำการก้มไหล่ไปข้างหนึ่งอย่างรวดเร็วและได้หลบมือของเขาไปอย่างง่ายดาย
‘ฮะ? เขาเองก็เป็นคนฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยเหรอ?
ชายหนุ่มผู้กล้าหาญ “A” เดาถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เขาไม่มีทางรู้หรอกว่าโจวหยูนั้นเจอกับอะไรบ้างตลอดหนึ่งปีมานี้ เขาได้ถูกทรมานเกือบตายมากกว่าครึ่งโดยพวกสัตว์ร้ายตัวเล็กๆ อย่างไรก็ตามกว่าครึ่งปีที่ผ่านมาเขาได้พัฒนาความสามารถในการหลีกเลี่ยงและต่อต้านการโจมตีจนเป็นสัญชาตญาณ
เช่นเดียวกับตอนนี้เขาได้หลบการโจมตีจากอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว แต่เขาไม่รู้วิธีต่อสู้ สิ่งเดียวที่เขาคิดได้ในตอนนี้ก็คือการวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าคนที่อยู่ตรงข้ามเขานั้นได้เข้าสู่โหมดค้นหาความยุติธรรมและมันจะลำบากมากเกินไปถ้าเขาพยายามจะอธิบายกับอีกฝ่าย และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้จักกังฟูด้วย
โจวหยูได้เริ่มวิ่งหนีโดยไม่พูดอะไรเลย เมื่อได้รับการดูจากคนจำนวนมากมันทำให้เขาก็รู้สึกอึดอัดมาก เขาต้องการออกจากสถานที่นี้ซึ่งเต็มไปด้วยคนแปลกหน้าก่อนแล้วจึงอธิบายในภายหลัง
เขาได้วิ่งออกไปและชายหนุ่มคนนั้นเองก็กำลังวิ่งไล่ตามหลังเขาเช่นกัน ทั้งคู่ได้วิ่งตรงก็กลับไปที่ร้านกาแฟของหญิงสาวคีร์ในไม่ช้า ผู้จัดการที่นั่นเองก็กำลังจะโทรหาตำรวจเพื่อแจ้งสถานกาณณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเขากำลังจะแจ้งไปนั้นก็ได้เห็นลูกค้าที่ได้สร้างปัญหาในร้านก่อนหน้านี้ได้กลับมาพร้อมกับชายหนุ่มแปลกๆ เขาก็ได้แสดงสีหน้าสับสนขึ้นมาทันที เขาหวังว่าคนที่ตามมานั้นจะเป็นพนักงานที่ชื่อคีร์ ไม่ใช้ชายหนุ่มแปลกหน้าอีกคนแบบนี้
“ เจ้านาย! ผมต้องขอโทษที่นกของผมอยู่ๆมันก็เกิดบ้าไป ยังผมก็สัญญาว่าผมจะชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้นให้คุณอย่างแน่นอน แต่ก่อนหน้านั้นได้โปรดช่วยผมอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับชายหนุ่มด้านหลังนี้ให้ผมด้วย….”
ในที่สุดพายุลูกนี้ก็ได้สงบลงในที่สุด แม้ว่าจะมีชายหนุ่มผู้กล้าหาญปรากฏขึ้นมาก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้มีฉากการต่อสู้กันเกิดขึ้น ข้อพิพาทนี้ในที่สุดก็ถูกตัดสินด้วยวิธีที่ได้ผมมากที่สุด หลังจากโจวหยูได้ขอโทษและจ่ายเงินให้ผู้จัดการร้านและพนักงานคีร์ไปแล้ว พวกเขาก็ได้ยกโทษให้เขา อาจจะพูดได้ว่าเรื่องทุกอย่างได้ถูกจัดการด้วยวิธีที่ดีที่สุด
คนเดียวที่รู้สึกเศร้าเสียใจที่สถานการณ์จบลงแบบนี้ก็น่าจะเป็นชายหนุ่มผู้กล้าหาญคนนี้ ผู้ซึ่งต้องการทำให้ความฝันอันกล้าหาญของเขาเป็นจริง เขาได้ใช้ความพยายามอย่างมากเพียงเพื่อค้นพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่สิ่งที่คิดและนั้นทำให้พลังงานทั้งหมดที่เขามีมาตั้งแต่ต้นได้หายไป
ทางด้านของวังฟาสต์เองก็ได้รับการยกระดับเช่นกัน และนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีอย่างมาก มันยังแสดงให้เห็นว่าการเดินทางมาครั้งนี้ของเขากับบูบูนั้นไม่ใช้การเสียเปล่า
หลังจากที่เรื่องในวันนี้จบลงแล้ว เขาก็ได้พาทุกคนกลับมายังโรงแรมอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเริ่มใช่ทักษะนักพูดที่แข็งแกร่งที่สุดกับวังฟาสต์ทันที
แต่เดิมเขาคิดว่าทักษะจะสามารถทำให้เขากลายเป็นคนที่เก่งในการโน้มน้าวใจผู้คนได้ แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะมีอะไรพุ่งออกมาจากปากของเขาแทน และจากการดูแล้วมันดูเหมือนจะเป็นลำแสงเลเซอร์ที่จู่ๆก็พุ่งตรงไปยังวังฟาสต์โดยตรง
“แม่*!”
วังฟาสต์ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะถูกการโจมตีด้วยเลเซอร์จากคนที่ช่วยเขามาก่อน ในรอบแรกการใช้ทักษะนั้นถือว่าล้มเหลว! เขาสามารถหลบได้อย่างฉิวเฉียด แต่ในครั้งที่สองเขากลับถูกมันโจมตีเข้าเต็มๆ
โจวหยูเองก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ แต่เขาก็หวังว่าผลของเอฟเฟคที่เกิดขึ้นนี้จะออกมาดี อย่างไรก็ตามหลังจากที่วังฟาสต์ได้ถูกแสงเวเซอร์ที่สองยิงเข้าไปแล้ว มันก็ทำให้เขาสลบไปทันที ดังนั้นมันคงต้องใช้เวลาอีกซักพักกว่าที่เขาจะรู้ผลลัพธ์
ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดว่าเขาควรจะนำตัวอีกฝ่ายกลับไปยังหมู่บ้านมินิลู่หัวด้วยเร็วที่สุด ดังนั้นเขาจึงได้ทำการออกจากโรงแรมและตรงไปยังสถานีรถไฟทันที!
‘สิ่งนี้ไม่ควรถูกพิจารณาว่าเป็นการลักพาตัวใช่มั้ย?’
หลังจากที่ซื้อตั๋วรถไฟเสร็จแล้วมันอาจจะพูดได้ว่าการเดินทางทางไกลครั้งแรกของโจวหยูในชีวิตของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ในเมืองนี้ก็คงเป็นเพียงตำนานอย่างบุคคลลึกลับที่สามารถเรียกนกและตัวร้ายที่ทำให้ผู้หญิงร้องไห้เท่านั้น
แต่รางวัลที่เขาได้รับเองก็ยังถึงว่ายอดเยี่ยมเช่นกัน ไหนจะศิลปินการ์ตูนที่สามารถอาศัยอยู่อย่างถาวรในสตูดิโอการ์ตูนที่สร้างขึ้นใหม่เมื่อเขากลับถึงบ้าน จากนั้นเขาก็สามารถสร้างมังงะได้ตามต้องการ ศิลปินก็เป็นศิลปินที่ดีที่สุดอีกด้วย เมื่อใดก็ตามที่เขาคิดเกี่ยวกับมัน มันก็ไม่สามารถทำให้เขาหยุดตื่นเต้นได้
นอกจากนี้ยังมีรางวัลสำหรับการทำภารกิจสำเร็จเช่นกัน เขาได้รับเหรียญโมจำนวนเล็กน้อย กุญแจแปลกๆ และรูปปั้นที่ไม่ปรากฏชื่อ รูปปั้นที่เขาได้มาครั้งล่าสุดคือรูปปั้นของนักปราชญ์และมันยังได้ปรับปรุงคุณภาพของอนิเมชั่นไปอีกระดับโดยตรง ดังนั้นวัตถุประเภทนี้ถือได้ว่าเป็นรางวัลที่ดี และมันจำเป็นที่จะต้องเก็บไว้อย่างดี
จากนั้นก็ถึงเวลาที่รถไฟออกจนได้
อาจจะเป็นเพราะเขาสามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้สำเร็จ มันจึงทำให้เขาอยู่ในอารมณ์ดีตลอดเวลา บวกกับความจริงที่ว่ามันค่อนข้างน่าเบื่อในรถไฟ โจวหยูจึงได้เชิญนักเล่าเรื่องของโลก ACG บนรถไฟมานั่งต่อหน้าเขาและเล่าเรื่องให้เขาฟัง
โดยไม่คาดคิด นักเล่าเรื่องค่อนข้างเล่าเรื่องได้น่าสนใจมาก เรื่องราวที่เขาเล่าให้โจวหยูฟังก็คือเรื่อง “ผีพัดไฟ” ด้วยเสียงที่เปล่งออกมาอย่างชัดเจนและน้ำเสียงที่กลมกล่อมทำให้คนฟังสามารถเข้าถึงเรื่องราวและเพลิดเพลินกับมันได้โดยตรง
นอกจากนี้มันยังทำให้โจวหยูต้องการพานักเล่าเรื่องคนนี้กลับไปที่หมู่บ้านเช่นกัน ไม่เพียงแต่อีกฝ่ายจะสามารถบอกเล่าเรื่องราวเพื่อลดความเบื่อหน่ายของคนในหมู่บ้านได้เท่านั้น แต่เขายังสามารถทำหน้าที่เป็นนักพากย์เสียงในฐานอนิเมชั่นได้อีกด้วย เขาเป็นคนที่มีความสามารถที่สามารถนำไปใช้ได้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน
แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ทักษะอย่างนักพูดที่แข็งแกร่งได้ถูกใช้งานไปแล้วสองครั้งในการจัดการวังฟาสต์
เมื่อเรื่องเล่าของนักเล่าจบลง มันก็ถึงเวลาที่โจวหยูได้ลงจากรถไฟเช่นกัน ระหว่างนั้นเขายังได้หยุดรอให้เจ้าเซอร์แบล็กมาถึงเช่นกัน ก่อนที่เขาจะขึ้นรถบัสกลับบ้าน
หลังจากลงจากรถบัสความรู้สึกที่คุ้นเคยมันก็ได้ทำให้โจวหยูรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาได้เดินกลับบ้านไปตามทางเล็กๆ เขายังไม่ลืมที่จะทักทายสัตว์เล็กๆที่เดินไปรอบๆหมู่บ้านเช่นกัน “ว่าไงพวก! วันนี้พวกนายถือว่าโชคดีนะ เพราะฉันเหนื่อยมากในวันนี้ ดังนั้นฉันจะไม่ไปจับพวกแก”
การออกจากหมู่บ้านไปสองสามวันของโจวหยู มันทำให้พวกเด็กๆทุกคนต่างก็คิดถึงพี่ชายหยูอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงเวลาสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีภาพยนตร์ให้พวกเขาได้ดู พวกเขาต่างก็คุ้นเคยกับภาพยนตร์กลางแจ้งไปแล้ว ดังนั้นพวกเด็กเหล่านั้นมักรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปในวันหยุดสุดสัปดาห์
“พี่ชายหยู! ป้าสองของผมได้บอกว่าพี่อาจจะย้ายกลับไปที่เมือง มันเป็นเรื่องจริงไหมครับ? “
พวกเด็กๆต่างก็รู้สึกไม่ดีกับข่าวนี้ ถ้าเกิดว่าพี่ชายหยูออกไปจริงๆ พวกเขาจะไปดูหนังแอนิเมชันในอนาคตได้ที่ไหนกัน? และพวกเขาจะสามารถหาของเล่นมากมายได้ที่ไหนกัน?
“ฮาฮาฮา! พวกเธอพูดอะไรกัน ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่ออกจากหมู่บ้านลู่หัวไปไหน “
‘ไม่มีที่ไหนดีไปกว่าบ้านนี้และบ้านเกิดของฉันอีกแล้ว’