The simple life of the emperor - ตอนที่ 172
– ลืมบอกในตอนนี้ที่แล้ว ระดับชะตาฟ้า นั้นเท่ากับระดับกษัตริย์นะครับ
————————————————————————————————————————————
เทียนหลางนั้นโล่งใจนิดหน่อยที่เรื่องนี้จบลงแล้ว แต่เอาเข้าจริงเทียนหลางนั้นไม่ค่อยจะพอใจกับการกระทำนี้สักเท่าไหร่ของทางตระกูลหยูเกี่ยวกับเรื่องนี้
เพราะเขานั้นหวังว่าทางตระกูลหยูจะตอบโต้อะไรกลับมาบ้างในฐานะที่พวกเขานั้นเป็นถึงตระกูลโบราณที่มีชื่อเสียง แน่นอนว่าพวกเขาอาจไม่ได้แข็งแกร่งแต่การจะส่งพวกที่มีชนชั้นระดับสวรรค์มาก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่นักใช่ไหม ?
และการที่พวกเขาถอยออกไปจากเรื่องนี้อย่างง่ายดายนั้นทำให้เทียนหลางคิดว่าพวกตระกูลโบราณก็คงไม่เท่าไหร่ เป็นเพียงแค่ตระกูลที่มีประวัติมาอย่างยาวนานเท่านั้น
อันที่จริงการกระทำของเทียนหลางค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เขาคิด ในตอนนี้ในหมู่ตระกูลโบราณและในโลกผู้บ่มเพาะนั้นมีการพูดถึงการปรากฏตัวของผู้อยู่ในชนชั้นชะตาฟ้าขึ้นมาอย่างหนาหู
การปรากฏตัวของผู้ที่อยู่ในชนชั้นชะตาฟ้านั้นถือเป็นเรื่องใหญ่อย่างมาก เพราะอย่างที่ใครหลายคนรู้กันผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของโลกในตอนนี้นั้นคือ อยู่ในระดับชนชั้นสวรรค์ ขั้นสูงสุด และการจะก้าวข้ามมันไปนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมามีผู้ที่สร้างก้าวข้ามประตูนั้นไปและอยู่ในชนชั้นชะตาฟ้าได้นั้นแทบจะนับนิ้วได้เลย นี่บ่งบอกได้ว่าการจะก้าวข้ามระดับนั้นยากเย็นขนาดไหน
ฉะนั้นการปรากฏตัวของผู้ที่ในอยู่ชนชั้นชะตาฟ้าจึงถึงว่าเป็นเรื่องใหญ่สะเทือนยุทธภพเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นการ
กระทำนี้ของตระกูลหยูถือว่าถูกต้องแล้ว การไปยุ่งกับผู้ที่อยู่ในชนชั้นชะตาฟ้าเรียกได้ว่าเป็นการขุดหลุมฝังตระกูลตัวเองชัดๆ
แต่ตัวเทียนหลางเองนั้นไม่ได้รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย เขาทำได้เพียงบ่นอุบอิบกับเรื่องนี้และปล่อยมันผ่านไปอย่างน่าเสียดาย
เพราะเขาหวังว่าจะได้ถล่มตระกูลโบราณสักหน่อยแต่เรื่องนี้กลับหายวับไปเพราะการกระทำอันขี้ขลาดของพวกเขา
‘น่าเสียดาย น่าเสียดาย’
ในช่วงพักกลางวัน เทียนหลางมากินข้าวกับตู่เชิงที่โรงอาหาร ในขณะนั้นเขาก็ได้ถามตู่เชิงเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขาคุยกันก่อนหน้านี้
ซึ่งตู่เชิงก็ได้ตอบกลับอย่างเสียดายว่า
“น่าเสียดายเพื่อน พ่อกับแม่ของฉันนั้นไม่สนใจเท่าไหร่นัก เนื่องจากพวกเขาได้ร่วมมือกับบริษัทยาขนาดใหญ่แล้วและมันกำลังไปได้ด้วยดี พวกเขาเลยไม่อยากจะเริ่มอะไรใหม่ในตอนนี้”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้า
“ฉันเข้าใจ”
ในขณะนั้นเองซูหลินและหลินเสวี่ยก็เดินมานั่งขนาบข้างเทียนหลางก่อนจะเอ่ยกับเขาว่า
“ช่วงนี้นายหายไปไหนมา ?”
เทียนหลางได้ยินแบบนั้นก็อ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า
“พอดีว่ามีธุระนิดหน่อยน่ะ”
“งั้นเหรอ ~”
ซูหลินมองเขาด้วยหางตา เทียนหลางจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆออกมา ก่อนจะถามกลับไปว่า
“พวกเธอมีอะไรงั้นเหรอ ?”
“พวกเราต้องมีอะไรถึงจะคุยกับนายได้งั้นเหรอ ?”
หลินเสวี่ยถามกลับ เทียนหลางจึงได้แต่อึ้งก่อนจะถอนหายใจออกมาและคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดออกไปว่า
“แล้วทำไมพวกเธอไม่ไปที่บ้านฉันล่ะ ถึงแม้เธอจะไม่เจอฉันอย่างน้อยก็ได้จะเจอเฟิงหยวนพวกเธอจะได้คุยกันไงล่ะ”
เมื่อทั้งคู่ได้ยินแบบนั้นก็หันมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าออกมา ตู่เชิงที่นั่งกินข้าวอยู่เมื่อได้ฟังทุกอย่างก็ถึงกับอ้าปากหวอก่อนจะยกมือขึ้นและถามออกมาว่า
“นี่ แม้ฉันจะไม่ใช่เพื่อนสนิทที่สุดของนายแต่ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมเทียนหลาง”
เทียนหลางได้ยินแบบนั้นก็หันกลับไปมองตู่เชิงที่ทำท่าทีแปลกๆอยู่
“อะไรงั้นเหรอ ?”
“พอดีฉันสงสัยว่า ดอกไม้แห่งมหาลัยทั้งสองคนนี้เป็นอะไรกับนายงั้นเหรอเพื่อน ?”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็แสดงท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อย
“อืม… จะว่ายังไงดีล่ะ”
ตู่เชิงที่ได้เห็นแบบนั้นก็คิดเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาและพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“โอเคเพื่อน ฉันเข้าใจแล้ว”
เทียนหลางที่เห็นแบบนั้นก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย จากนั้นเทียนหลางก็หันกลับไปคุยกับทั้งสองสาว ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะคิดถึงเทียนหลางไม่น้อยเลยทีเดียว ทำเอาเทียนหลางรู้สึกผิดที่ไม่ค่อยได้อยู่กับพวกเธอ
เทียนหลางที่ได้เห็นแบบนั้นก็คิดเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า
“อืม… ถ้าหากพวกเธออยากจะเจอฉันจริงๆ และฉันเองก็ไม่ได้ว่างนักเนื่องจากทำงานกับรัฐบาล…”
ซูหลินและหลินเสวี่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็หันมามองหน้าเทียนหลางพร้อมกัน ไม่เว้นแม้แต่ตู่เชิงที่กำลังซดน้ำซุปอยู่ก็เช่นกัน
จากนั้นเทียนหลางก็ได้พูดว่า
“งั้นพวกเธอก็ย้ายมาอยู่กับฉันสิ”