The simple life of the emperor - ตอนที่ 88
หลังจากที่ซูหลินและหลินเสวียเข้ามาในห้องตู่เชิงก็ตกใจเล็กน้อยก่อนจะหันไปกระซิบกับเทียนหลางว่า
”นายรู้จักพวกเธอด้วยงั้นเหรอ ?”
”แน่นอนสิ ทำไมงั้นเหรอ ?”
เมื่อรู้ว่าเทียนหลางรู้จักผู้หญิงทั้งสองคนตู่เชิงก็ถึงกับทำตาโตทันทีเทียนหลางมองเขาด้วยใบหน้าสงสัยก่อนจะเอ่ยถาม
”มีอะไรรึเปล่า ?”
”มีสิต้องมีแน่นอนอยู่แล้ว !!”
ตู่เชิงโวยวายออกมาทันทีทำให้ทั้งห้องถึงกับหันมามองเขาเป็นตาเดียวกัน จากนั้นตู่เชิงก็เริ่มอธิบายให้กับเทียนหลางได้ฟังว่า
”นายไม่รู้หรือไงว่า หลินเสวียนะเป็นถึงคุณหนูตระกูลหลินทายาทเศรษฐีหมื่นล้านเลยเชียวนะครอบครัวของเธอเป็นถึงนักธุรกิจใหญ่อันดับต้นๆในประเทศ และก็รุ่นพี่ซูหลินนั้นเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของผู้เฒ่าหลี่แห่งจิงไห่แม้เขาจะไม่ได้เป็นครอบครัวนักธุรกิจเหมือนตระกูลหลินแต่ผู้เฒ่าหลี่ก็มีอิจธิพลมากทั้งในรัฐบาลและโลกใต้ดิน นี่นายอยู่เมืองนี้จริงหรือเปล่าเนี้ย ถึงได้ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย ?”
เทียนหลางพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับหันไปถามสองสาวที่กำลังสั่งอาหารกับพนักงานอยู่
”จริงตามที่เขาว่างั้นเหรอ ?”
ทั้งสองคนก็ตอบกลับเพียงพยักหน้าเบาๆก่อนที่ซูหลินจะเอ่ยถามกับเทียนหลางว่า
”ช่วงนี้นายหายไปไหนมา ?”
เทียนหลางที่ได้ยินคำถามก็ตอบกลับไปอย่างง่ายๆ
”พอดีมีธุระนิดหน่อยนะ”
”ธุระ ? ถึงขั้นต้องทิ้งฉันกับน้องเสวียให้ดูแลร้านกันสองคนเลยเหรอ นายนี่เป็นสามีที่ใช้ไม่ได้จริงๆ”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ได้แต่เกาหัวเบาๆ ทางด้านตู่เชิงที่ได้ยินคำพูดของซูหลินก็ถึงกับตะลึงจนตาแทบจะถลนออกจากจากเบ้าก่อนจะเข้าไปเขย่าตัวของเทียนหลางรัวๆพร้อมกับถามออกไป
”เมื่อกี้ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม ห๊ะ เทียนหลาง !?”
”ได้ยินอะไร ?”
เขาถามกลับไปด้วยความสงสัย
”ก็เมื่อกี้รุ่นพี่ซูบอกว่านายเป็นสามีของเธอ จริงหรือเปล่า !?”
เทียนหลางไม่ตอบกลับอะไรทำได้เพียงแต่พยักหน้าเท่านั้น เมื่อตู่เชิงได้ยินคำยืนยันของเทียนหลางแล้วใบหน้าของเขาก็แลดูเหมือนจะแกลงไปห้าหกปี เทียนหลางมองตู่เชิงด้วยสายตาสงสารก่อนจะเอ่ยถาม
”นายเป็นอะไรของนาย ?”
”ก็นายเล่นฉกชิงดาวของคณะบริหารไปถึงสองคนเชียวนะ นายไม่รู้หรือไงว่าคุณหนูหลินเสวียนะวันแรกที่เธอได้เข้ามาในมหาลัย เธอก็กลายเป็นดาวของคณะบริหารอย่างทันทีเลยด้วยความงดงามและฐานะของเธอ ส่วนรุ่นพี่ซูนั้นก็เป็นดาวของคณะเมื่อปีก่อน และในตอนนี้นายกับเอาทั้งคู่ไปครอบครองเพียงคนเดียว นายนี่มัน !!”
เทียนหลางหัวเราะพร้อมกับตบไหล่ตู่เชิงเพื่อปลอบใจเขาพร้อมกับบอกว่าเขาจะเลี้ยงมื้อนี้เพื่อเป็นการปลอบใจเอง ซึ่งตู่เชิงก็พยักหน้าตอบรับด้วยใบหน้าเศร้าเล็กน้อย
หลังจากมื้ออาหารมื้อใหญ่หลินเสวียและซูหลินนั้นมีคลาสเรียนต่อพวกเธอเลยขอตัวกลับไปก่อน ส่วนตู่เชิงนั้นมีธุระที่หอพักจึงขอกลับไปด้วยเช่นกันตอนนี้ก็เหลือเพียงเทียนหลางคนเดียวเท่านั้นเขาจึงคิดจะไปเดินเที่ยวที่ตลาดทองคำสักเล็กน้อยเผื่อจะเจอของดีบางอย่างเข้าก็ได้
————————————————————————————————————
ช่วงเย็นเทียนหลางกลับมาถึงบ้านพร้อมกับของจำนวนนิดหน่อย หลังจากที่กลับมาเทียนหลางก็ไปหาเิงหยวนที่กำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะ เมื่อเขามองไปที่กระดาษแผ่นใหญ่บนโต๊ะก็เห็นว่าเิงหยวนกำลังวาดภาพพูกันอยู่ซึ่งเป็นภาพของมังกรที่กำลังแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งเขาสัมผัสได้ถึงเจตจำนงอ่อนๆที่เคลื่อนไหวอยู่ในภายวาด
เทียนหลางมองภาพวาดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
”สวยจังเลยน๊า ผมขอเอาไปแขวนที่ร้านได้ไหม”
เฟิงหยวนที่ได้ยินก็พูดขึ้นอย่างใจเย็น
”เอาไปสิ ยังไงฉันก็ไม่ได้เอามันไปทำอะไรอยู่แล้ว”
”ขอบคุณครับ”
เทียนหลางกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มพร้อมกับนั่งลงมองเฟิงหยวนวาดรูปพร้อมกับคิดอะไรบางอย่างไปด้วย ในขณะนั้นเทียนหลางก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาพร้อมกับนำป้ายหยกออกมาจากแหวน เฟิงหยวนที่เห็นป้ายหยกก็หันมามองเขาเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปสนใจภาพวาดของเธอต่อ
เทียนหลางมองป้ายหยกนั้นเล็กน้อยก่อนจะหันมาพูดกับเฟิงหยวน
”ที่รัก คุณไปงานประมูลร้อยสำนักกับผมไหม ?”
เฟิงหยวนที่ได้ยินก็ถามออกมาด้วยความแปลกใจ
”น่าแปลก ทำไมคุณถึงชวนฉันไปงานนั่นหล่ะ ?”
”ก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอก ผมแค่อยากพาคุณออกไปดูอะไรบ้างอยู่ในบ้างอุดอู้เปล่าๆ”
เฟิงหยวนที่ได้ฟังคำอธิบายก็วางพูกันลงก่อนจะพร้อมก่อนจะตอบกลับเทียนหลางไปว่า
”ก็ได้ แต่ถ้าฉันอยากอะไรคุณต้องประมูลมันมาให้ฉัน”
”เข้าใจแล้ว”
”แล้วงานประมูลร้อยสำนักอะไรนั่นจัดขึ้นที่ไหนกันหล่ะ ?”
เทียนหลางลูบคางเบาๆก่อนจะตอบกลับ
”ดูเหมือนว่าจะเป็นหุบเขาจือหยวนละนะ”
————————————————————————————————————
หนึ่งเดือนต่อมาเทียนหลางและเฟิงหยวนมาโผล่ที่เมืองจือหยวนซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ด้านล่างของหุบเขาซึ่งเมื่อเข้ามาภายในเมืองทั้งคู่ก็พบว่าทั้งเมืองในตอนนี้เต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะมากมายไปหมด
ภายในเมืองจือหยวนนั้นคล้ายคลึงกับเมืองในสมัยโบราณของจีนทั้งตึก ทั้งบ้านนั้นถูกสร้างในรูปแบบเก่าแก่โบราณซึ่งให้บรรยากาศเหมือนนำตัวเองเข้าไปในโลกของผู้ฝึกยุทธในนิยายไม่มีผิด เทียนหลางและเฟิงหยวนที่ได้เห็นเมืองเหล่านี้ก็ทำเอาพวกเขาหวนนึงถึงความทรงจำเก่าๆขึ้นมาก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปที่โรงเตี้ยมแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยผู้คน
เมื่อเข้ามาด้านในทั้งคู่ก็ต่างตกเป็นเป้าสายตาทันทีแน่นอนว่าเพราะเฟิงหยวน เฟิงหยวนนั้นตอนนี้อยู่ในชุดคลุมสีฟ้าครามยาวและสวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้แม้เธอจะสวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้ก็ตามแต่เพราะความงามของเฟิงหยวนนั้นยากที่จะหาใครเทียบได้ทำให้เธอนั้นต่างตกเป็นเป้าสายตาของคนได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อทั้งคู่นั่งที่โต๊ะพร้อมกับสั่งอาหารก็มีคนเข้ามาวุ่นวายกับพวกเขาทันที
”แม่นางช่างงดงามยิ่งนัก สนใจจะไปร่วมทานอาหารกับพวกข้าได้หรือไม่ ?”
เทียนหลางเงยหน้ามองชายหนุ่มที่เข้ามาวุ่นวายที่โต๊ะของเขาก็พบว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่มาพร้อมกับลูกน้อยหลายคนเขาเหลือบมองคนพวกนี้อยู่ครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะหันกลับไปสนใจอย่างอื่นต่อ
ทางด้านของเฟิงหยวนก็หันไปพวกพวกเขาอยู่เพียงช่วงสั้นๆเท่านั้นก่อนจะเลิกสนใจ
เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้มีท่าทีจะสนใจใยดีเขาเลยเขาก็ถึงกับเลือดขึ้นหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองเทียนหลางที่นั่งอยู่ข้างๆก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
”เอาอย่างงี้เป็นไงแม่นาง ดูเหมือนแม่นางคงจะลำบากที่ต้องดูแลเด็กงั้นสินะ เช่นนั้นจะให้เพื่อนของข้าช่วยดูแลเขาให้ส่วนแม่นางจะได้มีเวลาไปร่วมทานอาหารกับข้า”
เทียนหลางที่ได้ฟังชายหนุ่มคนนั้นพูดเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยความรำคาญ
”เลิกพูดไร้สาระแล้วกลับไปกินอาหารของพวกเจ้าซะ ก่อนที่ข้าจะหมดความอดทน”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินคำพูดของเทียนหลางก็ถึงโกรธจนมีเส้นเลือดปูดออกมาที่หน้าผากอย่างเห็นได้ชัด เขาตะโกนเสียงดังใส่เทียนหลางทันที
”ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอนี่ คงต้องสั่งสอนเสียหน่อย”
ทันทีที่พูดจบชายหนุ่มก็ชกหมัดเข้าใส่เทียนหลางทันทีอย่างรวดเร็วพร้อมกับไอร้อนที่ถูกปล่อยออกมาจากหมัดของเขา หมัดที่รวดเร็วพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเทียนหลางพร้อมกับรอยยิ้มของชายหนุ่ม
แต่ก่อนที่หมัดของเขาจะสัมผัสโดนใบหน้าของเทียนหลาง หมัดของเขาก็ถูกหยุดเอาไว้อย่างง่ายดายด้วยตะเกียบคู่หนึ่งเขามองไปที่เจ้าของตะเกียบคู่นั้นก็ถึงกับตะลึงไปเล็กน้อยเพราะเจ้าของตะเกียบนั้นก็คือเทียนหลางนั่นเอง
เทียนหลางหยุดหมัดชายตรงหน้าด้วยตะเกียบในมือ ก่อนที่เขาจะมองไปที่ชายคนนั้นพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
”ดูเหมือนแกจะไม่รักชีวิตของตัวเองแล้วซินะถึงได้กล้าทำแบบนี้”
เมื่อสิ้นเสียงของเทียนหลางกระแสลมอันรุนแรงก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลที่ถูกปล่อยออกมา ด้วยแรงกดดันอันมหาศาลของเทียนหลางมันได้ครอบคลุมไปทั่วทั้งโรงเตี้ยมจนถึงกับทำให้โรงเตี้ยมถึงกับสั่นสะเทือน