The simple life of the emperor - ตอนที่ 10
หลายวันผ่านไปร้านของเทียนหลางก็ยิ่งคึกคักมากขึ้นอีกจำนวนลูกค้าเพิ่มมากขึ้นเป็นจำนวนมากจนพ่อและแม่ของเขานั้นเริ่มที่จะทำงานหนักขึ้น เทียนหลางจึงต้องการที่จะหาจ้างพนักงานเพิ่ม แต่เขาติดประกาศไปสองวันแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววเลยแม้แต่คนเดียวทำให้เริ่มคิดหนัก
‘อืม… คนสมัยนี้ไม่ทำงานกันรึไงนะ ฉันติดประกาศไปตั้งสองวันแล้วไม่เห็นมีใครมาเลย’
ในขณะที่เทียนหลางกำลังคิดอยู่นั้นประตูของร้านก็ได้เปิดออก ปรากฏให้เห็นหญิงสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งอายุราว ๆ 20-21 ปี เดินเข้ามาด้วยท่าทางเขินอายพร้อมกับเอ่ยถามกับเทียนหลาง
”ขอโทษนะคะ พอดีฉันมาตามใบประกาศที่ติดอยู่เห็นว่าที่นี้อยากรับพนักงานเสริฟใช่รึเปล่าคะ ?”
เมื่อเทียนหลางเห็นเธอเขาก็ลุกขึ้นและเดินตรงไปยังด้านหน้าของเธออย่างรวดเร็วก่อนมองขึ้น ๆ ลง ๆ เมื่อเธอเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเทียนหลางกำลังจ้องมองเธออยู่นั้น เธอก็ได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
เทียนหลางจ้องมองเธออยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้น
”อืม… รับเลยแล้วกันเวลาเริ่มงานคือ หนึ่งทุ่มถึง ห้าทุ่มของทุกวันเงินเดือนก็ สามพันเหรียญต่อเดือนส่วนทิปที่ลูกค้าให้นั้นไม่นับพอใจรึเปล่า ?”
ทันทีที่เธอได้ยินคำพูดของเทียนหลางเธอก็ตกใจเล็กน้อย เธอไม่ติดว่าร้านอาหารธรรมดา ๆ ร้านนี้จะให้เงินเดือนมากขนาดนี้เธอเป็นนักศึกษาที่เรียนอยู่ที่มหาลัยใกล้ ๆ นี้และหอพักของเธอก็อยู่ไม่ไกลเช่นกัน แต่เพราะฐานะทางบ้านของเธอนั้นไม่ได้ดีมากนักทำให้เธอต้องออกมาหางานพิเศษ
และงานพิเศษที่เธอเคยทำนั้นได้เพียงแค่หนึ่งพันห้าร้อยเหรียญต่อเดือนเท่านั้นไม่คิดเลยว่าที่นี้จะให้มากกว่าถึงสองเท่า โดยไม่ลังเลเธอติดสินใจรับงานทันทีและพูดคุยถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนจะขอตัวกลับเพื่อเตรียมตัวสำหรับเริ่มงานในคืนนี้
หลังจากที่พูดคุยกันได้สักพักเทียนหลางก็ได้รู้ว่าเธอนั้นชื่อ ยู่หมิงเป็นนักศึกษาที่มหาลัยจิงไห่ใกล้ ๆ นี้ในตอนแรกเทียนหลางไม่รู้ว่าเขานั้นให้เงินเดือนที่เหมาะสมกับเธอรึเปล่าเพราะเขาไม่ค่อยรู้กะเกณฑ์การให้เงินเดือนของโลกนี้มากนัก แต่ดูจากปฏิกิริยาของเธอที่รับงานในทันทีก็พอจะให้เขาเดาได้แล้วว่าเงินที่เขาเสนอให้นั้นมากกว่าที่อื่นอยู่พอตัว
แต่พอคิดไปคิดมากอยู่สักพักเทียนหลางก็รู้สึกว่าเขานั้นอาจจะให้เงินเดือนเธอน้อยไปเพราะจำนวนลูกค้าในแต่ละคืนนั้นมากมายเหลือเกิน และในแต่ละคืนเทียนหลางทำรายได้มากกว่าหนึ่งหมื่น เขาเลยคิดว่าอาจไม่ยุติธรรมมากนัก
”ช่างมันเถอะถือว่าเป็นช่วงทดลองงานก็แล้วกัน แล้วค่อยขึ้นเงินเดือนทีหลัง”
ในขณะที่เทียนหลางกำลังจะลุกขึ้นและกลับไปพักผ่อนเขาก็ได้ยินเสียงดังเอะอะบางอย่างที่นอกร้าน
ตึง ตึง
”ออกมาเดียวนี้นะเว้ย !!”
เทียนหลางสงสัยจึงเปิดประตูออกไปก็พบเห็นผู้ชายจำนวนหนึ่งกำลังยืนออกันอยู่หน้าร้าน เมื่อเทียนหลางเห็นจึงถามออกไปอย่างสบาย ๆ
”พวกนายมีธุระอะไร ?”
เมื่อหนึ่งในนั้นเห็นเทียนหลางเปิดประตูออกมาเขาก็ถามขึ้นทันที โดยที่ไม่สนใจคำพูดของเทียนหลางเลยแม้แต่น้อย
”นายเป็นเจ้าของร้านนี้ใช่ไหม ?”
”ก็ไม่เชิง ว่าแต่พวกนายมีธุระอะไร ?”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบของเทียนหลางพวกเขาก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”นี่น้องชายพวกพี่จะพูดเข้าเรื่องเลยแล้วกัน น้องชายช่วยจ่ายค่าคุ้มครองมาทั้งหมดหนึ่งพันเหรียญ”
เมื่อเทียนหลางได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาและพูดขึ้น
”ฉันชอบนะที่พวกนายพูดตรง ๆ แต่แน่นอนว่าฉันไม่ให้กลับกันฉันมีข้อเสนอให้กับพวกนาย”
”ข้อเสนอ ? ข้อเสนออะไร ?”
เทียนหลางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น
”ใครเป็นหัวหน้าของพวกนาย ?”
ทันทีที่ได้ยินคำถามของเทียนหลาง ผู้ชายคนหนึ่งที่ดูอายุมากสุดในกลุ่มก็ได้เดินออกมาจากด้านหลังพร้อมกับพูดออกมา
”ฉันเอง นายต้องการอะไร ?”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะถามขึ้น
”อืม… ดีงั้นฉันขอถามหน่อยพวกนายคุมแถวนี้ใช่ไหม ?”
”ใช่แล้ว”
เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าพร้อมกับถูคางเบา ๆ และครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะถามอีกข้อ
”และพวกนายทำงานเก็บค่าคุ้มครองมีรายได้เท่าไหร่ต่อเดือน”
ชายคนนั้นคิดสักพักก่อนจะพูดขึ้น
”ไม่มากนักตกเดือนก็คนละ หกถึงเจ็ดร้อย”
เทียนหลางพยักหน้าพร้อมกับชะโงกหัวไปมองด้านหลังชายคนนั้น กลุ่มของพวกเขามีทั้งหมด 11 คนเท่านั้นจากการคาดเดาเทียนหลางคาดว่าพวกเขาคงทำรายได้เพียงแค่หมื่นหรือสองหมื่นต่อเดือนเท่านั้น เทียนหลางขบคิดสักพักก่อนจะพูดขึ้น
”แทนที่พวกนายจะออกไปทุบตีร้านนู้นร้านนี้ ทำไมพวกนายไม่มาทำงานให้กับร้านของฉันหล่ะ ? ฉันจะให้พวกนายคนละหนึ่งพันต่อเดือน และในอนาคตอาจจะมากขึ้นด้วย”
เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของเทียนหลางก็ตกใจเล็กน้อยพร้อมกับคิดถึงเรื่องที่เทียนหลางพูดแม้ว่าเทียนหลางจะให้เงินเดือนแก่พวกเขามากกว่าเดิมนิดหน่อยแต่มันก็ดีกว่าที่ต้องไปนั่งทุบตีร้านค้าพวกนั้นให้เจ็บตัว และบางครั้งพวกเขาก็ไม่ได้เงินด้วยซ้ำแถมยังต้องเสียเงินค่าทำแผลอีกด้วย
เรียกได้ว่าข้อเสนอของเทียนหลางน่าดึงดูดใจไม่น้อย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจะตัดสินใจอะไรได้ เพราะต้องรอให้พี่ใหญ่หรือชายที่อยู่ด้านหน้าเป็นคนตัดสินเพราะเขานั้นเปรียบเสมือนพี่ชายแท้ ๆ ของพวกเขา
ชายคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ฉันเคยเป็นทหารมาก่อน ดังนั้นฉันจะไม่ทำงานให้กับคนที่อ่อนแอกว่าฉันอย่างแน่นอน”
เมื่อเทียนหลางได้ยินก็พยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทางสบาย ๆ
”งั้นโจมตีมาได้เลย”
”ฉันไม่ต่อสู้กับเด็กหรอกนะ”
ทันทีที่เทียนหลางได้ยินคำพูดของชายคนนั้น เทียนหลางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้น
”ดูเหมือนนายจะเป็นกุ้ยข้างถนนมานานเกินไปแล้ว จิตวิญญาณการต่อสู้ของนายนั้นคงหายไปหมดแล้ว น่าเสียดาย”
เมื่อเทียนหลางพูดจบเขาก็เดินกลับเข้าไปในร้าน ขณะนั้นเขารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่กำลังใกล้เข้ามาประชิดตัวของเขาอย่างรวดเร็ว เทียนหลางยิ้มอยู่ภายในใจก่อนจะสบัดแขนเบา ๆ และจับชายคนนั้นเหวี่ยงออกไปอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีใครได้ทันตั้งตัว ทันทีที่พวกเขารู้สึกตัวพวกเขาก็เห็นพี่ใหญ่ของเขาปลิวเข้าไปชนกับกำแพงเสียแล้ว ทำให้พวกเขาต่างทำอะไรไม่ถูกและมองเทียนหลางด้วยความกลัว
ส่วนชายที่ถูกโยนออกไปกระแทกกับกำแพงนั้นก็กระอักเลือดออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดขัด
”นายชนะ ฉันจะยอมทำงานให้กับนาย”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”งานง่าย ๆ แค่พวกนายคอยดูแลร้านนี้และลูกค้าก็พอ และคอยไล่พวกที่คอยก่อกวนร้านฉันออกไป ร้านเปิดทุกวัน หนึ่งทุ่มถึงห้าทุ่ม”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็เดินกลับเข้าไปในร้านก่อนจะเข้าร้านเทียนหลางยื่นเงินให้กับหนึ่งในลูกน้องของเขาไปสองร้อยเหรียญเพื่อพาลูกพี่ของเขาไปโรงพยาบาลหลังจากเทียนหลางกลับเข้ามาในร้านเขาก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะไม่คิดว่าเขาจะได้ลูกน้องมารวดเร็วขนาดนี้ แถมหนึ่งในนั้นยังเคยเป็นทหารซึ่งถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
”ในวันเดียวฉันได้เบ้มาถึง 11 คน อืม… อนาคตความสะดวกสบายของฉันคงอยู่ไม่ไกลแล้วสินะ แถมฉันต้องจ่ายให้พวกนั้นเพียงเดือนละหมื่นหนึ่งพันเหรียญ หรืออาจจะมากกว่านั้นเล็กน้อยด้วยความสามารถของลูกพี่ของพวกเขา แต่ก็ยังถือว่าถูกอยู่ดี นับได้ว่าเป็นลูกจ้างราคาถูกเลยทีเดียว ฮิฮิฮิ”
เทียนหลางจิบชาก่อนจะพูดขึ้นเบา ๆ
”อาาาา ~ นี่คือโชคของผู้เคยเป็นจักพรรดิสินะ”