The simple life of the emperor - ตอนที่ 102
เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่พอใจของฮ่าวเทียนหลาง เสนาบดีฉวีก็ถึงกับคุกเข่าพร้อมกับกล่าวขอโทษเขาทันที
”ท่านฮ่าวเทียนหลาง ข้าต้องขออภัยในความหยาบคายของนายพลฉางด้วย เขายังเยาว์และมิรู้เรื่องโปรดให้อภัย”
ฮ่าวเทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็มองไปที่นายพลหนุ่มแซ่ฉางที่กำลังคุกเข่าอยู่นั้นเขาก็ถอนจิตสังหารลงก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ
”เจ้าควรจะรู้ว่าต้องทำตัวเยี่ยงไรเสนาบดีฉวี เพราะเจ้าก็มาจากดินแดนเบื้องบนเช่นกัน”
เสนาบดีฉวีที่ได้ยินแบบนั้นก็โขกหัวกับพื้นก่อนจะเอ่ย
”ข้าน้อยทราบแล้วท่านฮ่าวเทียนหลาง จะมิมีครั้งหน้าอีกแล้ว”
”แน่นอนจะไม่มีครั้งหน้าอีก เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะช่วยเหลือราชวงศ์ของเจ้า”
เมื่อเสนาบดีฉวีได้ยินแบบนั้นก็ตกลงใจเป็นอย่างมากเขาเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับจะพูดอะไร แต่ฮ่าวเทียนหลางก็ได้พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
”เจ้ารู้ว่าข้าหมายความว่ายังไง ข้อสัญญาระหว่างข้ากับราชวงศ์ของเจ้าสิ้นสุดลง ณ ตรงนี้จะไม่มีครั้งหน้าอีก”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของฮ่าวเทียนหลางเสนาบดีฉวีก็แสดงสีหน้าไม่สบายใจออกมาทันที ฮ่าวเทียนหลางจึงเอ่ยขึ้นว่า
”เจ้าไม่ต้องกังวลองค์จักรพรรดิของเจ้าจะเข้าใจเรื่องนี้”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของฮ่าวเทียนหลางเสนาบดีฉวีก็ได้แต่ทำหน้าจนใจก่อนจะกล่าวขอบคุณและพานายพลฉางที่กำลังสติแตกออกไป
หลังจากที่เสนาบดีฉวีและนายพลฉางออกไป เด็กสาวที่พึ่งเดินออกมาก็ถามฮ่าวเทียนหลางผู้เป็นอาจารย์ของเธอว่า
”ท่านอาจารย์เหตุใดต้องปล่อยพวกเขาไปด้วยละ ในเมื่อเขาดูถูกท่าน ?”
ฮ่าวเทียนหลางที่ได้ยินก็หัวเราะออกมาก่อนจะเอ่ยขึ้น
”เราไม่ควรทำร้ายผู้คนส่งเดชแม้เราจะแข็งแกร่งกว่าคนผู้นั้นก็ตาม เพราะบางทีคนผู้นั้นอาจนำภัยมาให้เราในภายหลังได้เจ้าเข้าใจไหมเยี่ยเอ๋อ”
เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าเยี่ยเอ๋อก็พยักหน้าพร้อมกับเอ่ยว่า
”ข้าเข้าใจแล้วท่านอาจารย์”
ฮ่าวเทียนหลางยิ้มก่อนจะลุกขึ้น
”เอาละเรามาเข้าบทเรียนของวันนี้กันดีกว่า”
”บทเรียนของวันนี้ ?”
ฮ่าวเทียนหลางพยักหน้าพร้อมกับอธิบาย
”ข้าเคยบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าจะพาเจ้ามาเรียนรู้โลกภายนอก”
เยี่ยเอ๋อพยักหน้า ฮ่าวเทียนหลางจึงเอ่ยขึ้น
”เช่นนั้นก็ตามข้ามา”
เมื่อพูดจบฮ่าวเทียนหลางก็สะบัดแขนเสื้อเบาๆก่อนที่บรรยากาศด้านหน้าของเขาจะเกิดการบิดเบี้ยวและแตกออกจนเกิดเป็นรอยแยกสีดำขึ้น ทางด้านเยี่ยเอ๋อที่กำลังเตรียมตัวอยู่นั้นเมื่อเห็นรอยแยกตรงหน้าของผู้เป็นอาจารย์เธอก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเหมือนกับว่าเคยเห็นเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ
ฮ่าวเทียนหลางเดินนำเยี่ยเอ๋อเข้าไปด้านในรอยแยกก่อนจะมาโผล่ยังสถานที่หนึ่ง
ทั้งคู่โผล่มาบนภูเขาที่หนึ่งซึ่งด้านล่างนั้นต่างมีเสียงเอะอะโวยวายดังไปทั่วบริเวณ ฮ่าวเทียนหลางที่มองสถานะการณ์เบื้องล่างอยู่นั้นเขาก็พูดขึ้นมาอย่างใจเย็น
”เยี่ยเอ๋อ ไหนบอกข้าเกี่ยวกับสถานะการณ์ด้านล่างนั่นสิ”
เยี่ยเอ๋อมองไปด้านล่างซึ่งเห็นการต่อสู้กันของคนนับพันที่ต่างเข้าโรมรันฟาดฟันกันอย่างดุเดือด ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีบัดนี้กลายเป็นทะเลเลือดที่เต็มไปด้วยซากศพ เยี่ยเอ๋อมองสงครามตรงหน้าก่อนจะเอ่ยกับผู้เป็นอาจารย์ของเธอ
”ข้าเห็นเพียงสงคราม และการฆ่าฟันเท่านั้นท่านอาจารย์”
เมื่อเธอพูดจบก็มองไปยังใบหน้าของอาจารย์ของเธอเพื่อที่จะยืนยันคำตอบ แต่เขากลับส่ายหัวเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
”ลองมองเข้าไปให้ลึกกว่านี้ซิ”
เยี่ยเอ๋อพยักหน้าพร้อมกับมองอย่างตั้งใจ เพียงไม่เวลานานเธอก็ได้สังเกตุเห็นบางสิ่งในตัวของพวกเขาเยี่ยเอ๋อจึงพูดขึ้น
”ข้าเห็นความโกรธ เกลียด เคียดแค้นชิงชังในนัยน์ตาของพวกเขา”
เมื่อเธอตอบเสร็จก็หันมาทางฮ่าวเทียนหลางเพื่อรอฟังคำตอบ ฮ่าวเทียนหลางก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพูดขึ้น
”มีคนเคยพูดไว้ ดวงตาคือประตูสู่ของจิตใจผู้คน หากเจ้าต้องการจะรู้ว่าคนผู้นั้นคิดสิ่งก็จงจดจ้องที่ดวงตาของคนผู้นั้น”
เยี่ยเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นก็เกิดสงสัยขึ้นมาก่อนจะเอ่ยถาม
”แล้วมันจริงหรือเปล่าท่านอาจารย์ ?”
ทางด้านฮ่าวเทียนหลางที่ได้ยินก็ยิ้มพร้อมกับตอบกลับ
”โกหกทั้งเพต่างหากหละ”
”ไหงถึงเป็นเรื่องโกหกกันหล่ะท่านอาจารย์ ?”
ฮ่าวเทียนหลางที่ได้ยินก็ยิ้มพร้อมกับเอ่ยออกมา
”เพราะเนื้อแท้ของมนุษย์นั้นคือการโกหกยังไงหล่ะ”
เมื่อเยี่ยเอ๋อได้ยินแบบนั้นเธอก็แสดงสีหน้าสงสัยออกมา ฮ่าวเทียนหลางจึงได้อธิบาย
”มนุษย์นั้นมีความโลภที่เหนือเกินกว่าจะจินตนาการได้ พวกเขามักจะโกหกเพื่อให้ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ”
เยี่ยเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นเธอก็ถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้
”แม้แต่คนที่อ่านความคิดของผู้อื่นได้ก็ไม่สามารถที่จะรับรู้ได้งั้นเหรอท่านอาจารย์ ?”
ฮ่าวเทียนหลางพยักหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้น
”ความคิดของผู้คนเปลี่ยนแปลงได้เสมอเฉกเช่นนเดียวกับเวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่ง”
”แล้วสงครามข้างล่างนั้นละคะเกิดขึ้นจากอะไร ?”
”อาจารย์เองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน ต้นเหตุของสงครามนั้นมีมากมายนักตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปยังเรื่องใหญ่ มนุษย์มักหาเหตุผลมารองรับการกระทำของตัวเองอยู่เสมอนั่นแหละไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย เพราะนั่นคือแก่นแท้ของมนุษย์ยังไงหล่ะ”
เมื่อพูดจบฮ่าวเทียนหลางก็ลูบหัวของเยี่ยเอ๋อเบาๆพร้อมกับเฝ้ามองสนามรบตรงหน้า