The simple life of the emperor - ตอนที่ 46
องครักษ์เทาเจาได้ยินที่เทียนหลางเรียกก็ยิ้มแหะ ๆ ออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”แหม ~ ท่านก็พูดไปหากข้าไม่ได้ท่านเทียนช่วยฝึกพวกข้าป่านนี้พวกข้าคงเป็นแค่ผู้บ่มเพาะเร่ร่อนเท่านั้น”
เป็นจริงอย่างที่องครักษ์เทาเจาพูดเดิมทีเขาและพี่น้องในหน่วยองครักษ์นั้นเป็นเพียงเด็กกำพร้าเร่ร่อนเท่านั้นแม้พวกเขาจะอยู่ในดินแดนระดับกลาง แต่เพราะพวกเขาเป็นเพียงเด็กเร่ร่อนจึงไม่ได้รับการสั่งสอนเรื่องการบ่มเพาะ แต่เพราะมีอยู่วันหนึ่งที่เทียนหลางลงไปทำธุระที่ดินแดนนั้นและบังเอิญพบเจอพวกเขาขณะกำลังล่าสัตว์อสูรระดับต่ำอยู่แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงเด็กธรรมดาก็ตาม
เทียนหลางรู้สึกถูกใจในความกล้าหาญของพวกเขาจึงพาพวกเขากลับมาด้วยหลังจากทำธุระเสร็จ และรับพวกเขาเป็นศิษย์สายนอกและสอนสิ่งต่าง ๆ ให้แต่เพราะพรสวรรค์ของพวกเทาเจาทำให้เทียนหลางฝึกพวกเขาให้กลายเป็นองครักษ์สวรรค์เพื่อให้คอยทำงานให้กับเขา
อันที่จริงที่เทียนหลางนำพวกเขากลับมาฝึกเป็นศิษย์สายนอกก็เพราะเทียนหลางอยากจะได้คนรับใช้ที่คอยไปทำภาระกิจที่ดินแดนต่าง ๆ แทนเขาเพียงเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าเทาเจาและพี่น้องทำได้ดีกว่าที่คิดจึงให้พวกเขามาเป็นองครักษ์สวรรค์แต่ถึงพวกเขาจะได้เลื่อนขั้นก็ตามแต่หน้าที่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่นัก
หลังจากรำลึกความหลังอยู่สักพักเทียนหลางก็เอ่ยถามกับเทาเจา
”ที่เจ้าลงทุนส่งสิ่งของจากแดนสวรรค์ลงมายังโลกนี้คงไม่ได้แค่คิดถึงข้าเท่านั้นใช่ไหม ?”
เมื่อเทาเจาได้ยินคำถามก็สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปจริงจังเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”เมื่อประมาณสามวันก่อนท่านเทพเห่อเถียร กับท่านเทพฟู่ฉินได้ต่อสู้กันขอรับ”
เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าพร้อมกับเอ่ยถาม
”สองคนนั้นตีกันอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ว่าแต่คราวนี้สาเหตุมาจากอะไรหล่ะ ?”
”ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะชอบนางฟ้าคนเดียวกันในหอนางโลมนะครับ หลังจากโต้เถียงกันสักพักก็เลยตีกัน”
เทาเจาพูดเพราะกับเกาแก้มเบา ๆ เทียนหลางที่ได้ยินก็หัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะพูดขึ้น
”แค่เทพสองคนตีกันทำไมเจ้าถึงต้องมารายงานข้าด้วยละ ?”
”ดูเหมือนระหว่างที่สู้กันเทพเห่อเถียรบังเอิญทำศิลาจักรวาลหล่นไปที่โลกนะสิครับ”
ทันทีที่เทียนหลางได้ยินคำว่าศิลาจักรวาลเขาก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย เพราะศิลาจักรวาลนั้นเป็นสิ่งที่หายากมากแม้จะเป็นที่แดนสวรรค์ก็ตามมันจึงกลายเป็นสิ่งที่ลำค่าอย่างมาก ศิลาจักรวาลเกิดจากที่พลังส่วนเกินของจักรวาลที่รั่วไหลออกมาและสั่งสมเป็นเวลาหลายพันปีจนเกิดเป็นก้อนศิลา แม้ขั้นตอนการกำเนิดของมันจะดูเหมือนง่ายแต่การที่จะหาแหล่งกำเนิดของพลังที่รั่วไหลออกมาเทียบได้กับงมเข็มในมหาสมุทรเลยทีเดียว
และศิลาจักรวาลนั้นสามารถนำมาสร้างอะไรได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นอาวุธหรือชุดเกราะ และสิ่งที่ถูกสร้างโดยศิลาจักรวาลมันจะกลายเป็นสมบัติระดับเทพทันทียกตัวอย่างเช่นแหวนมังกรดำบนนิ้วของเทียนหลางก็ถูกสร้างมาจากศิลาจักรวาลเช่นกัน
”งั้นเหรอ”
เทียนหลางตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ในใจของเขานั้นกลับรู้สึกอยากจะกระโดดโลดเต้นไม่น้อย ทางด้านเทาเจาก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรกลับพูดต่อว่า
”มันไม่เพียงแค่นั้นสิครับท่านเทียน ท่านก็รู้ว่าถ้าทั้งสองคนนั้นสู้กันจริงจังจะมีความเสียหายมากแค่ไหน”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเทาเจาเทียนหลางก็ไม่รู้จะปลอบเขายังไงเพียงได้แต่พูดว่า
”เอาน่า ๆ อย่าคิดมาก แล้วเจ้ามีเรื่องอะไรอีกไหม ?”
เทาเจาที่ได้ยินคำถามก็พยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้น
”มีครับ เพราะการที่ศิลาจักรวาลนั้นตกมาที่โลกของท่านทำให้เหล่าเทพและเผ่าอื่น ๆ ต่างต้องการมันเลยพากันส่งลูกสมุนมาที่โลกนี้กันเป็นจำนวนมากเลยครับโดยเฉพาะเผ่าปีศาจ”
เมื่อเทียนหลางได้ยินก็ลูบคางตัวเองเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้น
”เรื่องนั้นเจ้าคงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เพราะดินแดนระดับต่ำแบบโลกใบนี้นั้นพวกที่อยู่สูงกว่าระดับสวรรค์ไม่สามารถก้าวเข้ามาได้”
”นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ ปัญหาคือจำนวนต่างหาก”
เทาเจาแสดงท่าทีกังวลออกมา เทียนหลางก็ได้แต่ยิ้ม ๆ กับนิสัยของเทาเจาที่มักจะกังวลกับทุกเรื่องอยู่เสมอ ๆ หลังจากที่ทำให้เทาเจาหายกังวลแล้วเทียนหลางก็ถามอีกเรื่องหนึ่งที่คาใจเขาอยู่ไม่น้อย
”ว่าแต่เทาเจา เจ้าส่งกระจกนี่มาให้ข้าได้ยังไง ? เจ้าไม่น่าจะรู้ที่อยู่ของข้านี่”
เทาเจาที่ได้ยินคำถามก็แสดงท่าทีอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ขะ… ข้าอยู่มาจากเฒ่าขาวขอรับ”
เมื่อเทียนหลางได้ยินคิ้วของเขาก็กระตุกเล็กน้อยก่อนจะทุบโต๊ะพร้อมกับพูดขึ้น
”นี่ตาแก่นั่นแอบดูดวงชะตาข้าอีกแล้วงั้นเหรอ !!”
พูดถึงเฒ่าขาวแล้วเขาคือหนึ่งในห้าผู้เฒ่าของแดนสวรรค์ที่ได้รับความนับถือเป็นอย่างมากจากเหล่าเทพเพราะผู้เฒ่าแต่ละคนนั้นมีความสามารถที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากยกตัวอย่างเช่นเฒ่านำฮัวที่มีวิชาปรุงยาที่เรียกได้ว่าสามารถปรุงยาได้แทบจะทุกชนิด หรือแม้แต่เฒ่าหม่าเฉาที่มีรู้ด้านอาคมและการจารึกไม่น้อยไปกว่าเทียนหลางเลย
แต่สำหรับเฒ่าขาวนั้นหากไม่นับนิสัยที่มักจะไปเที่ยวหอนางโลมหรือคอยไปเที่ยวจีบนางฟ้าบ่อย ๆ แล้วเขานั้นคงจะได้นับการนับถือมากกว่านี้เพราะตัวเฒ่าขาวนั้นมีความรู้เรื่องการดูดวงและทำนายดวงชะตาที่เรียกได้ว่าแม่นยำร้อยเปอร์เซ็น
เทียนหลางกุมขมับเล็กน้อยก่อนจะพูดกับเทาเจา
”เทาเจาหลังจากเจ้าคุยกับข้าเสร็จ ข้าอยากให้เจ้าไปยึดคำภีร์ดวงชะตากับลูกแก้วทำนายของตาเฒ่านั่นซะ”
เมื่อเทาเจาได้ยินก็กุมขมับตัวเองก่อนจะถอนหายใจ
”คราวนี้จะยึดนานเท่าไหร่ครับ”
”สักสิบวันก็แล้วกันนะ”
”เข้าใจแล้วครับ”
เทาเจานั้นไม่ได้รู้สึกหนักใจหรือกังวลเลยแม้แต่น้อยกับคำสั่งที่ให้ไปยึดของวิเศษมาจากเฒ่าขาวที่เป็นถึงหนึ่งในห้าผู้เฒ่าสวรรค์ เพราะในอดีตผู้เฒ่าขาวมักจะโดนเทาเจายึดของวิเศษอยู่บ่อย ๆ จากการคำสั่งของเทียนหลาง เพราะด้วยนิสัยของเจ้าตัวที่มักจะไปก้อล่อก้อติดกับเหล่านางฟ้าหรือเหล่าเทพธิดาบ่อย ๆ ทำให้พวกนางนั้นมักจะมาฟ้องเทียนหลางอยู่เสมอ
หลังจากที่เทาเจาสั่งงานลูกน้องให้ไปยึดของวิเศษจากเฒ่าขาวแล้วเขาก็หันมาพูดคุยกับเทียนหลางต่อ
”แล้วท่านเทียน จะทำยังไงต่อไปครับ”
เทียนหลางที่ได้ยินคำถามก็เกาคางตัวเองเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้น
”แม้ว่าข้าจะสามารถสู้กับพวกที่ลงมายังโลกนี้ได้ทั้งหมดก็จริง แต่การจะให้ไปไล่ล่าพวกมันนั้น… มันออกจะเกินไปหน่อยแล้วข้าก็ขี้เกียจเกินกว่าจะทำด้วย”
เทาเจาที่ได้ยินแบบนั้นก็ร้องอ้าออกมาก่อนจะพูด
”แต่ว่าศิลาจักรวาลมันจะ…”
ยังไม่ทันที่เทาเจาจะได้พูดจบเทียนหลางก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
”เจ้านะคิดมากเกินไปแล้วเทาเจา ศิลาจักรวาลนั้นไม่ใช่ดอกเห็ดนะที่จะหาเจอกันได้ง่าย ๆ อีกอย่างหนึ่งการที่จะลงมายังดินแดนระดับต่ำแบบนี้คนที่มาจะต้องลงมาแบบตัวเปล่าซึ่งก็คือการบ่มเพาะจะลบออกไปเป็นเหมือนกับคนปกติ แล้วก็นะเทาเจาในโลกนี้นั้นการหาทรัพยากรบ่มเพาะนั้นยากเป็นอย่างมากเลยกว่าที่พวกนั้นจะออกมาอาละวาดได้ก็คงอีกหลายปีพอดู”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเทาเจาก็รู้สึกเบาใจลงมาบ้างก่อนจะพูดขึ้น
”จริงด้วยสิครับ มีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องออกกับท่านเทียน”
”เรื่องอะไรงั้นเหรอ ?”
”เรื่องของเทพธิดาเฟิงหยวนนะครับ”
เมื่อเทียนหลางได้ยินก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยก่อนจะถาม
”เฟิงหยวนทำไมงั้นเหรอ ?”
”เทพธิดาเฟิงหยวนนางนะ…..”
เมื่อได้ยินที่เทาเจาพูดเทียนหลางก็อดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะพูดขึ้น
”ข้าไม่คิดเลยว่านางจะทำแบบนั้น”
เทาเจาถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้น
”ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
”ขอบใจเจ้ามากเทาเจา หากมีอะไรเพิ่มเติมก็ติดต่อมาทางกระจกนี่ก็แล้วกัน”
”เข้าใจแล้วครับ”
เมื่อเสร็จการพูดคุยกับเทาเจาแล้วเทียนหลางก็เดินออกมายังสวนพร้อมกับพูดขึ้น
”ดูเหมือนชีวิตสงบสุขของข้าจะใกล้หมดเต็มทีเสียแล้ว”