The simple life of the emperor - ตอนที่ 62
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันเฟิงหยวนก็ถามขึ้น
”ว่าแต่ท่านพ่อลงมาที่ดินแดนระดับต่ำได้ยังไงกันคะ ? ไม่ใช่ว่ามันขัดกับกฏงั้นเหรอ ?”
เมื่อมหาเทพไท่ฟูก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น
”พ่อใช้อุปกรณ์พิเศษนิดหน่อยนะ มันสามารถทำให้พ่อมีเวลานิดหน่อยในการอยู่ที่ดินแดนระดับต่ำได้”
เทียนหลางที่ได้ยินก็หัวเราะออกมาเล็กน้อยทำให้มหาเทพไท่ฟูถึงกับหันมาจ้องเขาด้วยสายตาเขม็ง ก่อนที่เฟิงหยวนจะหันมาถาม
”คุณหัวเราะอะไรงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางหยุดหัวเราะก่อนจะพูดขึ้น
”เพราะผมไม่คิดว่ามหาเทพไท่ฟูผู้ใหญ่ถึงกับลงทุนใช้หยดน้ำตาสวรรค์อันล้ำค่าที่หามาได้ยากเพื่อลงขัดขวางงานแต่งของเรานะสิ”
”หยดน้ำตาสวรรค์ ?”
เฟิงหยวนเอียงคอสงสัย เทียนหลางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น
”คุณยังจำของขวัญที่ผมให้ได้เมื่อไม่กี่ปีก่อนได้ไหมที่มันเป็นหยกรูปหยดน้ำตาสีรุ้งนะ ?”
เมื่อเฟิงหยวนได้ยินเธอก็ทำท่าเหมือนจะนึกอะไรออก ก่อนจะเรียกหยกสีรุ้งรูปทรงหยดน้ำออกมาจากแหวนของเธอพร้อมกับเอ่ยถาม
”อันนี้อะเหรอ ?”
”ถูกแล้ว”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะอธิบาย
”เดิมทีหยดน้ำตาสวรรค์นั้นเกิดจาก น้ำตาของมังกรสวรรค์ที่ตกผลึกทุกๆ ห้าพันปีดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างมากซึ่งแม้แต่เหล่ามหาเทพก็ยังมีเพียงกันคนละไม่กี่อันเท่านั้น ซึ่งคุณสมบัติของมันนั้นเหมือนกับตุ๊กตาตัวแทน”
”ตุ๊กตาตัวแทน ?”
เฟิงหยวนงุนงงเล็กน้อย เทียนหลางยิ้มพร้อมกับพยักหน้า
”ใช่แล้ว เมื่อผู้ถือครองหยดเลือดลงไปบนหยดน้ำตาสวรรค์จิตวิญญาณของเขาจะถูกผูกกับมันทันที และเมื่อผู้ถือครองตายลงหยดน้ำตาสวรรค์ก็จะทำหน้าที่ของมันโดยการแตกสลายไปและทำให้ผู้ถือครองรอดพ้นจากความตายได้หนึ่งครั้ง แต่ใช่ว่าผู้ถือครองจะไม่เสียสิ่งใดโดยปกติแล้วสมบัติแบบนี้เมื่อผู้คือครองตายและฟื้นกลับมาการบ่มเพาะของพวกเขาจะถูกลดไปครึ่งหนึ่ง แต่หากมีหยดน้ำตาสวรรค์การบ่มเพาะของผู้ถือครองจะถูกลดลงเพียงแค่หนึ่งชั้นเท่านั้น”
เทียนหลางเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะอธิบายต่อ
”โดยปกติแล้วไม่ใช่ว่าเหล่าเทพจะลงมายังดินแดนระดับต่ำไม่ได้แต่หากลงมาพวกเขาจะมีเวลาเพียงไม่กี่นาทีก่อนจะถูกกฏเหล่านั้นบังคับแตกดับ แต่หากคนๆ นั้นมีหยดน้ำตาสวรรค์ก็จะทำให้อยู่รอดในดินแดนระดับต่ำได้อีกพักหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าแม้แต่มหาเทพก็ยังไม่อาจถูกละเว้นได้”
เฟิงหยวนที่ได้ยินคำอธิบายก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปหามหาเทพไท่ฟูก่อนจะพูดขึ้น
”งั้นท่านพ่อก็อยู่ที่นี้ได้อีกไม่นานนะสิ”
มหาเทพไท่ฟูก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ถูกต้อง พ่อไม่อาจอยู่กับเจ้าได้ไม่นานนักอย่างที่เจ้าหนูนั่นกล่าวพ่อมีเวลาอีกไม่มากก่อนที่จะแตกดับด้วยกฏ แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไปพ่อเพียงแค่เสียการบ่มเพาะไปหนึ่งชั้นเท่านั้นแค่กลับไปนั่งสมาธิสักสองสามพันปีการบ่มเพาะก็กลับมาเหมือนเดิมแล้ว”
มหาเทพไท่ฟูพูดให้เฟิงหยวนคลายกังวล เทียนหลางยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้พ่อลูกคุยกันหลังจากที่ทั้งคู่คุยกันได้สักพัก มหาเทพไท่ฟูก็หันมาพูดคุยกับเทียนหลาง
”เจ้าหนู”
”หืม ?”
หลังจากที่มหาเทพไท่ฟูเรียกเทียนหลางสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนมาจริงจังก่อนจะพูดขึ้น
”ช่วงนี้พวกเจ้าทั้งสองคนต้องระวังตัวเอาไว้หน่อยแล้วกันนะเพราะดูเหมือนจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นที่ดินแดนนรก มีปีศาจและมารระดับต่ำจำนวนมากหลุดออกมาและดูเหมือนพวกนั้นกำลังเดินทางมาที่โลกเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง ข้าคาดว่าอีกไม่นานทั้งเจ้าและเฟิงหยวนต้องปะทะกับพวกมันเป็นแน่”
เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าตอบรับก่อนจะพูดขึ้น
”ท่านไม่ต้องห่วงหรอก ถึงแม้พวกมันจะมาก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้มากมายนักเหมือนกฏของดินแดนระดับต่ำนั้นไม่สามารถจะถูกดูแคลนได้”
”เจ้าอย่าได้ใจเกินไปเจ้าหนู เพราะการที่ประตูนรกถูกเปิดออกโดยไร้คำสั่งของพวกข้านั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่นเป็นแน่”
”ข้าเข้าใจ ท่านไม่ต้องเป็นกังวล”
เมื่อได้ยินคำยืนยันมหาเทพไท่ฟูก็พยักหน้าก่อนจะหันมาคุยกับเฟิงหยวน
”หยวนเอ๋อ พ่อคงจะต้องไปแล้วลูกดูแลตัวเองดีๆ ด้วยละ”
”ข้าเข้าใจแล้วท่านพ่อ”
มหาเทพไท่ฟูพยักหน้าก่อนจะเรียกหยดน้ำตาสวรรค์ออกมาซึ่งมันแตกต่างจากของที่เฟิงหยวนมีอยู่เล็กน้อยเพราะตอนนี้มันเต็มไปด้วยรอยแตก มหาเทพไท่ฟูหันมามองเทียนหลางเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าทำให้ลูกสาวของข้าเสียใจละก็ ข้าสัญญาได้เลยว่าข้าจะลงมาทำลายโลกใบนี้ด้วยตัวของข้าเอง”
เมื่อพูดจบมหาเทพไท่ฟูก็บีบหยดน้ำตาสวรรค์ในมือจนแตก ก่อนที่ร่างของเขาจะค่อยๆ สลายไปก่อนไปเขาไม่ลืมที่จะทิ้งสายตาเฉียบคมมาให้กับเทียนหลางทำเอาตัวเขาหัวเราะออกมาแห้งๆ อย่างช่วยไม่ได้
หลังจากที่มหาเทพไท่ฟูจากไปเฟิงหยวนก็หันมาถามกับเทียนหลาง
”นี่คุณท่านพ่อกลับไปที่แดนสวรรค์แล้วงั้นเหรอ ?”
”ถูกต้อง ร่างกายและจิตวิญญาณจะถูกหลอมรวมขึ้นมาใหม่ด้วยพลังของหยดน้ำตาสวรรค์และถูกส่งไปที่หอคอยวิญญาณในดินแดนมหาเทพ แตกต่างจากของเราที่หากเราทั้งคู่ตายร่างกายและจิตวิญญาณของพวกเราจะไปปรากฏอยู่ในหอคอยนิรันดิ์แทน”
เฟิงหยวนพยักหน้าก่อนจะถามขึ้นอีกครั้งด้วยความกังวล
”เรื่องที่ท่านพ่อพูดเป็นความจริงงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับ
”ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ก็คงจะไม่ต้องเป็นห่วงมากไปนักเพราะพวกมารและปีศาจเหล่านั้นไม่ได้มีทรัพยากรจำนวนมากเหมือนเราดังนั้นพวกมันคงไม่เคลื่อนไหวในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน คุณกลับไปนอนเถอะผมของคุยกับเทาเจาอีกสักครู่หนึ่ง”
เฟิงหวนพยักหน้าก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง หลังจากที่เฟิงหยวนกลับไปแล้วเทียนหลางก็ยกกระจกทองเหลืองขึ้นมาก่อนจะพูดขึ้น
”เจ้าหนูเทาได้ยินเรื่องเมื่อกี้ใช่ไหม ?”
”ข้าได้ยินครับอาจารย์”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะพูดด้วยสีหน้าจริงจังเล็กน้อย
”ข้ามีลางสังหรณ์ใจเล็กๆ จึงอยากให้เจ้าตรวจสอบอย่างเสียหน่อย”
เทาเจาที่ได้ยินก็พยักหน้า
”ว่ามาเลยท่านอาจารย์”
”ข้าอยากให้เจ้าช่วยสืบต่างๆ ในดินแดนนรกเสียหน่อยข้ามั่นใจว่าที่ประตูนรกถูกเปิดออกมานั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และดูเหมือนจะมีคนเกี่ยวข้องจำนวนไม่น้อย”
เทียนหลางถอนหายใจก่อนจะพูดเรื่องที่จริงจังให้กับเทาเจาฟัง
”และข้าก็คิดว่าอาจมีเทพชั้นสูงบางคนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย”
เมื่อเทาเจาได้ยินก็แสดงสีหน้าตกใจก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงกระซิบ
”ท่านอาจารย์แน่ใจงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้น
”ข้าก็ไม่แน่ใจ เจ้าเองก็น่าจะรู้มีคนจำนวนไม่มากที่สามารถเปิดทางเชื่อมประตูนรกได้ และหากการคาดเดาของข้าถูกต้องในอนาคตอาจมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นและข้ากับเฟิงหยวนอาจจะต้องเจอเรื่องวุ่นวายไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ข้าก็หวังว่ามันจะเป็นเพียงการคิดไปเองของข้า”
เทียนหลางถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
”ข้าอนุญาตให้ใช้เงาได้ สืบการเคลื่อนไหวทุกอย่างและรายงานข้าโดยตรง อย่าลืมเอาเรื่องนี้ไปบอกถังซานด้วยไม่แน่ข้าอาจจะต้องลืมพลังของเขา”
”ข้าเข้าใจแล้วท่านอาจารย์”
เทาเจาพยักหน้าจริงจังก่อนจะตัดการสื่อสารไป เทียนหลางถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง
”ที่รักจ๋า ~ ผมมาแล้ว”
…………………………………………………………………………………………………..
เช้าวันต่อมาเทียนหลางตื่นขึ้นเพราะได้ยินการถกเถียงกันของใครบางคน เขาเดินงัวเงียออกมาจากห้องพร้อมกับตามเสียงไปยังห้องรับแขก เมื่อมาถึงเขาก็เห็นคุณยายกำลังนั่งจิบชาพร้อมกับน้าเฟิงหวู่กำลังเถียงอยู่กับใครบางคน เทียนหลางมองอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
”มีอะไรกันครับเสียงดังไปถึงด้านในเลย”
การประกฏตัวของเทียนหลางทำให้ทุกอย่างชะงักทุกคนในห้องหันมามองเขาเป็นตาเดียวกันสักพักก่อนจะเลิกสนใจและหันไปเถียงกันต่อ เทียนหลางจับใจความได้ว่ามีคนจากตระกูลไหนสักตระกูลหนึ่งมาที่นี้เพื่อมาถามถึงเรื่องยาทิพย์กับคุณยาย แต่คุณยายไม่บอกอะไรพวกเขาดังนั้นทั้งคู่จึงโต้เถียงกัน และดูเหมือนว่าทางฝั่งตรงข้ามจะเสนอเงินให้จำนวนไม่น้อยเพื่อเบาะแส แต่คุณยายก็ยังคงปิดปากเงียบเพื่อกันไม่ให้เทียนหลางเจอเรื่องวุ่นวาย
เทียนหลางยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายใจเย็นลง
”ใจเย็นก่อนจะครับทั้งสองคน”
เทียนหลางพูดพร้อมรอยยิ้มแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอารมณ์ร้อนเกินไปหน่อยจึงได้หันมาพูดกับเขาด้วยท่าทางฉุนเฉียว
”อย่ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่นะเจ้าหนู !!”
เทียนหลางที่ได้ยินก็คิ้วกระตุกเล็กน้อยก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ
”แกเข้ามาในตระกูลของฉัน มาขึ้นเสียงใส่ยายและน้าของฉันและยังมีหน้าจะมาด่ากราดฉันอีกงั้นเหรอ ? หากว่าแกยังมีความเกรงใจอยู่ละก็หัดรู้จักทำตัวดีๆ เสียบ้างไม่งั้นฉันนี่แหละจะส่งแกกลับออกไปหน้าประตูเอง”
เมื่อฝ่ายตรงข้ามได้ยินคำพูดของเทียนหลางเขาก็หันมาพร้อมกับพูดขึ้นด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง
”นี่แกกล้าข่มขู่ฉันงั้นเหรอเจ้าหนู ?”
ทางด้านเทียนหลางเมื่อได้ยินก็พูดออกมาด้วยท่าทีที่เงียบสงบ
”หากการรับรูของแกยังปกติดีก็แสดงว่าแกเข้าใจไม่ผิด”
เมื่ออีกฝ่ายได้ยินก็หัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะพูดขึ้น
”แกกล้าที่จะข่มขู่ฉันงั้นเหรอ ? ฉันเป็นคนของตระกูลลู่ 1 ใน 4 ตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงแกกล้าที่จะข่มขู่ฉันงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินก็เอียงคอสงสัยก่อนจะเอ่ยถาม
”4 ตระกูใหญ่ ? แล้วยังไง ?”
อีกฝ่ายชะงักไปทันทีเมื่อเห็นท่าทีสบายๆ ของเทียนหลางเขาจึงพูดข่มขวัญเขาทันที
”ดูเหมือนแกจะไม่รู้จัก 4 ตระกูลใหญ่สินะ ดี ! ถ้างั้นฉันจะแสดงให้เห็นถึงอำนาจของ 4 ตระกูลใหญ่เองฉันจะให้คนของฉันบดขยี้ตระกูลเล็กๆ ของแกจนเหมือนกับแมลงและฉันจะคอยดูว่าแกยังจะปากเก่งเหมือนตอนนี้อยู่อีกไหม”
เมื่อพูดจบเขาก็หันไปหยิบโทรศัพขึ้นมาทันที เทียนหลางมองคุณยายของเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ยายของเขาจะพยักหน้าเล็กน้อยเทียนหลางก็พุ่งออกไปและเตะเข้าที่เอวของฝ่ายตรงข้ามส่งเขาลอยออกไปยังสอนหน้าบ้าน ทันทีที่น้าของเขาเห็นเหตุการณ์ก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”ต้องเสียเงินซ่อมประตูอีกแล้วงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางหันมาคุณยายครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น
”คุณยายครับให้คนเตรียมรถให้ผมหน่อย”
เมื่อยายของเขาได้ยินก็สงสัยเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
”หลานจะไปไหนงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางหาวออกมาพร้อมกับเดินกลับไปที่ห้องของเขาระหว่างนั้นเขาก็พูดขึ้น
”ผมจะไปเยี่ยมตระกูลลู่เสียหน่อย ผมขอไปปลุกเฟิงหยวนและก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊ปนึง”
เมื่อพูดจบเขาก็เดินกลับไปที่ห้องเหลือไว้เพียงคุณยายและน้าของเขาที่กำลังมองหน้ากันจากนั้นน้าเฟิงหวู่ก็พูดขึ้น
”ปล่อยเทียนหลางไปอย่างงั้นไม่เป็นไรเหรอครับคุณแม่ ?”
คุณยายก็จิบน้ำชาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
”เธอไม่ต้องห่วงหลานหรอก เขาโตเป็นหนุ่มแล้วเขาไม่ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดอย่างมากเราก็คงอาจจะต้องเปิดศึกเล็กๆ กับตระกูลลู่เท่านั้น”
เมื่อน้าเฟิงหวู่ได้ยินก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเรียกให้คนรับใช้มาจัดการประตูที่พัง