The simple life of the emperor - ตอนที่ 67
เมื่อแสงจางหายไปทุกคนที่อยู่ตรงชายหาดก็ถึงกับตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น นั่นก็คือบริเวณด้านหน้าทั้งหมดที่เคยเป็นป่าเขียวชอุ่มกลับกลายเป็นพื้นที่โล่งกว้างในพริบตา พวกเขามองไปที่เทียนหลางและเฟิงหยวนที่กำลังยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าก่อนจะพูดขึ้นด้วยความตกตะลึง
”พลังทำลายล้างอะไรกันเนี่ย ?”
”พวกเขายังอายุน้อยอยู่เลย ทำไมถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้”
”พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนแบบพวกเราจริงๆ งั้นเหรอ ?”
พวกเขาต่างผู้คุยกันถึงเทียนหลางและเฟิงหยวน ส่วนทางด้านผู้อาวุโสหลินนั้นตกใจเป็นอย่างมากเธอรู้ว่าเทียนหลางนั้นแข็งแกร่งแต่ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งขนาดนี้ เธอเดินเข้าไปหาเทียนหลางก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย
”ไม่คิดว่าเธอจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ฉันขอถามได้ไหมว่าเธอมาจากสำนักไหน ?”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ยิ้มก่อนจะพูดขึ้น
”ผมมาจากนิกายสวรรค์นิรันดิ์”
”นิกายสวรรค์นิรันดิ์ ?”
ผู้อาวุโสหลินกล่าวทวนด้วยความงุนงง เธอไม่เคยได้ยินชื่อนิกายนี้มาก่อนเลยเมื่อเธอคิดถึงไปสักก็ตกใจเล็กน้อยก่อนจะพึมพำขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่ทุกคนกำลังผู้คุยกันอยู่นั้นก็ได้มีคลื่นพลังจำนวนมหาศาลกระแทกเข้ามา พร้อมกับมือขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นที่ใจกลางเกาะ
เทียนหลางที่ได้เห็นก็หัวเราะออกมาทันที
”ไม่คิดว่าจะมีเจ้านี่อยู่ด้วย”
ผู้อาวุโสหลินที่ได้ยินก็ถามด้วยความสงสัย
”เจ้านี่ ? เธอรู้จักมันงั้นเหรอ ?”
”ก็นะ”
เทียนหลางตอบกลับอย่างคลุมเครือก่อนจะมองไปยังอสูรโบราณที่ค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาจากรอยแยกของแท่นบูชายัญก่อนที่ร่างกายของมันจะค่อยๆ ปรากฏออกมาอย่างช้าๆ อสูรที่ตัวใหญ่กว่า 10เมตร ปรากฏออกมาจากรอยแยกก่อนจะร้องคำราม
โฮ๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เสียงคำรามของมันสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้บ่มเพาะทั้งหลายทันที และทำให้ผู้บ่มเพาะระดับค่ำกว่านภาหลายคนถึงกับช็อคสลบไปทันทีจากแรงกดดันทางวิญญาณของมันในตอนนี้มีหลายคนถึงกับถอดใจสู้และพยายามที่จะขึ้นเรือกลับ ส่วนทางเทียนหลางก็ได้แต่ยิ้มเก้ๆ กังๆ ก่อนจะหันไปพุดกับเฟิงหยวน
”ดูเหมือนจะลำบากสะแล้วสิ”
เฟิงหยวนพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพูดขึ้น
”นั่นนะสิ เจ้านั่นบังเอิญอยู่ในระดับครึ่งก้าวชนชั้นกษัตริย์สะด้วย”
”เธอหมายความว่ายังไง ?”
ผู้อาวุโสหลินถามด้วยความสงสัยเพราะเรื่องที่เทียนหลางพูดคุยกับเฟิงหยวนนั้นเธอไม่เคยได้ยินมาก่อน เทียนหลางหันมาพูดพร้อมกับเตือนเล็กน้อย
”เจ้านั่นแข็งแกร่งกว่าพวกผมสองคนประมาณ 1 ชั้นหน่ะซึ่งน่าลำบากไม่น้อย”
เมื่อผู้อาวุโสหลินได้ยินก็ตกใจเป็นอย่างมากเธอไม่คิดว่าเจ้าสัตว์ยักษ์นั่นจะแข็งแกร่งกว่าทั้งสอง นี่อาจจะเรียกได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ที่เป็นไปไม่ได้หากพวกเธอไม่หนีไปตอนนี้แล้วละก็ พวกเธอทั้งหมดได้ตายลงอย่างแน่นอน
ในจังหวะที่ผู้อาวุโสหลินกำลังคิดทบทวนอยู่นั้นเทียนหลางก็ได้พูดขึ้น
”ผมว่าคุณกับเพื่อนหนีกลับไปก่อนเถอะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นผู้อาวุโสหลินก็ตกใจก่อนจะถามกลับ
”หมายความว่ายังไง ?”
”มันจะกลายเป็นการต่อสู้ที่รุนแรง ฉะนั้นพวกคุณกลับไปซะเถอะเดียวจะเกะกะพวกผมเสียเปล่าๆ”
”พวกเธอจะสู้กับมันงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะหันกลับไปพูดกับเฟิงหยวน
”ดูเหมือนจะหนักเอาการ”
”ใช่ แต่แก่นอสูรของมันก็เป็นประโยชน์กับเราสองคนมากจะให้ทิ้งมันไปเฉยๆ ก็ไม่ได้”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเทียนหลางก็ลูบคางตัวเองเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น
”นั่นสิน๊า ~ ไม่คิดเลยว่าที่นี้จะมีขุนพลอสูรอยู่ด้วย โชคยังดีที่มันยังไม่เติบโตเต็มที่ยังพอจะฆ่ามันได้อยู่”
เมื่อพูดจบทั้งคู่ก็หายตัวไปจากชายหาดก่อนจะมาปรากฏอยู่ที่ด้านหน้าของขุนพลอสูร เทียนหลางไม่รอช้าสะบัดกระบี่ปลดปล่อยคลื่นกระบี่ขนาดยักษ์เข้าใส่มันทันที ทันทีที่คลื่นกระบี่จะปะทะเข้ากับตัวมัน ก็มีวงเวทย์ปรากฏขึ้นและป้องกันคลื่นกระบี่ของเทียนหลางทันที
เทียนหลางที่ได้เห็นก็ตกใจเล็กน้อย
”ไม่คิดว่ามันจะใช้ อักขระเวทย์ได้ด้วย”
”ดูเหมือนจะยุ่งยากกว่าที่คิดนะ”
เฟิงหยวนพูดขึ้นก่อนจะเรียกกู่เจิงหยกออกมาและบรรเลงทันทีที่เฟิงหยวนเล่นกู่เจิงคลื่นพลังจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้าใส่ขุนพลอสูร ขุนพลอสูรคำรามพร้อมกับใช้อักขระเวทย์ป้องกันการโจมตีของเฟิงหยวน แต่ด้วยคลื่นพลังมีจำนวนมากเกินไปมันจึงไม่สามารถป้องกันได้หมด
ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ
คลื่นพลังของเฟิงหยวนต่างพุ่งเข้าเฉือดเฉือนร่างกายของมันพร้อมกับสร้างบาดแผลขนาดใหญ่เอาไว้ เทียนหลางไม่ปล่อยให้โอกาสที่เฟิงหยวนสร้างนั้นหลุดลอยไปอย่างแน่นอน เขาจึงเรียกกระบี่ลมปราณออกมาจำนวนหนึ่งและส่งมันเข้าใส่ขุนพลอสูร
ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก
เมื่อกระบี่ลมปราณของเทียนหลางแทงเข้าไปที่ร่างกายของขุนพลอสูรเขาก็สบัดมือหนึ่งครั้งพร้อมกับพูดขึ้น
”ทำลาย !”
ทันทีที่เทียนหลางพูดออกมากระบี่ลมปราณที่ฝังอยู่ร่างของขุนพลอสูรก็ระเบิด
ตรึม ตรึม ตรึม
ร่างกายของขุนพลอสูรเป็นรูโหว่ก่อนที่มันจะค่อยๆ คืนสภาพอย่างช้าๆ เทียนหลางถึงกับสบถออกมาอย่างช่วยไม่ได้
”ให้ตายเถอะ ! มันฟื้นฟูตัวเองได้”
เทียนหลางและเฟิงหยวนต่างรุมกระหน่ำโจมตีขุนพลอสูรอย่างต่อเนื่องแต่ด้วยระดับการบ่มเพาะของพวกเขาทั้งคู่ยังต่ำอยู่จึงไม่สามารถใช้ทักษะขั้นสูงได้มากมายนัก เทียนหลางสะบัดแขนพร้อมกับวาดวงเวทย์อาคมเพื่อเรียกกระบี่จำนวนมากออกมาโจมตี
”การต่อสู้จะยืดเยื้อไม่ได้แล้วสิ ที่รักช่วยผมหน่อย”
”เข้าใจแล้ว”
เฟิงหยวนตอบกลับพร้อมกับเก็บกู่เจิงเข้าแหวน ก่อนจะพุ่งเข้าไปอยู่ที่ด้านหน้าของขุนพลอสูร
”นิรันดิ์เยือกแข็ง !”
ปรากฏพายุหิมะขนาดใหญ่กระหน่ำใส่ร่างของขุนพลอสูรพร้อมกับค่อยๆ แช่งแข็งร่างกายของมันทีละส่วนเดิมทีนั้นทักษะนี้สามารถแช่แข็งได้แม้แต่เหล่าเทพไปได้ตลอดกาล แต่เพราะระดับการบ่มเพาะของเฟิงหยวนยังอยู่เพียงชั้นสวรรค์ การที่จะแช่แข็งขุนพลอสูรที่อยู่ในระดับครึ่งก้าวกษัตริย์ไปชั่วนิรันดิ์นั้นเป็นไปไม่ได้เลย
”ฉันคงยื้อwfhไม่กี่นาทีช่วยไวหน่อยนะ”
”เข้าใจแล้ว แค่นี้ก็เกินพอ”
เทียนหลางกำลังรอช่วงเวลาที่เจ้าขุนพลอสูนนี้ไร้การป้องกันอยู่ เทียนหลางได้เปิดผนึกจิตวิญญาณของเขาออกมาทันทีออร่าสีดำทมิฬได้พวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา ออร่าของเทียนหลางกระจายเป็นวงกว้างจนปิดบังทั้งเกาะ เหล่าผู้บ่มเพาะจาก 4 สำนักใหญ่และผู้บ่มเพาะเร่ร่อนที่กำลังอยู่บนเรือได้มองมาที่เกาะพวกเขาก็ตกใจเป็นอย่างมาก แม้ตอนนี้จะเป็นตอนกลางคืนแต่พวกเขาก็สามารถเห็นออร่าสีดำทมิฬที่ปกคลุมทั่วทั้งเกาะได้อย่างชัดเจน
เมื่อออร่าสีดำปรากฏออกมาเทียนหลางก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเย็นเหยียบ
”กลืนกินมันสะ !”
ทันทีที่เทียนหลางพูดออกมา ออร่าสีดำรอบตัวของเขาก็รวมตัวกันและกลายเป็นหมอกสีดำทมิฬเข้าไปล้อมรอบขุนพลอสูรพร้อมกันกับที่ขุนพลอสูรหลุดจากนิรันดิ์เยือกแข็งของเฟิงหยวน แต่มันก็ไม่สามารถที่จะรับมือกับหมอกทมิฬของเทียนหลางได้ทัน มันจะพยายามจะโจมตีหมอกทมิฬแต่หมอกทมิฬก็สามารถหลบการโจมตีได้ราวกับมันมีชีวิตเป็นของตัวเอง
ไม่นานหลังจากนั้นหมอกทมิฬก็เข้าไปล้อมรอบแขนของขุนพลอสูรก่อนจะตัดแขนของมันออกเป็นชิ้นๆ เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดของขุนพลอสูรดังลั่นไปทั่วเกาะแต่หมอกทมิฬก็หาสนใจมันยังคงพุ่งไปตัดแขนอีกข้างของขุนพลอสูร
เมื่อเทียนหลางเห็นแบบนั้นก็พูดออกมาด้วยความไม่พอใจ
”เลิกเล่นแล้วกินมันสะ !”
และดูเหมือนเจ้าหมอกทมิฬนั้นได้ยินความไม่พอใจของเทียนหลาง มันเริ่มขยายตัวและครอบคลุมทั่วทั้งร่างกายของขุนพลอสูรก่อนจะกลืนกินมันทั้งหมดเข้าไป ขุนพลอสูรยักษ์ขนาด 10เมตรถูกหมอกทมิฬกลืนกินไปในเวลาเพียงเสี้ยววินาที
หลังจากที่มันกลืนกินขุนพลอสูรเรียบร้อยแล้วมันก็พุ่งไปยังทิศทางหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล เทียนหลางสงสัยเล็กน้อยก่อนจะมองตามมันไปเมื่อเทียนหลางเห็นเป้าหมายของหมอกทมิฬเขาก็ถึงกับขมวดคิ้วทันทีเพราะนั่นคือ ผู้อาวุโสหลินจากสำนักวารีพิสุทธิ์
ผู้อาวุโสหลินนั้นแอบมองการต่อสู้ของเทียนหลางกับเฟิงหยวนอยู่ห่างๆ เพราะเธอนั้นอยากรู้ว่าการต่อสู้ของผู้บ่มเพาะระดับสูงกับสัตว์อสูรระดับสูงเป็นยังไง ในตอนแรกนั้นเธอรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการต่อสู้ของพวกเทียนหลางเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเทียนหลางเรียกหมอกสีดำทมิฬออกมาการต่อสู้ก็จบลงอย่างรวดเร็วทำให้เธอรู้สึกสับสนจนทำให้เธอไม่ทันสังเกตุว่าหมอกทมิฬของเทียนหลางกำลังเข้าใกล้เธอ
เมื่อเธอตั้งสติได้เธอก็ถึงกับหนาวสั่นไปทั้งตัวเพราะเธอจำได้ว่าเจ้าหมอกนี่นั้นพึ่งจะกลืนอสูรที่น่ากลัวหายไปในเสี้ยววิ หากเป็นเธอนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม้แต่โอกาสจะขยับตัวก็ยังไม่มีในจังหวะที่หมอกทมิฬกำลังจะพรากชีวิตของผู้อาวุโสหลินเทียนหลางก็สั่งให้มันหยุดทันที
”หยุด กลับมาสะดีๆ”
หมอกทมิฬหยุดอย่างรวดเร็วก่อนจะถึงตัวของผู้อาวุโสหลินมันหยุดอยู่หน้าเธออยู่ช่วงหนึ่งก่อนจะกลับไปหาเทียนหลาง ทางด้านผู้อาวุโสหลินนั้นเมื่อเห็นว่ามันกลับไปแล้วเธอก็ถึงกับทรุดตัวลงทันทีและเมื่อเธอคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เธอก็อยากจะกลับไปที่สำนักและปิดตัวฝึกตนสัก 10 หรือ 20ปี เพราะในขณะที่หมอกทมิฬอยู่ตรงหน้าเธอนั้นเธอก็ได้มองไปที่มันและเธอก็พบกับดวงตาสีแดงคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเธอกลับมา เธอถึงกับตัวสั่นเพราะความหวาดกลัวแรงกดดันมหาศาลพุ่งเข้าสู่จิตใจของเธออย่างรวดเร็วหลังจากจ้องตาของมันได้ไม่กี่วินาที
เทียนหลางจ้องมองหมอกทมิฬเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”อย่าทำอะไรตามใจอีก”
และดูเหมือนมันจะเข้าใจเทียนหลางมันกลับเข้าไปในตัวเทียนหลางทันทีหลังจากที่ได้ฟังคำเตือนของเขาแต่ก่อนที่มันจะกลับไปมันคายผลึกก้อนกลมสีแดงเลือดมาให้กับเทียนหลางเขามองมันอยู่สักพักก่อนจะเก็บมันเข้าไปในแหวนและหันมาคุยกับเฟิงหยวน
”ดูเหมือนจะจบเรื่องแล้วหล่ะ เรากลับกันเลยไหม ?”
”แล้วเธอคนนั้นหล่ะ ?”
เฟิงหยวนมาที่ผู้อาวุโสหลินก่อนจะพูดขึ้น
”เราพาเธอไปส่งที่เมืองหลวงก็แล้วกัน เพราะดูเหมือนคนอื่นจะกลับไปกันหมดแล้วและไม่เหลือเรือไว้ให้เธอเลยสักลำ”
เมื่อเฟิงหยวนได้ยินก็พูดออกมาด้วยความเบื่อหน่าย
”พวกนี้นี่เห็นแก่ตัวชะมัด”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะพุ่งเข้าไปหาผู้อาวุโสหลิน
”ผมจะพาคุณไปส่งที่เมืองหลวงก็แล้วกันนะ”
”เอ๋ ?”
ผู้อาวุโสหลินมึนงงแต่ดูเหมือนเทียนหลางจะไม่ได้สนใจอะไรเลย เทียนหลางอุ้มผู้อาวุโสในไว้ในอ้อมแขนก่อนจะใช้ย่างก้าวนิรันดิ์พร้อมกับเฟิงหยวนกลับไปที่เมืองหลวงทันที เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจเข้าออกของผู้อาวุโสหลินเธอก็มาโผล่ที่เมืองหลวงตรงหน้าห้างเรียบร้อยแล้ว
ผู้อาวุโสหลินมองไปรอบๆ เพื่อหาตัวเทียนหลางและเฟิงหยวนแต่ก็ไม่พบอะไร เธอจึงตัดสินคิดถึงมันและกลับไปที่สำนัก
ทางด้านของเทียนหลางที่กำลังนั่งอยู่ในห้องของตัวเองที่บ้านตระกูลฉวีก็นำผลึกสีแดงเลือดออกมาดูก่อนจะบ่นพึมพำ
”เจ้าขุนพลอสูรนั่นมีผลึกเลือดพันปีในร่างกายได้ยังไงกันน๊า ?”