The simple life of the emperor - ตอนที่ 79
หลังจากที่เทียนหลางออกมาจากห้องประชุมเขาก็ตรงไปหาหัวหน้าไป๋ตงหลินพร้อมกับที่มีถังถังเดินตามมา เมื่อเขาเจอกับหัวหน้าไป๋ที่กำลังตรวจสอบรายละเอียดของภาระกิจอยู่เขาก็เอ่ยถามขึ้น
”เราจะเดินทางกันเมื่อไหร่ครับ ?”
ไป๋ตงหลินได้ยินก็คิดสักพักก่อนจะพูดขึ้น
”น่าจะอีกประมาณสองชั่วโมง นายมีอะไรงั้นเหรอ ?”
”ผมมีธุระที่บ้านนิดหน่อยเลยกะว่าจะไปจัดการสักหน่อยนะครับ”
ไป๋ตงหลินพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะบอกว่า
”ไปจัดการให้เรียบร้อยในสองชั่วโมง หากมาช้าพวกเราจะไม่รอ”
”เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากคุยกับไป๋ตงหลินเสร็จเทียนหลางก็หายตัวไปจากศูนย์บัญชาการของหน่วยหมาป่าทันที ถังถังที่วิ่งตามมาก็ได้แต่ตกตะลึงกับภาพตรงหน้าเธอไม่คิดว่าเทียนหลางจะหายไปราวกับอากาศแบบนี้เธอได้แต่ถอนหายใจและเดินกลับเข้าไปในศูนย์ฯ เพื่อเตรียมตัว
เทียนหลางกลับมาปรากฏตัวอยู่ที่สวนของเขาก่อนจะเดินเข้าไปหาเฟิงหยวนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ เมื่อเธอเห็นเทียนหลางเดินเข้ามาก็ปิดหนังสือพร้อมกับเอ่ยถามออกมาเบาๆ
”มาช้าจังนะ คุณไปจู๋จี๋กับแม่หนูตงเสวียอยู่งั้นเหรอ”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ส่ายหัวปฏิเสธก่อนจะนั่งลงและบอกถึงเรื่องภาระกิจของหน่วยหมาป่าที่เขาต้องไปทำวันนี้ เฟิงหยวนที่ได้ยินก็พยักเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ไปซะสิยังไงก็เป็นภาระกิจ แต่อย่าลืมขนสมบัติของเป้าหมายกลับมาด้วยนะ”
”สมบัติ ? คุณคิดว่ามันจะมีสมบัติเก็บไว้ในบ้านเหรอ ?”
เฟิงหยวนได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับจิ้มผลไม้เข้าปาก
”ก็คุณบอกว่าเป้าหมายของภาระกิจเป็นถึงพ่อค้าอาวุธและก็เป็นมาเฟียตัวพ่อ ฉันก็เลยคิดว่าเจ้าโง่นั่นก็น่าจะมีสมบัติเก็บไว้ไม่น้อยรวมถึงเงินด้วย”
”แต่คนสมัยนี้ส่วนใหญ่เขาเก็บเงินไว้ในธนาคารกันนา ไม่เหมือนคนในโลกของเรา”
เมื่อเฟิงหยวนได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับใช้ส้อมจิ้มผลไม้และชี้ไปที่เทียนหลาง
”คุณนี่บื้อจริงๆ คุณบอกเองว่าเจ้าโง่นั่นมีตราหยกของราชวงศ์โบราณใช่ไหม ก็แปลว่ามันก็อาจจะเป็นนักสะสมวัตถุโบราณคนหนึ่งเหมือนกันแล้วจากที่ฉันอ่านๆ มาดูเหมือนว่าวัตถุโบราณพวกนี้จะขายแพงซะด้วย”
เฟิงหยวนเงียบไปสักพักก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
”แล้วอีกอย่างเจ้าพวกนี้น่าจะรวยไม่น้อยเพราะถึงขั้นมีคฤหาสห์อยู่กลางป่านี้นะ คุณน่าจะขู่เอาเงินจากพวกนั้นมาได้ไม่น้อยเลย”
”ก็ถูกอย่างที่คุณพูดนะ อืม…”
เทียนหลางคิดสักพักก่อนจะตอบตกลงที่จะทำตามคำแนะนำของเฟิงหยวน เพราะตอนนี้เขาก็ยังขาดเงินอยู่เหมือนกันโครงการอสังหาย่านชนชั้นสูงนั้นน่าจะใช้เงินมากกว่าที่เขาคาดเอาไว้ฉะนั้นเขาจำเป็นจะต้องมีเงินเพิ่มขึ้น หลังจากพูดคุยกันอยู่สักพักโทรศัพของเทียนหลางก็มีเสียงของข้อความเข้า เมื่อมองดูก็พบว่าเป็นเลขาไป๋ที่ส่งข้อความเพื่อบอกว่าพวกเขาจะออกเดินทางกันแล้ว
เมื่อเขาได้รับข้อความก็พิมพ์ตอบกลับอย่างรวดเร็วก่อนจะบิดขี้เกียจและลุกขึ้น เมื่อเฟิงหยวนเห็นเธอก็เอ่ยถามทันที
”คุณจะไปแล้วเหรอ ?”
”อา ~ ใช่ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะรีบทำภาระกิจให้สำเร็จคงเป็นเพราะอยากจะดูให้แน่ใจว่าหน่วยที่ส่งไปก่อนหน้าเรายังมีชีวิตอยู่ไหม แต่จากที่ผมคิดแล้วทางนั้นคงไม่น่าจะรอดแล้วละถึงรอดก็คงปางตายน่าดู”
เฟิงหยวนพยักหน้าก่อนจะตอบกลับ
”นั่นสินะ แม้จะไม่มีอะไรทำอันตรายคุณได้แต่คุณระวังตัวเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ยิ้มก่อนจะก้มไปหอมแก้มเฟิงหยวนพร้อมกับพูดอย่างมีความสุข
”เข้าใจแล้วครับ”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็หายไปและกลับมาโผล่ที่หน้าศูนย์บัญชาการของหน่วยหมาป่าก่อนจะส่งข้อความหาเลขาไป๋ว่าเขานั้นมาถึงแล้ว เลขาไป๋จึงส่งข้อความมาบอกว่าให้เขาไปที่ลานบินของกองทัพซึ่งเทียนหลางก็งุนงงสักพักก่อนจะเดินไปถามทหารที่อยู่แถวนั้นเพื่อถามทาง
ไม่นานนักเทียนหลางก็มาถึงลานบิน เทียนหลางเห็นคนในหน่วยหมาป่ากำลังหอบอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นเครื่องบินเจ็ทลำใหญ่อยู่ซึ่งมีเลขาไป๋กำลังยืนกำกับอยู่ใกล้ๆ
เมื่อเลขาไป๋เห็นเทียนหลางมาถึงแล้วก็กล่าวทักทายทันทีพร้อมกับให้หยาฟูฉินนำของมาให้กับเขา ซึ่งมันคือกระเป๋าพับใบหนึ่งเมื่อเทียนหลางเปิดออกดูก็พบกับมีดบินจำนวนสิบเล่มและมีดสั้นกับกริชอีกสองเล่ม เมื่อเห็นท่าทางของเทียนหลางเลขาไป่ก็พูดขึ้น
”นี่คืออาวุธของคุณ ถ้าคุณอยากได้อะไรเพิ่มอีกก็บอกหยาฟูฉินได้เลยนะ”
เทียนหลางลูบมีดสั้นเบาๆ ก่อนจะสัมผัสได้ว่ามันถูกสร้างมาจากเหล็กชนิดพิเศษที่ไม่เหมือนกับเหล็กทั่วไปมันมีความแข็งแรงทนทานมากกว่า แต่ถึงอย่างงั้นมันก็เบากว่าเหล็กมากและยืดหยุ่นได้ดีดูเหมือนว่าทางกองทัพจะมีแร่ชนิดพิเศษที่น่าสนใจไม่น้อยในตอนนี้เทียนหลางเริ่มคิดถึงเรื่องที่เขาจะขออะไรจากเลขาไป๋หลังจบภาระกิจนี้
หลังจากนั้นไม่นานทั้งหมดก็ได้ขึ้นเครื่องก่อนที่เครื่องบินขนส่งจะทยานขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยที่มีเลขาไป๋ยืนให้กำลังใจอยู่ที่ลานบิน ภายในเครื่องบินไป๋ตงหลินก็ได้อธิบายรายละเอียดของภาระกิจนี้ให้กับทุกคนฟัง
”ฟังนะทุกคน หากไม่มีปัญหาอะไรในระหว่างเดินทางเราจะไปถึงยังสถานที่เป้าหมายเวลาประมาณ 5ทุ่มซึ่งจะเป็นเวลาที่ฟ้ามืดที่สุดซึ่งจะทำให้เราสามารถแทรกซึมเข้าไปในพื้นที่ได้ง่ายขึ้น จากนั้นพวกเราจะกระโดดร่มลงไปที่ป่า และเราจะบุกเข้าไปด้านในจากทางทิศตะวันตกเข้าใจไหม”
”ครับ / ค่ะ !!”
การสรุปภาระกิจนั้นทั้งสั่นและเรียบง่ายซึ่งก็คือเราจะโดดร่มลงไปในป่าและบุกเข้าไปในปราสาทจากทางทิศตะวันตก ซึ่งเทียนหลางฟังแล้วช่างเป็นแผนที่ง่ายดายยิ่งนักและดูเหมือนจะไม่มีใครกังวลหรือสงสัยอะไรกับแผนแบบนี้เลย
…
..
.
23:23 เหนือน่านฟ้าประเทศ ซาคานัวร์ ป่าสนคานัวร์
เมื่อมาถึงที่หมายนักบินก็แจ้งให้กับไป๋ตงหลินได้รู้ทันที เมื่อรู้ว่าพวกเขาถึงที่หมายแล้วไป๋ตงหลินก็บอกให้ทุกคนเตรียมพร้อมทันทีก่อนจะกระโดดร่มหยานเฉาได้หันมาถามกับเทียนหลางว่า
”เธอเคยกระโดดร่มมาก่อนรึเปล่า ?”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ส่ายหน้าเบาๆ หยานเฉายิ้มเล็กน้อยก่อนจะอธิบายถึงวิธีกระโดดอย่างถูกต้องและการกระตุกร่มอย่างง่ายๆ ให้กับเขาฟังเมื่ออธิบายเสร็จเรียบร้อยทุกคนก็กระโดดลงจากเครื่องอย่างรวดเร็วส่วนเทียนหลางลงเป็นคนรองสุดท้ายและหยานเฉาจะกระโดดตามเขาไปเผื่อมีปัญหาอะไรหยานเฉาจะได้ช่วยเหลือทันซึ่งแน่นอนตัวเทียนหลางไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วต่อให้ร่มไม่กางเขาก็สามารถลงพื้นได้อย่างปลอดภัยอยู่ดี
ทันทีที่เทียนหลางกระโดดลงไปร่างกายของเขาก็เป็นเลือนลางก่อนจะหายไปกลางอากาศและลงไปอยู่บนพื้นดินอย่างรวดเร็ว หยานเฉาที่กระโดดตามลงมาเมื่อไม่เห็นเทียนหลางเขาก็กระโดดเรียกผ่านหูฟังทันที
”เทียนหลาง เทียนหลางเธออยู่ไหน ?!”
ไป๋ตงหลินที่ได้ยินก็เกินสงสัยก่อนจะเอ่ยถาม
”เกิดอะไรขึ้นหยานเฉา ?”
”ผมไม่เห็นเทียนหลางเลยครับหัวหน้า เขากระโดดก่อนหน้าผมเพียงไม่กี่วิเท่านั้นเอง”
เมื่อได้ยินแบบนั้นไป๋ตงหลินก็เริ่มตื่นตระหนกเล็กน้อยเพราะน้องใหม่คนนี้อาจมีปัญหาในขั้นตอนการโดดร่มและเกิดโหม่งโลกตายขึ้นมาเขาคงต้องถูกเลขาไป๋และนายพลหลินด่าอย่างแน่นอนอย่างเลวร้ายก็คงถูกไล่ออกจากหน่วย แต่ไม่นานความกังวลของไป๋ตงหลินก็หายไปด้วยเสียงของเทียนหลางที่พูดแทรกขึ้นมา
”มีอะไรกันครับ ? ผมถึงพื้นเรียบร้อยแล้ว”
หยานเฉากับไป๋ตงหลินตกใจก่อนจะถามออกมาพร้อมกัน
” ”นายถึงพื้นแล้วงั้นเหรอ ?” ”
”ใช่ครับ พอดีระหว่างลงมาไปเกี่ยวต้นไม้สูงเข้าเลยถึงพื้นไวหน่อยนะครับ”
”งี้นี้เอง อย่าทำให้พวกเราเป็นห่วงสิ”
”เข้าใจแล้วครับ”
ไม่นานนักทุกคนก็มาถึงพื้นดินหลังจากที่มารวมตัวกันแล้วไป๋ตงหลินก็แจกจ่ายหน้าที่ของแต่ละคน อี้คงฉินและหยาฟูฉินรับหน้าที่ในการเฝ้าดูระยะไกลและคอยระวังหลังส่วนถังถังและเฮ่าซุนไปสำรวจพื้นที่รอบๆ ไป๋ตงหลินและหยานเฉาจะไปสำรวจทิศตรงข้ามกับถังถังและเฮ่าซุน ส่วนเทียนหลางได้รับหน้าที่แทรกซึมเข้าไปเพื่อสำรวจบริเวณใกล้ๆ พื้นที่คฤหาสน์
ก่อนที่เทียนหลางจะไปไป๋ตงหลินได้ยื่นแว่นตาให้กับเทียนหลางอื่นหนึ่งเขารับมาและลองสวมมันก่อนจะเอ่ยถาม
”แว่นนี่ทำอะไรได้งั้นเหรอครับ ?”
”แว่นนี่ทำให้เธอสามารถมองเห็นเวลากลางคืน และสามารถตรวจจับรังสีความร้อนกับแสงเลเซอร์ได้ด้วย”
”เลเซอร์ ?”
”ใช่ สมัยนี้กับดักต่างๆ มักจะใช้เซ็นเซอร์เป็นเลเซอร์หมดแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามพบเห็นได้โดยง่าย ดังนั้นเธอต้องระวังเอาไว้หน่อยนะ”
”เข้าใจแล้วครับ แล้วถ้าผมสามารถเข้าไปด้านในปราสาทได้จะให้ทำยังไงต่อครับ ?”
เมื่อได้ยินคำถามไป๋ตงหลินก็คิดเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับ
”พยายามหาที่ซ่อนหยกและสำรวจคฤหาสน์เพื่อหาทางหนี”
”เข้าใจแล้วครับ”
”เอาหล่ะทุกคนแยกย้ายได้ !!”
เมื่อพูดจบทุกคนก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง เทียนหลางพุ่งตรงไปยังคฤหาสน์โดยไม่ได้สนใจกับดักเลยแม้แต่น้อยเพราะยังไงมันก็ไม่มีทางจะตรวจจับเขาได้ เพราะกับดักส่วนมากจะวางไว้ที่พื้นแต่เขานั้นบินไปดังนั้นเรื่องกับดักคงไม่ต้องเป็นกังวล
ไม่นานนักเทียนหลางก็มาหยุดอยู่ด้านข้างของคฤหาสน์เมื่อมองดูใกล้ๆ ก็พบว่ามันใหญ่ไม่ใช่น้อยเทียนหลางมองซ้ายมองขวาเพื่อดูว่ามีใครอยู่แถวนี้ไหมก่อนจะกระโดดขึ้นไปด้านบนและเข้าทางหน้าต่าง
เทียนหลางผ่านเข้ามาทางหน้าต่างอย่างง่ายดายก่อนจะเดินสำรวจคฤหาสน์อย่างใจเย็น เทียนหลางตัดสินใจสำรวจจากชั้นบนเสียก่อนระหว่างทางเทียนหลางพบทหารติดอาวุธมากมายกำลังเดินตรวจอยู่ซึ่งเทียนหลางนั้นมีทักษะพรางกายทำให้เขาเดินผ่านทหารพวกนี้ไปได้อย่างง่ายดาย
ซึ่งจากที่สำรวจชั้นบนแล้วตัวเทียนหลางไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่นักเพราะเขาไม่พบเจออะไรที่พอจะมีค่าเลยจนมาถึงห้องๆ หนึ่งซึ่งดูจากการตกแต่งแล้วน่าจะเป็นห้องของหญิงสาวสักคนหนึ่งแต่เขากลับไม่พบเจ้าของห้องเทียนหลางเลยจัดการค้นห้องนั้นซะแล้วก็พบเข้ากับเครื่องเพชรมากมายอยู่ในตู้ เขาจึงจัดการกวาดมันทั้งหมดใส่แหวนมิติและออกจากห้องมา
เทียนหลางเดินไปตามทางเรื่อยๆ จนมาถึงห้องใหญ่ที่ใจกลางคฤหาสน์เขาคาดว่า ฮาคาติ คงอยู่ในห้องนี้อย่างแน่นอนเพราะจากการสำรวจแล้วเขาไม่พบฮาคาติที่ไหนเลย เทียนหลางแง้มประตูออกอย่างเบามือก่อนจะเห็นชายคนหนึ่งกำลังนั่งเขียนเอกสารบางอย่างอยู่ซึ่งมองดูแล้วเขาคนนั้นน่าจะเป็นฮาคาติ
เทียนหลางลอบเข้าไปในห้องก่อนจะมายืนอยู่ข้างหลังของเขาในขณะที่ฮาคาดิกำลังนั่งเซ็นเอกสารบางอย่างอยู่เขาก็พูดขึ้น
”ดูเหมือนนายจะอยู่สุขสบายดีจังเลยนะ”
เมื่อฮาคาดิได้ยินก็ตกใจพร้อมกับหันมาหาเทียนหลางด้วยใบหน้าตื่นตะลึงพร้อมกับพูดขึ้น
”แกเป็นใคร และแกเข้ามาที่นี้ได้ยังไง !?”
เทียนหลางที่ได้ยินคำถามก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น
”นั่นใช่คำถามที่นายจะต้องถามฉันงั้นเหรอ ?”
เมื่อได้ยินคำถามของเด็กหนุ่มตรงหน้าฮาคาดิก็รู้สึกตัวพร้อมกับมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปการที่เทียนหลางสามารถฝ่ากองทัพของเขาเข้ามาถึงที่นี้ได้แปลว่าเทียนหลางนั้นต้องไม่ธรรมดา ฮาคาดิมองเทียนหลางเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามออกไป
”นายต้องการอะไร ?”
”ปิ๊งป่อง !! นี่สิคำถามที่ถูกต้องในเมื่อนายถามมาแล้วงั้นฉันก็จะตอบตรงๆ แล้วกันฉันอยากรู้ว่านายเก็บหยกนี่เอาไว้ที่ไหน ?”
เทียนหลางพูดพร้อมกับยื่นรูปภาพของตราหยกให้กับฮาคาดิ เมื่อฮาคาดิรับมาเขาก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยเพราะนั่นคือรูปของตราหยกที่เขาประมูลมาเมื่อหนึ่งเดือนก่อน และหลังจากที่เขาได้รับตราหยกนั่นมาก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งมาคอยตรวจสอบเขาอยู่ห่างๆ แต่เขาก็จับคนพวกนั้นได้และขังเอาไว้ที่ห้องใต้ดิน
เมื่อฮาคาดิเห็นรูปนี้เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเทียนหลางคือพวกเดียวกันเขาจึงถามออกไปด้วยความชัวร์
”นายคือพวกเดียวกันกับพวกนั้นงั้นเหรอ ?”
”พวกนั้น ? พวกไหน ?”
เทียนหลางถามออกไปด้วยความสงสัย ฮาคาดิจึงตอบออกไป
”เมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อนหลังจากที่ฉันประมูลตราหยกนี่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งมาป้วนเปี้ยนรอบๆ คฤหาสน์ฉันเลยจัดการจับพวกมันมาขังไว้เพื่อรีดข้อมูล”
เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ช่างเรื่องนั้นไปก่อนก็แล้วกัน พอดีฉันรู้มาว่านายเป็นพ่อค้าอาวุธตัวพ่อสินะ”
”ถูกต้อง”
”งั้นก็แปลว่านายต้องรวยมากสินะ”
เมื่อได้ยินคำถามของเทียนหลางฮาคาดิก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรแปลกๆ แต่จะไม่ตอบกลับก็คงจะไม่ดีเขาเลยตอบกลับไปแบบกำกวม
”ก็คงจะอย่างงั้น”
เมื่อเทียนหลางได้ยินคำตอบของฮาคาดิเขาก็ยิ้มออกมาก่อนจะร่ายนิ้วไปมาบนอากาศพร้อมกับปรากฏตราสัญลักษณ์สีแดงสดขึ้น จากนั้นเทียนหลางก็บังคับให้ตราประทับนั้นเข้าไปในตัวของฮาคาดิเมื่อเขาได้เห็นว่ามีบางอย่างกำลังเข้าไปในร่างของตัวเองฮาคาดิก็ดิ้นทุรนทุรายทันทีพร้อมกับรีบถอดเสื้อออกเผยแต่เขาก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรปรากฏขึ้นบนตัวของเขา เขาจึงได้มองหน้าของเทียนหลางด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับถามขึ้น
”แกเอาอะไรใส่ไปในร่างของฉัน !?”
ทางด้านของเทียนหลางก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”นั่นคือตราประทับแห่งชีวิต นายไม่สามารถมองเห็นมันได้หรอกเพราะมันฝังอยู่ในหัวใจของนาย”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็ขยับนิ้วเบาๆ พร้อมกับที่ฮาคาดิเริ่มที่จะรู้สึกเจ็บปวดที่บริเวณหัวใจของเขา ฮาคาดิกุมหน้าอกตัวเองพร้อมกับลงไปกลิ้งอยู่กับพื้นก่อนจะมองไปที่เทียนหลางพร้อมกับอ้อนวอน
”ได้โปรด… ขอร้องหล่ะหยุดเถอะ ฉันยอมทำทุกอย่าง”
เทียนหลางที่ได้ยินคำขอร้องของฮาคาดิก็ยอมคลายมือก่อนจะหยิบกระดาษและปากกาบนโต๊ะมาเขียนอะไรบางอย่างลงไปและยื่นมันให้กับฮาคาดิ เมื่อฮาคาดิรับมาก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
”นี่คือ ?”
”แน่นอนอยู่แล้วมันคือเลขบัญชีของฉันที่อยู่ในธนาคารสวิตของฉัน ช่วยโอนเงินทั้งหมดของนายมาที่บัญชีนี้ทีนะ”
เทียนหลางพูดจบก็ยิ้มบัญชีที่เทียนหลางพึ่งเขียนให้กับฮาคาดิไปนั้นคือ เลขบัญชีธนาคารสวิตที่เขาพึ่งขอให้หลี่ไห่เปิดเอาไว้เพื่อเก็บเงินหลังจากที่ถูกหลี่ไห่เตือนเรื่องจำนวนเงินที่มากเกินไปจนน่าสงสัยในบัญชีเพราะเรื่องนี้อาจทำให้ทางรัฐตรวจสอบบัญชีของเขาและยึดเงินเอาไว้ได้ดังนั้นเทียนหลางจึงขอให้หลี่ไห่เป็นคนจัดการเรื่องบัญชีให้กับเขา
เมื่อฮาคาดิรู้ว่าเทียนหลางต้องการอะไรเขาก็ถึงกับตกใจและตะโกนใส่เทียนหลางไปทันที
”นี่แกจะบ้างั้นเหรอ แกจะให้ฉันเอาเงินทั้งหมดที่มีให้กับแกเนี้ยนะ !!!”
เทียนหลางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น
”ถูกต้องแล้วคร้าบบบ ลองคิดดูนะเงินแค่นิดหน่อยแลกกับชีวิตของนายฉันว่ามันก็คุ้มอยู่นา”
เมื่อเทียนหลางพูดจบมือของเขาก็ค่อยๆ ร่ายรำอย่างช้าๆ พร้อมกับอาการเจ็บที่หัวใจของฮาคาดิเริ่มที่จะรุนแรงขึ้นเรื่องๆ ฮาคาดิเริ่มดิ้นทุรนทุรายอย่างน่าสงสารพร้อมกับจ้องไปใบหน้ายิ้มแย้มของเทียนหลางด้วยสายตาเคลียดแค้น