The simple life of the emperor - ตอนที่ 83
หลังจากที่เห็นว่าเฟิงหยวนมีท่าทีโอนอ่อนแล้วเขาก็นำเก้าอี้ออกมาจากแหวนและตั้งให้เธอนั่งก่อนจะพูดขึ้น
”คุณพร้อมกับฟังผมอธิบายแล้วใช่ไหม ?”
เฟิงหยวนที่ได้ยินก็มองหน้าเทียนหลางเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เทียนหลางยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทีของเฟิงหยวนก่อนที่เขาจะนำเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลงข้างๆ เธอก่อนจะเริ่มอธิบาย
”หากจะให้ผมอธิบายทั้งหมดก็ต้องย้อนกลับไปไกลเสียหน่อยคุณจะว่าอะไรไหม ?”
”เรามีเวลาเหลือเฟือ”
”โอเค ถ้างั้นคุณรู้จักสงครามทุ่งกาย่าหรือเปล่า ?”
เมื่อเฟิงหยวนได้ยินก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยก่อนจะเรียกความทรงจำเก่าๆ ของตัวเองเพื่อนึกถึงเรื่องของสงครามกาย่าที่เทียนหลางได้กล่าวออกมา จากนั้นไม่นานเธอก็เรื่องของสงครามกาย่าออกมันคือเรื่องที่เธอได้ฟังมาตอนเธอนั้นยังเด็ก เทียนหลางได้ที่ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะอธิบายต่อ
”ใช่สงครามกาย่านั้นเกิดขึ้นเมื่อราวๆ หมื่นปีก่อนในโลกระดับกลางโลกหนึ่งมันเป็นสงครามเพื่อแย่งชิงเศษเสี้ยวของดวงจิตพฤกษา”
”ดวงจิตพฤกษา ?”
เฟิงหยวนเอ่ยถามด้วยความสงสัย เทียนหลางก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะอธิบายถึงดวงจิตพฤกษา
”ดวงจิตพฤกษานั้นเป็นเศษซากวิญญาณของหัวใจพฤกษาที่เกิดจากการผลัดเปลี่ยนของกาลเวลา… เปรียบเสมือนการลอกคราบของงูที่จะเกิดขึ้นทุกๆ หนึ่งแสนปีและผู้ได้ที่ครอบครองมันก็จะได้รับส่วนหนึ่งของพลังอำนาจที่มหาศาลพอจะสั่นคลอนดินแดนทั้ง 9 ชั้นได้อย่างง่ายดาย”
เมื่อเฟิงหยวนได้ยินดังนั้นหัวใจของเธอก็ถึงกับสั่นไหวไปเล็กน้อยในฐานะที่เธอเคยเป็นถึงเทพองค์หนึ่งบนสวรรค์เธอย่อมรู้สึกเรื่องของดินแดนทั้ง 9 ชั้น ซึ่งดินแดน 9 ชั้นที่เทียนหลางได้พูดก่อนหน้านี้ก็คือชั้นที่แบ่งระดับของโลกต่างๆ นั่นเองซึ่งในแต่ละดินแดนก็มีโลกมากมายอยู่ด้านในนั้นแต่ละโลกก็จะถูกแบ่งระดับไปตามชั้นต่างๆ ซึ่งยิ่งอยู่ในดินแดนที่สูงเท่าไหร่ก็ยิ่งมีทรัพยากรมากมายขึ้น และโลกที่ทั้งคู่อาศัยในตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในโลกของดินแดนชั้นล่าง
เทียนหลางเงียบไปสักพักก่อนจะเล่าต่อ
”ในตอนแรกมันเป็นการต่อสู้ของตระกูลเล็กๆ สองตระกูลเท่านั้นแต่เมื่อเรื่องของเศษเสี้ยวดวงจิตพฤกษากระจายออกไปเหล่าตระกูลน้อยใหญ่มากมายและสำนักนับร้อยก็ต่างเข้ามาร่วมวง และไม่เว้นแม้แต่ผู้คนจากโลกใบอื่นหรือผู้คนจากดินแดนต่างๆ ยิ่งนานวันเข้าสงครามก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นแต่ก็ยังไม่มีใครที่ได้ครอบครองมัน”
”ทำไมหล่ะ ?”
เฟิงหยวนถามด้วยความสงสัย เทียนหลางยิ้มพร้อมกับตอบคำถามของเธอ
”เพราะไม่มีใครผ่านบททดสอบของมันได้เลยยังไงหล่ะ”
”บททดสอบ ?”
เฟิงหยวนรู้สึกสับสนเป็นอย่างมากที่เศษเสี้ยวของดวงจิตพฤกษานั้นสามารถสร้างบททดสอบขึ้นมาได้ ปกติแล้วบททดสอบนั้นจะถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของมนุษย์ด้วยจุดประสงค์ต่างๆ แต่เธอก็เคยได้ยินมาบ้างเรื่องของสมบัติบางชนิดที่สามารถสร้างบททดสอบขึ้นมาได้ด้วยจิตสำนึกของตัวเองแต่ถึงอย่างงั้นเธอก็พบว่ามันมีอยู่น้อยมากๆ และส่วนใหญ่ก็เป็นสมบัติของเหล่าเทพชั้นสูงหรือไม่ก็เป็นของชายหนุ่มตรงหน้าของเธอ
หลังจากที่เฟิงหยวนคิดถึงเรื่องบททดสอบของเศษเสี้ยวดวงจิตพฤกษาอยู่สักพักเธอก็หันมาถามกับเทียนหลางทันที
”นี่คุณ… คุณบอกว่าเศษเสี้ยวดวงจิตพฤกษาเป็นส่วนหนึ่งของซากวิญญาณที่ถูกละทิ้งแล้วของหัวใจพฤกษาใช่ไหม ?”
”ใช่ ทำไมเหรอ ?”
”ก็คุณบอกว่าคนที่ได้ครอบครองเศษเสี้ยวดวงจิตพฤกษานั้นจะได้พลังที่สามารถสั่นคลอนดินแดนทั้ง 9 ชั้นได้ฉันเลยอยากรู้ว่าหากได้ครอบครองหัวใจพฤกษาจะแข็งแกร่งแค่ไหน”
เมื่อได้ยินคำถามของเฟิงหยวน เทียนหลางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังซึ่งนั่นทำให้เธอไม่พอใจเล็กน้อยก่อนจะถามเขา
”คุณหัวเราะอะไร ? ความคิดฉันมันตลกงั้นเหรอ ?”
”เปล่าหรอก ผมแค่ทึ่งเท่านั้นที่มีคนคิดแบบนี้ด้วย”
”หมายความว่ายังไง ?”
เฟิงหยวนถามด้วยความไม่เข้าใจ เทียนหลางจึงยิ้มและอธิบายให้กับเธอได้ฟัง
”เธอรู้ใช่ไหม ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถฝ่าฝืนกฏของสวรรค์และโลกได้”
เฟิงหยวนพยักหน้าทันทีเมื่อได้ยินคำถามนั้น ไม่ว่าคนผู้นั้นจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตามก็ไม่สามารถที่จะฝ่าฝืนกฏของสวรรค์และโลกได้มันคือกฏมีมาอย่างยาวนานมันคือกฏที่ถูกตั้งไว้ก่อนที่จะมีดินแดน 9 ชั้นเสียอีกซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่สามารถละเลยไปได้ต่อให้คนผู้นั้นจะเป็นผู้ปกครองสวรรค์ก็ตาม แต่ก็จะมีคนบางกลุ่มเท่านั้นที่ถูกละเว้นยกตัวอย่างเช่นเหล่า มหาเทพทั้งสิบ
เทียนหลางที่กำลังเฝ้ามองใบหน้าของเฟิงหยวนอยู่นั้นก็พูดขึ้น
”เธอกำลังคิดว่าเหล่ามหาเทพคือผู้ที่อยู่เหนือกฏของสวรรค์และโลกสินะ”
เฟิงหยวนพยักหน้าเทียนหลางจึงอธิบายต่อ
”เธอเข้าใจผิดแล้วหล่ะ เหล่ามหาเทพนั้นไม่ได้อยู่นอกเหนือกฏเหล่านั้นเลยเพียงพวกเขาถูกละเว้นชั่วคราวเท่านั้น”
”ละเว้นชั่วคราว ?”
”ถูกต้อง เหล่ามหาเทพจะถูกละเว้นในกฏบางข้อเท่านั้นเพื่อไม่ให้ขัดต่อการทำงานของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือกฏโดยแท้จริง”
เฟิงหยวนพยักหน้าเข้าใจก่อนที่จะฟังเทียนหลางอธิบายต่อ
”แต่ก็ยังมีสิ่งที่อยู่เหนือกฏเหล่านี้อยู่ 3 สิ่งหากไม่นับพระเจ้าที่เราไม่เคยเห็นหน้าค่าตาแล้วก็จะมีหนึ่ง มังกรสวรรค์ซึ่งถูกเรียกในอีกชื่อว่า มังกรแห่งนิรันดิ์ซึ่งเป็นตัวตนที่อยู่เหนือกฏเกณฑ์อย่างแท้จริงบ้างบอกว่ามังกรนิรันดิ์นั้นเป็นลูกของพระเจ้า มังกรนิรันดิ์นั้นเป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิตทั้งปวด ความรัก ความโอบอ้อมอารีและอื่นๆ”
”ส่วนสองนั้นคุณอาจจะเคยได้ยินชื่อมาบ้างนั่นก็คือ มังกรแห่งภัยพิบัติ”
”มังกรแห่งภัยพิบัติ ?”
”ใช่ หากมังกรแห่งนิรันดิ์คือตัวแทนของชีวิต มังกรแห่งภัยพิบัติก็จะเป็นตัวแทนของความตาย ความโศรกเศร้าเสียใจ เคลียดแค้นชิงชัง เปรียบได้ดั่งขั้วตรงข้ามของมังกรแห่งนิรันดิ์”
”แล้วสิ่งที่ 3 หล่ะ ?”
”3 นั้นก็คือหัวใจแห่งพฤกษานี้แหละ หากมังกรแห่งนิรันดิ์และมังกรแห่งภัยพิบัติเป็นขั้วตรงข้ามกันแล้วละก็ หัวใจแห่งพฤกษานั้นก็จะอยู่ตรงกลางคอยสร้างสมดุลระหว่างทั้งสองสิ่งอยู่อย่างเงียบๆ มานานตลอดนับหลายล้านปี”
เฟิงหยวนที่ได้ยินก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ พร้อมกับคิดถึงเรื่องที่เคยพูดออกมาก่อนหน้านี้อย่างการครอบครองหัวใจแห่งพฤกษาเมื่อเธอได้ฟังคำอธิบายของเทียนหลางแล้วนั้นเธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงได้หัวเราะออกมา
หลังจากที่คลายความสงสัยให้กับเฟิงหยวนได้แล้วเทียนหลางก็ได้เล่าเรื่องของสงครามกาย่าต่อ
”สงครามดำเนินต่อไปอีกหลายสิบปี หลังจากนั้นผมก็ขึ้นมาที่โลกนี้ผ่านประตูมิติหลังจากขึ้นมาได้ไม่ได้ก็ได้รู้เรื่องของสงครามแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก”
”ทำไมหล่ะ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็ลูบคางเบาๆ ก่อนจะตอบกลับ
”ไม่แน่ใจเหมือนกัน ผมก็จำเหตุผลที่แน่นอนไม่ได้อะนะ”
”แล้วคุณเข้าไปพัวพันกับสงครามได้ยังไง ?”
เทียนหลางลูบคางตัวเองเบาๆ อีกครั้งพร้อมกับใช้ความคิดแม้เหล่าเซียนนั้นจะมีความจำที่ดีเลิศแต่การที่จะนึกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งหมื่นปีออกนั้นคงต้องใช้เวลาอยู่สักพัก
”ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนผมจะไปช่วยเหลือลูกศิษย์หญิงจากสำนักหนึ่งเอาไว้นะแต่เพราะบาดแผลของเขานั้นหนักหนาเกินไปเขาจึงไม่รอด และเพราะผมไปช่วยเขาเอาไว้ผมจึงถูกสำนักฝั่งตรงข้ามเหมารวมว่าเป็นพวกเดียวกันจึงเข้ามาโจมตี ผมเลยฆ่าพวกนั้นซะหมดหลังจากเหตุการณ์นั้นทางสำนักฝั่งตรงข้ามและสำนักพันธมิตรได้ตั้งค่าหัวผมซะสูงลิบเพื่อหวังจะให้ทุกคนไล่ล่าและฆ่าผมหน่ะ”
เฟิงหยวนที่ได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะถามต่ออีกครั้ง
”แล้วเรื่องลูกหล่ะ ?”
”อ๋อ นั่นไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของผมหรอกนะ”
”ไม่ใช่ลูกที่แท้จริง ?”
”ใช่ ช่วงสามปีก่อนสงครามสิ้นสุดลงผมได้รับบาดเจ็บจากการไล่ล่าของเหล่าสำนักพันธมิตรทำให้ผมตกหน้าผาไปและถูกช่วยไว้โดยผู้หญิงคนนั้น เธอชื่อไป่ซีหยุนและลูกของเธอที่ชื่อไป่ซื่อหลิน เธอเป็นเพียงผู้บ่มเพาะชนชั้นกษัตริย์เท่านั้นซึ่งน่าแปลกใจที่เธออยู่รอดในสงครามนองเลือดเช่นนี้ได้”
เทียนหลางเงียบไปสักพักก่อนจะพูดต่อ
”ผมใช้เวลาอยู่กับเธออยู่พักหนึ่งเพื่อรักษาบาดแผล แต่หลังจากที่ใช้เวลาอยู่ด้วยพวกเราทั้งคู่ก็เกิดมีความรักให้แก่กันผมจึงแต่งงานกับเธอและรับไป่ซื่อหลินมาเป็นลูกบุญธรรม”
”แล้วหลังจากนั้นหล่ะ ?”
”หลังจากที่ตัดสินใจอยู่ด้วยกันไม่นานเหล่าสำนักพันธมิตรก็ได้พบเจอที่ซ่อนตัวของพวกเรา เดิมทีผมจะฆ่าพวกนั้นทั้งหมดก็ย่อมได้แต่จะให้ต่อสู้ไปพร้อมกับปกป้องสองแม่ลูกก็คงลำบาก พวกเราจึงตัดสินใจที่จะหนีกัน หลังจากหลบหนีไปได้เจ็ดวันพวกเราทั้งสามคนก็ได้รับการช่วยเหลือจากราชวงศ์หนึ่งที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับสำนักพันธมิตรหลังจากที่ได้รับความช่วยเหลือผมจึงตัดสินเข้าร่วมกับราชวงศ์นั้นและคิดบัญชีกับสำนักพันธมิตรทั้งหมด”
”คุณบอกว่า ก่อนสงครามจบลงใช่ไหม แล้วสงครามสิ้นสุดลงได้ยังไงหล่ะ ?”
”3 ปีให้หลังจากเหตุการณ์ที่ผมเข้าร่วมกับราชวงศ์จู่ๆ ดินแดนทดสอบของดวงจิตพฤกษาก็หายไปไม่มีใครล่วงรู้ถึงเหตุผลหรือการหายไปของมัน แต่ถึงมันจะหายไปสงครามก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิมเพราะการสูญเสียของแต่ละฝ่ายนั้นมีมากเกินไปที่จะยกเลิกสงครามกันดื้อๆ ดังนั้นพวกเขาจึงยังต่อสู้กันต่อแม้จะไม่มีดวงจิตพฤกษาให้แย่งชิงแล้วก็ตาม”
”ผมใช้เวลา 2 ปีหลังสงครามไล่กวาดล้างเหล่าสำนักพันธมิตรทั้งหมดหลังจากจัดการเรื่องราวทั้งหมดแล้วผมก็กลับมาอยู่กับไป่ซีหยุนและไปซื่อหลิน ผมคอยสั่งสอนไป่ซื่อหลินจนเธอสามารถป้องกันตัวเองและแม่ได้หลังจากนั้นผมก็ออกเดินทาง”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเฟิงหยวนก็ดูเหมือนจะนึกอะไรออกเธอจึงพูดขึ้น
”สองแม่ลูกนั่นคือคนที่คุยแอบหนีไปหาบ่อยๆ เมื่อก่อนใช่ไหม ?”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเฟิงหยวน เทียนหลางก็สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแห้งๆ
”คุณรู้ด้วยงั้นเหรอ ?”
”แน่นอนสิฉันรู้เมื่อก่อนคุณแอบหายไปบ่อยๆ แต่ทำไมเดียวนี้คุณไม่ได้ไปหาเธอแล้วหล่ะ”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ยิ้มออกมาด้วยใบหน้าเศร้าหมองก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ
”แม้จะเป็นเทพก็ไม่อาจหลีกหนีความตายได้”