The simple life of the emperor - ตอนที่ 89
แรงกดดันที่เทียนหลางปล่อยออกมานั้นทำให้โรงเตี้ยมถึงกับสั่นไหว เถ้าแก่เจ้าของโรงเตี้ยมเมื่อเห็นสถานะการณ์ไม่ดีก็รีบวิ่งออกมาหาเทียนหลางพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวลปนความหวาดกลัว
”นายท่านได้โปรดใจเย็นลงก่อน หากนายท่านยังทำเช่นนี้ต่อเกรงว่าโรงเตี้ยมของข้าคงจะได้ถล่มลงมาเป็นแน่”
เมื่อเทียนหลางได้ยินแบบนั้นเขาก็มองไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขมขื่นของเถ้าแก่เจ้าของโรงเตี้ยมก่อนเขาจะระงับแรงกดดันเอาไว้
”ข้าเห็นแก่หน้าเถ้าแก่ฉะนั้นข้าจะไม่ทำอะไร แต่ถึงอย่างงั้นข้าก็คงจะมองข้ามเรื่องที่เจ้าเศษสวะนี้พูดจากับข้าได้”
เมื่อเถ้าแก่ได้ยินดังนั้นก็หันไปมองที่ชายหนุ่มที่ตอนนี้เขากำลังนอนอยู่บนพื้นเพราะช็อคจากแรงกดดันของเทียนหลาง เถ้าแก่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับเทียนหลาง
”ข้าจะไม่ยุ่งเรื่องของนายท่าน แต่ข้าขอเตือนเอาไว้อย่างว่าชายคนนั้นเขาชื่อเหมาซื่อหยุนเป็นศิษย์หลักของสำนักอัคคี”
เทียนหลางพยักหน้าพร้อมกับมองไปที่เหมาซื่อหยุนที่กำลังนอนอยู่ที่พื้นพร้อมกับที่ลูกน้องของเขาที่กำลังวิ่งเข้ามาดูอาการก่อนจะพูดขึ้น
”คนของสำนักอัคคีงั้นรึ ? ต่อให้เป็นคนของสำนักใหญ่ข้าก็จำเป็นจะต้องมอบบทเรียนให้กับเขาเพื่อในภายภาคหน้าเขาจะได้รู้จักถ่อมตนเสียบ้าง”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็เดินตรงไปยังเหมาซื่อหยุน ในขณะนั้นเหมาซื่อหยุนก็เริ่มได้สติขึ้นมาเมื่อเหมาซื่อหยุนเห็นเทียนหลางกำลังเดินเข้ามาหาเขา เขาก็รีบที่จะถอยหนีทันทีพร้อมกับตะโกนขู่เทียนหลาง
”กะ… แกจะทำอะไรข้าเป็นถึงศิษย์หลักของสำนักอัคคีเชียวนะ ถ้าแกกล้าทำร้ายข้ารับรองได้เลยแม้แต่หัวหน้าผู้อาวุโสของสำนักต้องออกตามล่าแกอย่างแน่นอน !”
เมื่อเทียนหลางได้ยินคำขู่ของเหมาซื่อหยุนเขาก็หัวเราะออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”โห้ ~ นี่แกยังไม่รู้สถานะการณ์ของตัวเองอีกงั้นเหรอ ในตอนนี้แกไม่มีสิทที่แม้แต่จะพูดด้วยซ้ำฉะนั้นอยู่เฉยๆและยอมรับโทษซะเถอะ”
เทียนหลางไม่สนใจคำขู่ของเหมาซื่อหยุนเขาเดินเข้าไปจับที่หัวของเหมาซื่อหยุนก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
เมื่อเหมาซื่อหยุนได้เห็นรอยยิ้มของเทียนหลางก็เกิดหวาดกลัวขึ้นมาทันทีก่อนจะร้องโวยวายสั่งให้ลูกน้องของเขาเข้ามาช่วย
ลูกน้องของเหมาซื่อหยุนพยายามเข้ามาช่วยแต่ก็ถูกแรงกดดันของเทียนหลางที่ปล่อยออกมาผลักจนกระเด็นออกนอกร้านไป
เทียนหลางยิ้มออกมาพร้อมกับปลดปล่อยปราณกระแสหนึ่งเข้าสู่ร่างกายของเหมาซื่อหยุน ปราณของเทียนหลางพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเหมาสู่หยุนผ่านสมองและไหลไปตามเส้นลมปราณของเขาก่อนที่มันจะค่อยฉีกกระชากเส้นลมปราณพร้อมกับจุดชีพจรที่มันไหลผ่าน
ร่างกายของเหมาซื่อหยุนกระตุกอย่างต่อเนื่องพร้อมกับตาที่เหลือกขึ้น เลือดค่อยๆไหลจากปากและจมูกของเขาพร้อมกับการกรีดร้องที่น่าสยดสยองทำเอาลูกค้าในโรงเตี้ยมถึงกับหยุดทานอาหารกันไปตามๆกันและหันมาสนใจการกระทำของเทียนหลางอย่างจริงจัง
ในตอนนี้เหมาซื่อหยุนรู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังถูกบางสิ่งบางอย่างแทะจากภายใน ความเจ็บปวดมากมายที่สุดจะหยั่งถึงแล่นผ่านประสาทสัมผัสของเขาทำให้เหมาซื่อหยุนอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมาอย่างน่าสังเวช
เส้นชีพจร และเส้นลมปราณของเหมาซื่อหยุนถูกทำลายอย่างต่อเหนื่องพร้อมกับร่างกายของเหมาซื่อหยุนที่กลายเป็นสีขาวซีดอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัด
ไม่กี่วินาทีต่อมาเทียนหลางก็ถอนมือออกจากหัวของเหมาซื่อหยุน ปล่อยให้ร่างของเขาร่วงลงพื้นราวกับเศษผ้าแต่ตามจริงสภาพของเหมาซื่อหยุนตอนนี้จะเรียกว่าเศษผ้าก็คงไม่ได้ ต้องเรียกว่าเศษซากของมนุษย์เสียมากกว่า
เทียนหลางกลับมานั่งที่โต๊ะของเขาพร้อมกับจิบน้ำชาก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
”มาหิ้วขยะของพวกเจ้าไปสิ ข้าได้ลงโทษมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
เพื่อนของเหมาซื่อหยุนได้สติจากคำพูดของเทียนหลางก็รีบวิ่งเข้ามาหามเหมาซื่อหยุนที่กลายหมดสติออกจากโรงเตี้ยมไป ทางด้านเถ้าแก่ที่เห็นว่าพวกของเหมาซื่อหยุนไปแล้วเขาก็รีบออกมาพร้อมกับเข้ามาพูดคุยกับเทียนหลางอย่างเป็นมิตร
”นายท่านไม่เกรงกลัวพวกสำนักอัคคีงั้นหรือ ?”
เทียนหลางวางถ้วยน้ำชาลงพร้อมกับหัวเราะให้กับคำถามของเถ้าแก่โรงเตี้ยมก่อนจะพูดขึ้น
”พวกนั้นมิกล้าทำสิ่งใดกับข้าหรอก พวกเขาติดหนี้ข้าอยู่นิดหน่อยแต่ถึงจะกล้าเขาก็ไม่สามารถทำอะไรข้าได้อยู่แล้วเถ้าแก่อย่าได้กังวลไปเลย”
เถ้าแก่พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะคิดในใจ แรงกดดันเมื่อครู่นั้นมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าแรงกดดันจากผู้อาวุโสของสำนักใหญ่เสียอีกเถ้าแก่เลยประมาณได้ว่าชายหนุ่มและหญิงสาวตรงหน้านั้นแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าผู้อาวุโสของสำนักใหญ่มากนักดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ได้กังวลเรื่องที่คนของสำนักใหญ่จะกลับมาแก้แค้น
หลังจากนั้นเทียนหลางก็ถามเถ้าแก่เกี่ยวกับงานประมูลร้อยสำนัก ช่างน่าแปลกใจที่แม้แต่คนธรรมดาที่เมืองนี้ก็ยังรู้จักงานประมูลร้อยสำนักแต่จากคำบอกเล่าของเถ้าแก่โรงเตี้ยมได้บอกว่าผู้คนในเมืองนี้ล้วนแต่รู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวรยุทธทั้งสิ้นไม่เว้นแม้แต่เด็ก แม้แต่คนเฒ่าคนแก่บางคนในเมืองนี้ก็ยังเคยเป็นคนของโลกวรยุทธที่เกษียณตัวเองออกมาด้วยเช่นกัน
หลังจากถามไถ่อยู่พักหนึ่งเทียนหลางก็ได้รู้สถานที่จัดงานประมูลซึ่งจำเป็นจะต้องเดินขึ้นไปที่ยอดหุบเขาจือหยวนแต่ขั้นตอนหลังจากนั้นเถ้าแก่ก็ไม่สามารถบอกได้เพราะเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน
เมื่อทานอาหารเสร็จเทียนหลางก็ถามกับเฟิงหยวนว่า
”จะไปที่งานประมูลเลยไหม หรือจะเดินชมเมืองกันก่อน ?”
เฟิงหยวนคิดสักพักก่อนจะตอบกลับอย่างง่ายๆ
”ไปที่งานประมูลเลยเถอะ”
”เข้าใจแล้ว”
เทียนหลางพยักหน้าและทั้งคู่ก็เดินตรงไปยังหุบเขาจือหยวน
——————————————————————————————————————————
ทั้งสองคนใช้เวลาไม่นานเพื่อเดินมาถึงยอดหุบเขาแต่ทั้งคู่ก็ต้องแปลกใจเล็กที่เพราะเมื่อมาถึงยอดเขานั้นพวกเขาไม่ได้พบอะไรเลยมีเพียงสะพานไม้เก่าๆทอดยาวไปยังม่านหมอกเท่านั้น
เทียนหลางอดไม่ได้ที่จะขำออกมาเล็กน้อยก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปยังสะพานไม้แห่งนั้น
เมื่อมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของสะพานไม้ทั้งคู่ก็สัมผัสได้ถึงค่ายอาคมที่ถูกวางปกคลุมเอาไว้ตลอดเส้นทางบนสะพาน เทียนหลางคาดว่านี้คงจะเอาไว้หลอกใครบางคนเพื่อที่จะไม่ให้เดินขึ้นสะพานไม้นี้ไปและก็เพื่อซ่อนเส้นทางที่ตรงไปยังเป้าหมายอีกด้วย
หลังจากเดินมาได้ไม่นานทั้งคู่ก็ออกมาจากหมอกหนาที่ปกคลุมสะพานไม้เอาไว้ เมื่อออกมาทั้งคู่ก็พบกับลานกว้างขนาดใหญ่และอาคารที่ถูกสร้างจากไม้และถูกตกแต่งอย่างดีที่สูงราวตึกหกชั้นซึ่งป้ายด้านหน้าของตึกนั้นถูกเขียนเอาไว้ว่า ‘หอประมูลร้อยสำนัก’
ทั้งคู่เลยเดาได้ว่าที่แห่งนี้คงจะเป็จุดหมายเป็นแน่ และที่ลานกว้างนั้นก็มีคนมากมายมาตั้งร้านขายของข้างทางอยู่เป็นจำนวนมาก จากที่ดูๆแล้วคงเป็นคนจากสำนักหรือนิกายขนาดเล็กที่จะมาหารายได้เล็กๆน้อยๆเข้าสำนัก
จากที่หลินฮัวฮัวได้บอกมานั้นการประมูลจะเริ่มในเวลาบ่ายโมงตรงซึ่งตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกเพียงไม่มากแล้วก่อนที่งานประมูลจะเริ่ม น่าเสียดายที่ตัวเขาและเฟิงหยวนนั้นไม่ได้มีโอกาสจะเดินเที่ยวตลาดเลยแม้แต่น้อยแต่ก็เดียวค่อยมาเดินดูตอนงานประมูลจบก็คงจะไม่สายเกินไป
เมื่อเทียนหลางและเฟิงหยวนเดินมาถึงด้านหน้าของหอประมูลก็ถูกขวางเอาไว้โดยคนจำนวนหนึ่งที่สวมชุดสีแดงเพลิงซึ่งเทียนหลางก็พอจะเดาได้ว่าคนเหล่านี้เป็นใคร
ยังไม่ทันที่เทียนหลางจะได้พูดอะไรหนึ่งในกลุ่มคนที่มาขวางเทียนหลางเอาไว้ก็พูดขึ้น
”แกซินะที่ทำร้ายศิษย์พี่ซื่อหยุน !?”
เทียนหลางมองไปยังต้นเสียงก็พบกับชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเหมาซื่อหยุน เขามีใบหน้าที่แดงก่ำซึ่งมาจากอารมณ์โกรธที่ดูจะคุกรุ่นจนเกือบจะปะทุออกมา เขาจ้องมองมายังเทียนหลางด้วยใบหน้าที่ดุร้ายก่อนจะเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
”ขยะอย่างแกเนี้ยนะทำร้ายศิษย์พี่ซื่อหยุนได้ ? ถ้าไม่เห็นจะสัมผัสได้ถึงปราณในร่างกายของแกเลยแม้แต่น้อย”
เมื่อเทียนหลางได้ยินคำพูดของชายตรงหน้าเขาก็อยากจะที่หัวเราะออกมาเพราะเขาไม่คิดว่าเจ้าโง่ตรงหน้าจะไม่รู้จักเทคนิคปกปิดตนที่เก็บซ่อนปราณของตนเองเอาไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกมา ไม่น่าเชื่อว่าคนจากสำนักใหญ่จะไม่ได้สอนเทคนิคพื้นฐานแบบนี้ให้กับศิษย์
ชายหนุ่มตรงหน้าเห็นเทียนหลางไม่ได้พูดอะไรเขาก็เลยเริ่มที่จะหยิ่งพยองเพิ่มขึ้นเขากล่าวออกมาเสียงดังเพื่อเรียกให้ตรงที่อยู่รอบข้างสนใจ
”ขยะอย่างแกเนี้ยนะเหรอกล้ามาหาเรื่องกับสำนักอัคคี เดียวข้าจะสะ-”
เปรี้ยง !
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบร่างกายเขาก็ปลิวไปชนกับร้านแผงลอยที่ตั้งห่างไปสองร้อยเมตรเสียแล้ว เทียนหลางถอนหายใจพรางสบัดมือก่อนจะกล่าว
”ไร้สาระชะมัด”
หลังจากที่จัดการเรื่องเล็กน้อยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาและเฟิงหยวนก็เตรียมที่จะเดินเข้าไปในงานประมูล ในจังหวะนั้นเองทั้งคู่ก็สัมผัสได้ถึงปราณกระแสหนึ่งพุ่งเข้ามาใส่พวกเขา เทียนหลางกางมือออกไปเล็กน้อยเพื่อป้องกัน
ตูม !!
การปะทะสร้างแรงสั่นสะเทือนอยู่เล็กน้อยเมื่อฝุ่นควันจางลงเทียนหลางก็เห็นคนที่โจมตีเขาซึ่งคือชายวัยกลางคนใบหน้าดูมีดุดันเล็กน้อยแต่ก็แฝงไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ เทียนหลางจ้องมองเขาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”โจมตีคนอื่นโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้ ช่างน่านับถือยิ่งนัก”
เมื่อชายคนนั้นได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวเล็กน้อย
”เธอคือคนที่ทำร้ายเหมาซื่อหยุนศิษย์ของฉันสินะ ?”
”ถูกต้อง ทำไมงั้นรึ ?”
เมื่อได้ยินคำยืนยันของเทียนหลางใบหน้าที่สงบของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นดุดันมากยิ่งขึ้น
”เธอกล้าดียังไงกล้ามาทำร้ายคนของสำนักอัคคีและศิษย์ของข้าเทียนเมิ๋นผู้นี้”
เทียนหลางที่ได้ยินคำกล่าวของเทียนเมิ๋นก็อดมไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาพร้อมกับพูดขึ้น
”ทำไมข้าจะสั่งสอนเด็กที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไม่ได้ ? ในเมื่อมันมากวนเวลาของข้ากับภรรยาที่กำลังทานอาหารกันอยู่”
เทียนเมิ๋นได้ยินดังนั้นเขาก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธทันที
”แต่เจ้าก็ไม่ควรทำลายการบ่มเพาะของเขาจนกลายเป็นคนพิการเช่นนี้ !!”
เทียนหลางถอนหายใจออกมาพร้อมกับตอบกลับ
”การลงโทษของข้าถือว่ายังเป็นสถานเบา หากไม่ใช่เพราะเจ้าของโรงเตี้ยมนั้นห้ามข้าเอาไว้ข้าคงฆ่าศิษย์ของเจ้าไปแล้ว”
”เจ้านี่ช่าง !!”
เทียนเมิ๋นโมโหจนถึงขีดสุดที่ศิษย์อันดับหนึ่งของเขาถูกทำให้ไม่สามารถบ่มเพาะได้อีกแล้วซึ่งภายในโลกวรยุทธการที่ไม่สามารถบ่มเพาะได้ก็เปรียบเสมือนว่าเขาคนนั้นได้กลายเป็นคนพิการเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว
แม้เทียนเมิ๋นจะโกรธแต่เขาก็ไม่วู่วามที่จะโจมตีเทียนหลางในตอนแรกเขาพยายามจะให้เทียนหลางเข้ามาขอโทษเขาจากเหตุการณ์นั้นด้วยการที่แสดงฐานะของตนเองออกไปเพราะเขานั้นเป็นถึงหนึ่งในผู้อาวุโสหลักของสำนักอัคคีดังนั้นชื่อเสียงของเทียนเมิ๋นจึงถือว่ายิ่งใหญ่พอสมควร แต่ดูเหมือนเทียนหลางเองดูจะไม่ได้สนใจฐานะของเขาเลยแม้แต่น้อย
เทียนเมิ๋นถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”ข้าจะให้โอกาสเจ้าเข้ามาขอโทษข้าพร้อมกับไปขอขมาเหมาซื่อหยุนต่อเหตุการณ์ที่ได้กระทำไป หากเจ้าไม่ตกลงแล้วละก็คงช่วยไม่ได้ที่ข้าจะต้องทำลายการบ่มเพาะของเจ้า”
เทียนหลางที่ได้ยินก็หัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะพูดขึ้น
”ขอโทษ ? ขอขมา ? หัวของเจ้าไปกระแทกอะไรมาหรือเปล่าเทียนเมิ๋นเอ๋ย การต่อสู้ในโลกของผู้บ่มเพาะนั้นมีอยู่ตลอดเวลาการที่คนๆหนึ่งนั้นสูญเสียการบ่มเพาะของเขาไป เหตุใดข้าจะต้องไปขอโทษขอโพยด้วยเล่า หากจะโทษละก็ ก็จงโทษที่ศิษย์ของเจ้านั้นอ่อนแอและหยิ่งพยองเสียเถิด”
เมื่อได้ยินคำพูดของเทียนหลางอารมณ์ของเทียนเมิ๋นที่ถูกเก็บเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็ปะทุออกมาทันทีพร้อมกับที่เขาพุ่งเข้าหาเทียนหลาง
”ข้าจะฆ่าเจ้าซะ เจ้าเด็กเหลือขอ !!”
เมื่อเห็นเทียนเมิ๋นพุ่งเข้ามาพร้อมกับเปลวไฟที่ลุกโชนบนฝ่ามือ เขาก็หาได้เกรงกลัวแต่เขากลับหันไปพูดคุยกับเฟิงหยวนว่า
”ขอจัดการตรงนี้ครู่นึงนะ”
เฟิงหยวนก็พยักหน้าตอบรับก่อนจะเอ่ยขึ้น
”รีบหน่อยแล้วกัน”
”เข้าใจแล้ว”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็พุ่งเข้าใส่เทียนเมิ๋น เทียนเมิ๋นที่เห็นว่าเทียนหลางพุ่งเข้ามาหาเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาพร้อมกับคิดในใจ
‘ช่างโง่เขลายิ่งนัก พุ่งเข้าใส่ข้าที่การบ่มเพาะอยู่ในจุดสูงสุดของชนชั้นนภา ขั้น9 งั้นรึ’
เทียนเมิ๋นคิดว่าตอนนี้ชัยชนะได้อยู่ในกำมือของเขาแล้ว เขาเลยยิ้มออกมาโดยไม่ได้สังเกตุเลยว่าเทียนหลางนั้นพุ่งเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วที่รวดเร็วขนาดไหน
เทียนหลางมองไปที่ฝ่ามือของเทียนเมิ๋นก่อนจะพูดชมเชยออกมา
”โอ้ ~ เทคนิคที่ช่วยทำให้ส่วนฝ่ามือและแขนมีพลังของธาตุไฟปะทุออกมา ช่างน่าชื่นชมนักดูท่าเจ้าจะภูมิใจในฝ่ามือนั้นมากซะเหลือเกินนะ”
เทียนเมิ๋นไม่ได้ตอบกลับอะไรเทียนหลางเขาเพียงแต่เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังก่อนจะพุ่งเข้าปะทะกับเทียนหลาง
เปรี้ยง !!
แรงปะทะของทั้งคู่ทำให้เกิดลมกรรโชกที่รุนแรงพัดไปทั่วบริเวณพร้อมกับฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว
เมื่อฝุ่นควันจางหายไปเหล่าผู้ชมที่ล้อมรอบอยู่ก็พบเห็นภาพที่น่าตกตะลึงซึ่งก็คือ เทียนหลางกำลังแขนที่ลุกไหม้ของเทียนเมิ๋น
เทียนเมิ๋นช็อคมากที่เห็นว่าเทียนหลางกล้าที่จะจับแขนของเขาแบบนี้ เขาพยายามจะดึกแขนของตัวเองกลับแต่มันกลับไม่ขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย
ใบหน้าของเทียนเมิ๋นกลายเป็นบูดบึ้งต่างจากเทียนหลางที่กำลังยิ้มอยู่
เทียนหลางเห็นใบหน้าของเทียนเมิ๋นเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”ดูเหมือนเจ้าจะภูมิใจกับฝ่ามือและแขนของตัวเองซะเหลือเกินนะ ถ้างั้นเพื่อเป็นการลงโทษที่เจ้าลอบทำร้ายข้าก่อนหน้านี้ข้าขอสิ่งสำคัญของเจ้าไปก็แล้วกัน”
เทียนเมิ๋นที่ได้ยินคำพูดของเทียนหลางก็ได้แต่งุนงง
”สิ่งสำคะ-”
แคว้กกกก !
อ๊ากกกกกกกกกกก !
เสียงฉีกกระชากอย่างรุนแรงดังขึ้นตามมาด้วยเสียงร้องอันโหยหวนของเทียนเมิ๋นพร้อมกับเลือดที่สาดกระจายไปทั่วบริเวณ ภาพที่แขนทั้งสองข้างของเทียนเมิ๋นผู้อาวุโสของสำนักอัคคีถูกชายหนุ่มฉีกออกราวกับกระดาษสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วทั้งลานกว้าง
พูดคนต่างพูดคุยกันถึงเหตุการณ์น่าสยองนี้กันอย่างรวดเร็ว
ทางด้านของเทียนเมิ๋นที่เสียแขนทั้งสองข้างไปก็ได้แต่นอนดิ้นอยู่บนพื้นโดยที่มีศิษย์ของสำนักอัคคีเข้ามาช่วย พวกเขามองเทียนหลางที่ยืนถือแขนทั้งสองข้างของเทียนเมิ๋นอย่างหวาดกลัว แม้พวกเขาอยากจะเข้าไปเอาแขนของเทียนเมิ๋นคืนมากแค่ไหนแต่พวกเขาก็ไม่กล้าหาญขนาดนั้น
เทียนหลางยืนมองเทียนเมิ๋นและบรรดาศิษย์ของสำนักอัคคีด้วยสายตาเย็นเชียบก่อนจะพูดขึ้น
”ข้าเป็นคนที่ไม่ค่อยอะไรพวกนี้เสียด้วยสิ เช่นนั้นข้าคืนมันให้เจ้าก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็โยนแขนทั้งสองข้างของเทียนเมิ๋นกลับไปให้ศิษย์ของสำนักอัคคีราวกับโยนเศษกระดาษลงพื้นก่อนจะเดินกลับไปหาเฟิงหยวนและทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในหอประมูลร้อยสำนัก