The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 108
บทที่ 108 ความวุ่นวายที่กําลังจะเกิดขึ้น!
และเมื่อพวกเขามาถึงหอพักของถงเล่ย หญิงสาวอีกสามคนที่พักห้องเดียวกันกับถงเล่ยก็มาถึงแล้ว ถงเล่ยกล่าวทักทายพวกเขาเล็กน้อยและลงมือจัดเตียงของเธอด้วยความช่วยเหลือของจี้เฟิง
อาจเป็นเพราะสาวๆเพิ่งจะพบกันเป็นครั้งแรก พวกเธอจึงไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก เพราะหลังจากที่พวกเธอทักทายกล่าวสวัสดีกันเรียบร้อยแล้ว พวกเธอต่างก็ยุ่งอยู่กับการจัดที่นอนและของใช้ส่วนตัว ในหมู่พวกเธอมีเด็กสาวผมสั้นคนหนึ่ง เธอกําลังถือหนังสือและนั่งท่องมันด้วยเสียงที่เบาอยู่บนเตียงของเธอ จี้เฟิงเห็นว่าเธอคนนี้มีความขยันอย่างมาก เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเธออยู่สองสามครั้ง
เป็นที่รู้กันดีว่าหลังจากจบชั้นมัธยมปลาย นักเรียนส่วนใหญ่จะหลงระเริงไปกับชีวิตใหม่ในมหาวิทยาลัยก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากนักเรียนเหล่านั้นใช้ชีวิตที่เคร่งเครียดและกดดันมาตลอดในช่วงมัธยม ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้เข้ามหาวิทยาลัยพวกเขาที่เคยมุ่งมั่นแต่กับการเรียนและท่องหนังสือจึงแทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคน
ดังนั้นเมื่อจี้เฟิงเห็นเด็กผู้หญิงผมสั้นคนนี้กําลังตั้งใจนั่งท่องหนังสือในวันแรกของการเข้ามหาวิทยาลัย จี้เฟิงจึงมีความอยากรู้อยากเห็น
หลังจากดูเวลา จี้เฟิงก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว จี้เฟิงจึงกดโทรศัพท์โทรหาจางเล่ยและนัดเจอกันที่ชั้นล่างของหอพักของจางเล่ย จากนั้นจึงพาถงเล่ยออกไป
เมื่อตอนที่จี้เฟิงพาถงเล่ยออกจากห้องของเธอ เขาสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าเด็กผู้หญิงอีกสองคนมองมาที่ถงเล่ย แต่แววตาที่มองนั้นเป็นแววตาของความอิจฉา แต่จี้เฟิงก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าผู้หญิงสามคนนั้นอิจฉาอะไร
มีเพียงผู้หญิงผมสั้น ที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือของเธออย่างจริงจัง ที่แตกต่างจากเด็กผู้หญิงคนอื่นๆโดยสิ้นเชิง
เมื่อจี้เฟิงและถงเล่ยมาถึงชั้นล่างที่หอพักของจางเล่ย พวกเขาก็เห็นว่าจางเล่ยนั้นยืนรออยู่แล้ว สิ่งที่ทําให้จี้เฟิงหัวเราะออกมาทันทีเมื่อได้เห็นก็คือ จางเล่ยที่กําลังถือโทรศัพท์มือถือของเขา เพื่อแสร้งว่าถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆ และถ้ามองดีๆจะพบว่าแม้ลักษณะการถ่ายรูปของจางเล่ย จะดูเหมือนถ่ายอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่จี้เฟิงก็สามารถสังเกตเห็นได้จริงๆ ว่าเมื่อใดก็ตามที่มีเด็กผู้หญิงเดินผ่าน โทรศัพท์ของจางเล่ยก็จะหยุดอยู่ในทิศทางนั้นอย่างทันที
แน่นอนอยู่แล้วว่าจางเล่ยกําลังเก็บภาพสาวๆในมหาวิทยาลัย
ถงเล่ยก็สังเกตเห็นเช่นเดียวกัน เธอจึงจ้องเขม็งไปทางจางเล่ยและพูดด้วยเสียงเย็นชาแต่ชัดเจน “ถ้าพี่ยังกล้าที่จะทําตัวแบบนี้ ฉันก็กล้าที่จะฟ้องพ่อเหมือนกัน!”
“แฮะๆ” จางเล่ยได้แต่หัวเราะแห้งๆ และรีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว แต่เขารู้ดีว่า ถงเล่ยน้องสาวของเขาแค่ขู่ให้เขากลัวเท่านั้นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขาสองพี่น้องนั้นดีมาก ถึงเธอจะบ่นและขู่เขาอยู่บ่อยๆ แต่เธอจะไม่ทําอะไรให้เขาต้องโชคร้ายอย่างแน่นอน
“เจ้าบ้า ตอนนี้มันยังเร็วเกินไป ฉันว่าเราไปหาอะไรกินกันก่อนแล้วค่อยไปเดินเล่นกันทีหลังดีกว่า” จางเล่ยพูดกับจี้เฟิงแต่สายตาของเขากลับมองไปรอบๆ และเมื่อใดก็ตามที่มีสาวสวยเดินผ่านมา เขาก็จะมองตามจนคอแทบจะหัก
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ไปเดินซื้อของกันก่อนแล้วกัน พอดีว่าเพื่อนร่วมห้องของฉันเขาอาจจะไปกับพวกเราด้วยในตอนค่ํา แต่ถ้าเขายังไม่โทรมาภายในครึ่งชั่วโมง เราค่อยไปหาข้าวกินกัน”
จางเล่ยพยักหน้าและพูดว่า “ได้เลย ไม่มีปัญหา! แต่มันจะน่าสนใจกว่านี้ถ้าคนที่จะไปกับเราเป็นสาวๆสวยๆสักสองสามคน”
จี้เฟิงเหล่มองด้วยรอยยิ้มและส่ายหัว “ถึงจะมีสาวสวยมาจริงๆ นายจะกล้ายุ่งกับพวกเธอจริงๆหรือ?”
จี้เฟิงรู้ดีว่า ที่จางเล่ยพูดนั้นพูดเพียงเพื่อสร้างความสนุกสนานเท่านั้น เพราะอย่างที่รู้กันว่าจางเล่ยเป็นรุ่นที่สามของตระกูลถง จึงเป็นธรรมดาที่จะถูกคาดหวังจากผู้ใหญ่ในตระกูล ดังนั้นมันจึงทําให้เขาไม่กล้ายุ่งกับผู้หญิงจนเลยเถิดอย่างแน่นอน
” จางเล่ยพูดไม่ออก
ในขณะที่ทั้งสามคุยเล่นและหัวเราะกันอยู่นั่นเอง โทรศัพท์ของจี้เฟิงก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา และในตอนนั้นเองโทรศัพท์มือถือที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรนักกลับดึงดูดความสนใจของจางเล่ยในทันที เขาตะโกนออกมาว่า “พระเจ้า! ไม่จริงใช่มั้ย!?”
ถงเล่ยที่เห็นพี่ชายของเขาที่จู่ๆก็ตะโกนออกมาหลังจากที่เห็นจี้เฟิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “จู่ๆก็ตะโกนเอะอะเสียงดัง แล้วอะไรที่ไม่จริง?”
จางเล่ยชี้ไปที่จี้เฟิงและพูดด้วยความอิจฉา “โทรศัพท์มือถือของเจ้าบ้านี่ ถ้าฉันดูไม่ผิด ดูเหมือนว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือที่นิยมใช้ในทางการทหาร ฉันเคยอยากได้มากจนขอร้องให้พ่อซื้อให้ แต่นอกจากพ่อจะไม่ยอมซื้อให้แล้ว ฉันยังโดนเขาบ่นกลับมาชุดใหญ่อีกต่างหาก!”
“มันไม่เหมือนโทรศัพท์มือถือทั่วไปยังไง?” ถงเล่ยมองไปที่โทรศัพท์มือถือของจี้เฟิงและหันกลับไปถามจางเล่ย “โทรศัพท์ของจี้เฟิงมันดีมากเลยเหรอ พี่ถึงอยากได้ขนาดยอมขอพ่อให้ซื้อให้เนี่ย!?”
“น้องรัก เธอไม่รู้หรอกว่าฟังก์ชั่นของโทรศัพท์ที่จี้เฟิงถือยู่ในมือมันดีแค่ไหน มันมีประสิทธิภาพมากกว่าคอมพิวเตอร์ธรรมดาๆทั่วไปเสียอีกทีนี้!” จางเล่ยส่ายหัวซ้ําๆ และมองไปที่จี้เฟิงด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“นั่นเป็นโทรศัพท์ของจี้เฟิง พี่ห้ามทําอะไรที่คิดอยู่ในหัวอย่างเด็ดขาด!” เมื่อถงเล่ยเห็นสายตาของจางเล่ยที่จ้องมองโทรศัพท์มือถือของจี้เฟิง เธอก็รู้ได้ทันทีว่าพี่ชายของเขากําลังจะทําอะไร
เมื่อได้ยินน้องสาวแสนสวยของเขาชิงพูดห้ามตัดหน้าก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยอะไรออกมา เขาก็ถึงกับทําหน้าสลดและส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “โอ้น้องรักของพี่ฉันยังเป็นพี่ชายของเธออยู่จริงๆใช่มั้ย แม้ว่าจี้เฟิงจะเป็นแฟนของเธอ แต่เธอคงจะไม่เลือกเข้าข้างเขาในทุกเรื่องใช่หรือไม่?”
“ฉันไม่ได้เข้าข้างใคร แต่มันเป็นเรื่องของความถูกต้อง!” ถงเล่ยจ้องมองเขา
จางเล่ยส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าแผนการของเขาที่จะขอแลกมือถือกับจี้เฟิงคงจะพังพินาศตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม อย่างไรก็ตามถึงแม้ตอนนี้เขาจะยังไม่สามารถได้โทรศัพท์เครื่องนี้มาไว้ในมือ แต่เขาก็จะไม่ยอมตัดใจจากมันไปง่ายๆ เขาต้องคิดหาวิธีอะไรก็ตามแต่ที่จะให้จี้เฟิงช่วยเหลือเขาในเรื่องนี้ให้จงได้ เพราะประสิทธิภาพและความน่าสนใจในโทรศัพท์เครื่องนี้มีมากเสียจนจางเล่ยไม่อาจจะตัดใจจากมันได้เลยจริงๆ
ในตอนนี้จี้เฟิงหันกลับมาหลังจากที่คุยโทรศัพท์เสร็จ เขายิ้มและพูดว่า “เพื่อนร่วมห้องฉัน ตู้เส้าเฟิงโทรมา เขาบอกให้พวกเราไปเจอกันที่หน้าประตูมหาลัย คืนนี้เราจะไปรวมตัวที่โรงแรมเหอซุนกัน!”
“จี้เฟิง ฉันว่าฉันไม่ไปน่าจะดีกว่า?” ถงเล่ยพูดอย่างลังเล
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ไปด้วยกันเถอะ เพราะในอนาคตเธอก็ต้องเจอพวกเขาอยู่ดี ไปพร้อมกันเลยนี่แหละ!”
ถงเล่ยพยักหน้าเล็กน้อยและไม่ได้คิดที่จะปฏิเสธอีก ในความเป็นจริงแล้วเธอรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เพราะเธอไม่เคยมีเพื่อนมาก่อน แต่ตอนนี้เธออยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะปฏิเสธและมันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีที่จะได้ไปพบและทําความรู้จักกับเพื่อนร่วมห้องของจี้เฟิง
ทั้งสามคนมุ่งหน้าตรงไปที่ประตูของมหาวิทยาลัย จางเล่ยเหลือบมองไปทางจี้เฟิงเป็นระยะๆตลอดทาง เขาดูลังเลเหมือนต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่างกับจี้เฟิง แต่เมื่อเขาหันไปเห็นสายตาของถงเล่ยในทุกครั้งที่เขากําลังจะอ้าปากพูด เขาก็ต้องกลับไปหุบปากเงียบตามเดิม
“ฮ่าฮ่า!” จางเล่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เล่ยซือ นายต้องการจะพูดอะไร?”
“จี้เฟิง! อย่าไปฟังเขา ฉันรู้ว่าเขาคิดอะไร เขาจ้องโทรศัพท์ของนายอย่างไม่วางตาตั้งแต่ที่นายหยิบมันขึ้นมา ฉันคิดว่าเขาต้องการที่จะขอแลกโทรศัพท์มือถือของเขากับโทรศัพท์มือถือของนาย!” ถงเล่ยตอบแทนจางเล่ยพร้อมกับห้ามจี้เฟิง
จางเล่ยที่อยู่ข้างๆจี้เฟิงพยักหน้าทันทีและพูดว่า “เจ้าบ้าโทรศัพท์มือถือของนายใช่ที่พวกทหารใช้กันหรือเปล่า มันใช้ดีมั้ย ถ้าวันไหนนายไม่ต้องการแล้วนายเอามาแลกเปลี่ยนกับโทรศัพท์มือถือของฉันได้นะ!”
จี้เฟิงมองจางเล่ยด้วยหางตาเขายิ้มบางๆและพูดว่า “ฉันเพิ่งจะได้รับมา ยังไม่รู้เลยว่ามันใช้ดีหรือไม่ดี แล้วฉันจะตอบนายได้ยังไง”
จางเล่ยยิ้มและพูดอย่างหน้าไม่อาย “เจ้าบ้า นายตอบฉันมาคําเดียว จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน!”
“ไม่เปลี่ยน!” จี้เฟิงตอบด้วยเสียงที่ดังฟังชัด “อย่างที่ฉันเคยบอกนายไปแล้ว ว่าฉันยังไม่อยากจะใช้โทรศัพท์มือถือในตอนนี้ แต่โทรศัพท์เครื่องนี้อาของฉันเป็นคนให้มา เพราะฉะนั้นฉันคงจะเปลี่ยนกับนายไม่ได้!”
จางเล่ยยังคงไม่ยอมท้อถอยเขาพูดขึ้นว่า “ถ้านายไม่อยากเปลี่ยนกับฉันก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยนายช่วยพูดกับอาของนายและขอโทรศัพท์แบบนี้มาอีกสักเครื่องได้หรือเปล่า?”
จี้เฟิงไม่เข้าใจจริงๆว่าทําไมเขาถึงอยากได้ขนาดนี้ แต่เขาก็พยักหน้ารับและพูดว่า “อืม ไว้ฉันจะลองถามอาสามให้ แต่ฉันไม่รับปากนะว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่นายต้องการหรือเปล่า แล้วถ้ามันไม่เป็นอย่างที่นายหวัง นายก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบ่นอีก!”
“ไม่ต้องห่วง ขอแค่นายพูดกับอาของนายให้ ฉันก็ขอบคุณมากๆแล้ว!” จางเล่ยดีใจมาก เขายิ้มอย่างร่าเริงทันที จางเล่ยรู้ว่าแม้แต่จี้เฟิงก็ไม่รู้ว่าจี้เจิ้นผิงอาคนที่สามของเขาอยู่ในตําแหน่งใดในกองทัพ นับประสาอะไรกับโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียว เพราะแม้จะได้อาวุธมาสักชิ้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ตราบใดที่จี้เฟิงตกลงรับปากที่จะพูดให้ก็น่าจะมีความเป็นไปได้สูง
เมื่อทั้งสามคนมาถึงประตูของมหาวิทยาลัย พวกเขาก็เห็นชายผิวดําร่างใหญ่ยืนอยู่
“เจ้ายักษ์ผิวดํานี่ สรุปว่าว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนายเหรอ?” จางเล่ยอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเมื่อเห็นจี้เฟิงโบกมือให้ผู้เส้าเฟิง “มันจะบังเอิญเกินไปแล้ว พวกเราเพิ่งจะเจอเขาไปเมื่อตอนเย็น ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอเขาอีกครั้งในตอนนี้!”
จี้เฟิงพยักหน้าและหัวเราะ “อย่าว่าแต่นายเลย ฉันเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน!”
ถงเล่ยที่ยืนอยู่ข้างๆจี้เฟิง ตอนนี้ใบหน้าสวยๆของเธอกําลังแดง เพราะเมื่อเห็นชายร่างใหญ่ ตู้เส้าเฟิงเธอก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่เธอไปช่วยจี้เฟิงจัดเตียงที่หอพักของเขา เธอเกือบจะถูกชายร่างใหญ่คนนี้เห็นในตอนที่เธอกับจี้เฟิงแสดงความรักต่อกัน เธอจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจ
“หือ!?” จู่ๆจางเล่ยก็ตกตะลึง “เจ้าบ้า ดูนั่น ผู้ชายคนนั้นใช่อู๋จุนเจี้ยที่เราเจอบนรถไฟหรือเปล่า?”
จี้เฟิงหันหน้าไปทันที และเห็นว่าอู๋จุนเจียยืนอยู่ตรงที่จางเล่ยชี้ ไม่ไกลจากประตูโรงเรียนที่พวกจี้เฟิงยืนอยู่ มีรถโตโยต้าสีดําจอดอยู่ และมีคนสองสามคนกําลังยืนคุยกันอยู่ข้างๆรถและแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คืออู๋จุ้นเจี่ยที่เขาพบก่อนหน้านี้บนรถไฟ
“ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก เราไปกินข้าวกันดีกว่า!” จี้เฟิงบอกกับจางเล่ย
อู๋จุ้นเจี่ยเป็นเพียงผู้ชายที่ใช้พลังอํานาจจากตระกูลของเขา คนแบบนี้จึงไม่มีค่าพอที่จี้เฟิงจะใส่ใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนจี้เฟิงคงจะระมัดระวังตัวเมื่อเจอคนแบบนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าด้วยซ้ํา
“ว่ากันว่าวิธีที่ดีที่สุดในการปฏิบัติต่อคนประเภทนี้คือการเอาชนะเขาจนเขาไม่กล้าที่จะมายุ่งกับเราหรือถ้าไม่อย่างนั้นก็ให้เพิกเฉยต่อเขาไปเลยราวกับว่าเขาไม่มีตัวตนจะดีที่สุด!” จางเล่ยยิ้ม
“พี่จี้!” ตู้เส้าเฟิงและผู้ชายอีกสองคนเดินเข้ามาหาและเรียกจี้เฟิงด้วยเสียงที่ดัง “ให้ฉันแนะนําเลยก็แล้วกัน สองคนนี้คือจ้าวไคและฮั่นจง ส่วนทางนี้คือจี้เฟิง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเราคือเพื่อนร่วมห้องกัน!”
จี้เฟิงยิ้มและทักทายจ้าวไคและฮั่นจง
“เอาล่ะ เอาเป็นว่าตอนนี้ เราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า!” ตู้เส้าเฟิงหัวเราะเสียงดังจนทําให้ผู้คนที่อยู่รอบๆหันมามอง นั่นจึงเป็นสาเหตุให้อีลุ้นเจี้ยที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักหันมามองโดยอัตโนมัติ และแน่นอนว่าเมื่อเขาหันมาเขาก็พบเข้ากับจี้เฟิงและถงเล่ย
ทันใดนั้นดวงตาของอู๋จุนเจี้ยก็สว่างวาบขึ้นทันที!”
จบบทที่ 108