The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 11
บทที่ 11 คำเตือนของซูหม่า
เมื่อจี้เฟิงกลับมาถึงที่ห้องเรียน เขานั่งลงในที่นั่งของเขา นักเรียนชายตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขา หันกลับมาและกระซิบถาม “จี้เฟิงนายชอบถงเล่ยเหรอ หรือว่าพวกนายกำลังคบกันอยู่?”
“ใครบอกนายแบบนั้น?” จี้เฟิงตกใจเขาส่ายหัวและยิ้ม “หวังตง นายไปฟังใครมา” หวังตงกระซิบ “เมื่อกี้ฉันได้ยิน ซูหม่ากับเฉินหยาง พูดถึงนายกับถงเล่ย” “พวกเขาพูดถึงฉัน?” จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย “ปล่อยพวกเขาไปเหอะ เขาก็แค่พูดลับหลัง”
“นาย!!” ความสัมพันธ์ระหว่าง หวังตงและจี้เฟิงค่อนข้างดี เขาดึงมือจี้เฟิงเดินไปที่มุมห้องและพูดด้วยเสียงต่ำ “นายต้องระวังซูหม่าไว้นะถ้าเขาไม่พอใจใครคนนั้นเดือดร้อนแน่ นายอย่าไปยุ่งด้วยจะดีที่สุด”
“ฉันรู้แล้วหน่า!” จี้เฟิงถามอย่างสงสัย “แล้วทำไมเขาต้องไม่พอใจฉัน?”หวังตง ทำท่ากระซิบกระซาบ “นายไปอยู่ที่ไหนมา นายไม่รู้จริงๆเหรอ?” เมื่อเห็นท่าทางของจี้เฟิงที่ยัง งงงวยอยู่เขาจึงเสริมต่อว่า “ซูหม่าเขาชอบหัวหน้าชั้นของเรามาตั้งนานแล้ว นายไม่เคยสังเกตเลยเหรอ เขาตามจีบถงเล่ยมาสองปีได้แล้วมั้ง ถ้าเขารู้ว่านายก็สนใจถงเล่ย เขาไม่ปล่อยนายให้อยู่อย่างสงบสุขแน่”
จี้เฟิงเข้าใจในทันที เป็นเพราะซูหม่าชอบถงเล่ยนี่เอง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ไม่เชิงว่าเป็นความลับนัก นักเรียนม.ปลายปีสามส่วนใหญ่ก็เหมือนจะรู้กันอยู่แล้ว ว่ากันด้วยเรื่องหน้าตา ซูหม่าก็จัดว่าเป็นคนหน้าตาดี แต่ก็ยังเทียบชั้นไม่ได้เลยกับถงเล่ย ถึงจะสูงยาวเข่าดี แต่ก็เหมือนจะไม่อยู่ในสายตาถงเล่ยเลยแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ทำได้แค่ไล่ตามจีบมานานถึง 2 ปีหรอก
ในตอนนี้จี้เฟิงไม่ได้มีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่มีความตั้งใจที่จะไล่ตามจีบถงเล่ย อย่างน้อยเขาก็จะยังไม่ทำอะไรจนกว่าเขาจะแข็งแกร่งและดีพอที่จะเทียบกับถงเล่ยได้
เมื่อเห็นท่าทางไม่ได้แยแสอะไรของจี้เฟิง หวังตงก็อดไม่ได้ที่จะเตือนว่า “จี้เฟิงอย่าประมาทไป เขาจะคอยเพ่งเล็งนายแน่ เขาไม่ยอมเป็นรองใครหรอกนะ นอกจากนี้เขายังเป็นลูกชายของรองผู้บริหารเขต ถ้าเขาอยากจัดการนายมันก็เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่ต้องกังวลฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับถงเล่ย เขาคงไม่มาทำอะไรฉันหรอก”
“คุณจี้เฟิงขอรับ!!” วังตงส่ายหัวให้กับความดื้อรั้นของจี้เฟิง “ด้วยความเอาแต่ใจของซูหม่า ถ้าเขาอยากทำให้นายเดือดร้อนเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไร!”
“ไหนใครกล้าทำอะไรเพื่อนฉัน!!”
จู่ๆ ก็มีเสียงของจางเล่ยพูดขึ้นข้างๆจี้เฟิง ไม่รู้ว่าเขาออกมาจากไหน เขาพูดอย่างเย็นชา
“ถ้าซูหม่า กล้าที่จะทำคนบ้าล่ะก็ฉัน…ก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้…”
“…………!!” หวังตงได้แต่กลอกตา “จางเล่ยไอ้ขี้โม้ พูดมานึกว่าจะช่วยอะไรได้!”
แม้ทุกคนจะรู้ว่า จางเล่ย ดูเหมือนจะเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ในเมืองนี้ไม่ว่าใครจะร่ำรวยแค่ไหนพวกเขาก็ไม่กล้าหือกับคนของรัฐบาล จางเล่ยยิ้มโดยที่ไม่ได้พูดอะไร แต่ในแววตาเขาเหมือนมีอะไรแฝงอยู่
จี้เฟิงชกเบาๆไปที่ไหล่จางเล่ย เขายิ้มและพูดว่า “ตกลงนายเป็นนักเรียนหรือนักเลง!” ทันใดนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็หัวเราะ นักเรียนในชั้นคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะมองมาที่พวกเขา
ในคาบเรียนต่อมา จี้เฟิงได้ลืมเรื่องนี้ไปโดยสิ้นเชิง เขามีสมาธิกับการอ่านหนังสือ สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จนถึงตอนนี้สามารถจดจำได้อย่างละเอียดแล้ว อย่างไรก็ตามมีความรู้อีกมากมายที่ใช้แต่เพียงการจำไม่ได้ แต่เขาก็รู้จักใช้ความสามารถในการจำอย่างยืดหยุ่น
ด้วยความสามารถด้านการจำระดับเทพที่เขาจะไม่มีวันลืม เนื่องจากมีหลักสูตรมากมาย เขาไล่อ่านหนังสือใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ของม.ปลายปี 1 ด้วยความสามารถด้านความจำนี้มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะได้เกรดที่ดีเยี่ยมและสามารถเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้
จางเล่ยที่นั่งข้างๆจี้เฟิง เห็นความเร็วในการอ่านหนังสือ เขาอดไม่ได้ที่จะมองแล้วกล่าวว่า “ฉันเพิ่งคุยกับนายว่าอย่าเพิ่งยอมแพ้เรื่องการเรียนเมื่อสองวันก่อน แต่นี่นายตัดใจจนถึงขั้นพลิกหนังสือเล่น?”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบว่า “มันเป็นวิธีการเรียนรู้แบบใหม่ของฉันที่ไม่เหมือนใคร นายไม่เข้าใจหรอกหน่า!”
ใจจริงเขาก็ไม่อยากโกหกจางเล่ย แต่เขาเกรงว่าถ้าเรื่องการมีอยู่ของสมองอัจฉริยะหลุดออกไป เขาคงโดนจับไปเป็นหนูทดลองที่โดนชำแหละและศึกษา
จางเล่ยอดไม่ได้ที่จะมองด้วยหางตา “เอาเถอะ แล้วแต่นายแล้วกัน” จี้เฟิงส่ายหัวและอ่านหนังสือต่อ
กริ๊งงง…งงงง~~!! เสียงกริ่งดังขึ้น
เวลาเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็วและจี้เฟิงก็อ่านหนังสือไปแล้วกว่าครึ่งเล่ม
“โอ๊ยยยยย…ยย!!”
“เพิ่งผ่านช่วงเช้าไปเองเหรอเนี่ย เมื่อไหร่จะหมดวัน!!” จางเล่ยบ่น จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะจ้องไปที่เขาและพูดว่า “อย่าคิดว่าคนอื่นเป็นเหมือนนายสิ” สิ่งที่แปลกที่สุดเกี่ยวกับจางเล่ย คือเขาไม่เคยอ่านหนังสือเลยนอกจากในชั้นเรียน แต่เกรดเขายังคงดีอยู่เสมอ
จางเล่ยหัวเราะเบาๆ “โอเคๆ ฉันไปห้องน้ำดีกว่า ไม่คุยกับนายแล้ว” จี้เฟิงมองตามหลังจางเล่ย เขาส่ายหัวพร้อมกับยิ้มเบาๆและก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ จู่ๆจี้เฟิงก็ถูกตบที่ไหล่ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วพบว่าซูหม่า รองหัวหน้าชั้นยืนอยู่ข้างๆเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“จี้เฟิงนายออกมากับฉันหน่อย ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย” ซูหม่าพูดเบาๆแต่สายตาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม จี้เฟิงตกใจ แต่ก็พยักหน้าเล็กน้อย
ซูหม่ากอดไหล่จี้เฟิงเดินออกไป ราวกับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนรักกัน เมื่อถึงทางเดินนอกห้องเรียน ซูหม่ากล่าวกับจี้เฟิงด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “จี้เฟิงฉันหวังว่านายจะอยู่ให้ห่างจากถงเล่ยนะ มันจะดีสำหรับนายในอนาคต!”
จี้เฟิงยิ้มและตอบว่า “แค่ไหนคือเรียกว่าอยู่ห่างจากถงเล่ยล่ะ” ซูหม่าพูดด้วยใบหน้าบึ้งตึง “นายรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร จี้เฟิงนายเป็นแค่เด็กยากจนที่ไร้พลังอำนาจ ไม่มีหัวนอนปลายเท้าด้วยซ้ำ นายก็เหมือนหมาเห่าเครื่องบิน”
“ถ้าถงเล่ยเป็นเครื่องบิน ไม่ว่าใครก็เป็นหมาทั้งนั้นแหละ!” จี้เฟิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย สีหน้าของซูหม่าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จี้เฟิงนายอย่าทำให้ตัวเองอับอายขายขี้หน้าเลย ครั้งต่อไปถ้าฉันเห็นนายอยู่กับถงเล่ยอีกฉันจะไม่ปล่อยนายไว้แน่!”
หลังจากเขาพูดเสร็จเขาก็ผลักจี้เฟิง แต่จี้เฟิงไม่แม้แต่จะขยับแต่กลับเป็นซูหม่าที่ถูกแรงกระแทกกลับแทน เขามองไปที่จี้เฟิงด้วยความไม่พอใจแววตาของเขาเต็มไปด้วยคำเตือน เขาตะคอกจี้เฟิงและเดินจากไป
จี้เฟิงส่ายหัวและพึมพำกับตัวเอง “คำพวกนี้อีกแล้ว..เด็กยากจนที่ไม่มีพลังอำนาจ!”
หลังจากนั้นไม่นาน จี้เฟิงก็กลับเข้ามาในห้องเรียน สำหรับคำเตือนของซูหม่า จี้เฟิงไม่ได้ใส่ใจนัก ซูหม่าเขาก็เป็นแค่คนที่อาศัยอำนาจบารมีของครอบครัว ส่วนเรื่องของเขาและถงเล่ยก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันจริงๆ
ทันทีที่จี้เฟิงเดินเข้ามาในห้องเรียน เขารู้สึกว่ามีสายตามองมาที่เขา เขามองกลับไปทันทีและพบว่าคนที่มองเขาอยู่คือถงเล่ย จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้าให้
ทั้งสองไม่ทันสังเกตเห็น ซูหม่าที่อยู่ห่างไปไม่ไกลกำลังมองมาด้วยสายตาที่ไม่พอใจ
“จี้เฟิงนายกล้าที่จะไม่สนใจคำเตือนของฉัน ฉันจะทำให้นายเสียใจอย่างแน่นอน!” ซูหม่าพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ