The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 114
บทที่ 114 การปรากฏตัวของ?
“จี้ช่าวหยิน?”
จี้เฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆและพูดอย่างไม่แยแส “เหตุผลที่ฉันยังไม่ฆ่าแกในวันนี้ก็เป็นเพราะฉันจะให้แกคาบข่าวไปบอกจี้ช่าวหยินให้เขารู้และเห็นสภาพของแก ว่าถ้ายังปล่อยให้หมามากัดคนไปทั่วโดยไม่เลือกแบบนี้ เขาจะต้องเจอกับอะไร และถ้ายังปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ ครั้งต่อไปมันจะไม่ใช่แค่หมาของเขาที่จะมีสภาพเช่นนี้ แต่จะรวมถึงคนที่เป็นเจ้าของหมาตัวนั้นด้วย!”
คําพูดของจี้เฟิงแม้จะพูดด้วยน้ําเสียงที่แผ่วเบา แต่ก็เต็มไปด้วยพลังที่น่าเกรงขามและทําให้ผู้ฟังได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคํา แม้แต่อู่เฉียนที่ก่อนหน้านี้ยังหยิ่งผยองก็ถึงกับหยุดชะงักไปพักหนึ่ง และไม่รู้ด้วยซ้ําว่าควรจะตอบโต้บทสนทนานี้ไปว่าอย่างไร
เขาพึ่งพาชื่อเสียงและอํานาจของจี้ช่าวหยินมาโดยตลอด และไม่เคยมีครั้งไหน ที่จะมีคนไม่เกรงกลัวชื่อเสียงและอํานาจของจี้ช่าวหยิน แต่ในเวลานี้คนที่อยู่ตรงหน้าเขา นอกจากจะไม่เกรงกลัว เมื่อได้ยินเขาอ้างถึงชื่อของจี้ช่าวหยินแล้ว แต่เขายังกล้าท้าทายจี้ช่าวหยินกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว เรื่องแบบนี้มันไม่น่าเกิดขึ้นได้ มันจะมีคนแบบนี้อยู่ได้ยังไง?
แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นพวกที่บ้าบินและไม่เกรงกลัวอํานาจตระกูลของจี้ชาวหยินเลยแม้แต่น้อย หรือเบื้องหลังของพวกมันจะยิ่งใหญ่กว่าตระกูลของจี้ชาวหยิน?!
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้หัวใจของอู่เฉียนก็เต้นรัวอย่างรุนแรงราวกับว่ามันสามารถกระโดดออกมาจากอกของเขาได้ทุกเมื่อ
แต่ในไม่ช้าอู่เฉียนก็ปฏิเสธการคาดเดาของเขาเองในเรื่องนี้ เพราะมันแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ที่จี้ชาวหยิน ผู้ที่อยู่ในตระกูลจี้แห่งหยานจิง จะมีอํานาจด้อยกว่าใคร เพราะในประเทศจีน แม้คนส่วนใหญ่จะมีต้นกําเนิดคล้ายกันกับเขา แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครมีที่มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าเขา
เห็นได้ชัดว่าไอ้พวกนี้มันเสแสร้ง พวกมันก็แค่แกล้งทําเหมือนว่ามีคนที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังพวกมัน!
ด้วยการคาดเดาเช่นนี้ อู่เฉียนจึงรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม วันนี้คนพวกนี้ไม่เพียงแต่จะทําร้ายร่างกายเขาอย่างรุนแต่ยังกล้าเพิกเฉยเมื่อได้ยินชื่อของจี้ชาวหยินด้วย เขาต้องบอกเรื่องนี้ให้จี้ชาวหยินรู้ แล้วเมื่อถึงตอนนั้นเขาจะได้ระบายความโกรธกับคนพวกนี้ด้วยตัวของเขาเองได้อย่างเต็มที่!
อย่างไรก็ตามอู่เฉียนรู้ตัวดีว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นเพียงแค่คนที่ไม่ได้มีความสําคัญอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าจี้ชาวหยิน และถ้าเขาต้องการให้จี้ชาวหยินยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาในเรื่องนี้ เขาก็ไม่สามารถที่จะบอกความจริงทั้งหมดออกไปได้ เขาต้องพูดอะไรบางอย่างที่จะทําให้จี้ชาวหยินรู้สึกไม่พอใจคนพวกนี้ให้มากพอ เพราะถึงแม้ว่าจี้ชาวหยินจะเป็นแค่เด็ก แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะหลอกเขา
เมื่อคิดได้แบบนี้อู่เฉียนก็ตะคอกขึ้น “ในเมื่อปากดีและหยิ่งผยองขนาดนี้ ก็จัดการตํารวจให้หมดทุกคนและรื้อถอนสถานีตํารวจไปด้วยเลยสิ แล้วจะได้รู้กันว่ากูหรือมึงที่จะต้องตายก่อนกัน!”
จี้เฟิงยิ้มจางๆและไม่ได้สนใจเขา
แต่นั่นไม่ใช่กับคนอารมณ์ร้อนอย่างตู้เส้าเฟิงและจางเล่ย เมื่อฟังอู่เฉียนที่ได้แต่นอนไม่สามารถขยับไปไหนได้แต่ยังคงปากดีท้าทายไม่เลิก พวกเขาจึงก้าวไปข้างหน้าในเวลาเดียวกันและรุมกระทืบอู่เฉียนอย่างดุเดือด
“ผัวะ!! ตุ้บ!! พลั่ก!!”
อู่เฉียนไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเขาสลบไปแทบจะในทันที
ทันใดนั้นผู้กองหวังที่เห็นอู่เฉียนถูกรุมกระทืบก็แทบจะหยุดหายใจ และสร่างเมาทันที และได้แต่นึกในใจ “ไอ้สองคนนั้นมันรู้ตัวหรือเปล่าว่ากําลังทําอะไรอยู่? ที่นี่มันสถานีตํารวจนะเว้ย คนปกติทั่วไปเวลาเขามาสถานีตํารวจกันอย่าว่าแต่ทําตัวแบบนี้เลย แม้แต่พูดคุยเสียงดังก็ยังไม่มีกล้า แต่ไอ้สองคนนี้ไม่เพียงแต่กล้าทําร้ายตํารวจแต่ยังทําร้ายประชาชนอย่างเปิดเผยอีกด้วย! นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันขึ้น!”
แต่เมื่อผู้กองหวังเห็นดวงตาที่ดุร้ายของตู้เส้าเฟิงและจางเล่ย เขาก็หลับตาและแสร้งทําเป็นว่าสลบในทันที แต่ในขณะเดียวกันเขาแอบกดโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขาและกดหมายเลขเพื่อขอความช่วยเหลือจากตํารวจคนอื่นๆที่อยู่นอกห้องสอบสวน
“ให้ตายเหอะ! คนเราสมัยนี้ไม่รู้จริงๆหรือว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด!” จางเล่ยพูดอย่างเหยียดหยาม
ตู้เส้าเฟิงยกนิ้วให้และพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ชาย เตะได้สวย!”
แต่ฮั่นจงและจ้าวไคที่ยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เบื้องหลังได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ในใจ พวกนายเล่นสนุกกันอย่างมีความสุข แต่ผลที่ตามมามันจะไม่สนุกอย่างที่คิดหรอกนะ พวกนายทําเรื่องบานปลายกันขนาดนี้จะรับผิดชอบกันยังไงไหวล่ะทีนี้!
ฮั่นจงได้แต่หวังอยู่ในใจลึกๆว่าพ่อของเขาจะมาช่วยประกันตัวและปล่อยพวกเขาออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นถ้าตํารวจที่อยู่ข้างนอกแห่กันเข้ามาและเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ใน ตอนนี้คงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะได้รับการประกันตัวและรอดออกไปจากที่นี้ได้
ในขณะที่เขากําลังคิดอยู่นั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก
ใบหน้าของฮั่นจงหมองลงทันที เขาได้แต่คิดกับตัวเองว่า ก็คงจะแปลกมากถ้าเกิดเรื่องขนาดนี้ แล้วตํารวจข้างนอกยังไม่ได้ยินหรือเอะใจอะไร
“ปัง!”
ประตูของห้องสอบสวนถูกเปิดออก จากนั้นตํารวจสิบกว่านายก็รีบวิ่งเข้ามา และเมื่อพวกเขาเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า พวกเขาก็ตกใจและรีบหยิบปืนพกออกมาและเล็งไปที่จี้เฟิงและคนอื่นๆ
“ทั้งหมดหมอบลงแล้วเอามือจับที่หลังศีรษะ ถ้าไม่เช่นนั้นพวกเราจะยิง!!” ตํารวจหลายสิบนายที่เพิ่งพังประตูห้องสอบสวนเข้ามาต่างรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่พวกเขาเห็นอยู่ตรงหน้านี้มาก พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเด็กพวกนี้จะกล้าจนถึงขนาดทําร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตํารวจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มียศเป็นถึงผู้กอง
“ทําตามที่เขาบอก” จี้เฟิงพูดเบาๆพร้อมกับดึงมือเล็กๆของลงเล่ยและนั่งยองๆ แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าเขาสามารถทําให้ตํารวจเหล่านี้ล้มลงได้ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ลั่นไก แต่เขาก็ยังคงกลัวว่าอาจจะเกิดความผิดพลาดและทําให้ลงเล่ยได้รับอันตราย
ยิ่งไปกว่านั้นคนที่พวกเขารออยู่ยังไม่มาจึงไม่จําเป็นต้องรีบร้อนลงมือทําอะไรด้วยความรุนแรง
หลังจากที่จี้เฟิงและคนอื่นๆทั้งหมดนั่งยองๆ เหล่าเจ้าหน้าที่ตํารวจต่างก็รู้สึกโล่งใจ ในขณะที่พวกเขากําลังจะเดินเข้าไปใส่กุญแจมือจี้เฟิงและคนอื่นๆ แต่ทันใดเขาก็ถูกเสียงของผู้ชายคนหนึ่งพูดขัดขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงที่ดุดันสง่าผ่าเผยดังขึ้นมาจากด้านนอกใกล้กับห้องสอบสวน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตํารวจสามนายก็เดินเข้าไปหาชายที่พูดขึ้นเมื่อครู่ ชายคนนี้มีอายุประมาณสี่สิบปีบุคลิกลักษณะดูสง่างามน่าเกรงขาม
“พวกคุณกําลังจะทําอะไร?” ชายผู้สง่างามตะคอกถามเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องสอบสวนและเห็นตํารวจหลายสิบนายกําลังถือปืนเล็งไปทางเหล่านักเรียน
เมื่อตํารวจคนอื่นๆเห็นใบหน้าของชายผู้นี้อย่างชัดเจนพวกเขาก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความตกใจ และรีบถอนกําลังออกไปทันที
ตํารวจนายหนึ่งตอบอย่างตะกุกตะกัก “ทะท่านรองผู้บัญชาการเจิ้ง คนพวกนี้ทําร้ายเจ้าหน้าที่ตํารวจ พวกเขาทําร้ายผู้กองหวังจนได้รับบาดเจ็บสาหัส!”
ชายคนที่มีบุคลิกท่าทางอันสง่างามที่ตํารวจชั้นผู้น้อยเรียกเขาว่ารองผู้บัญชาการเจิ้ง เมื่อเขามองไปยังสภาพของห้องสอบสวนในตอนนี้ เขาได้แต่ส่ายหัวและพูดขึ้นด้วยน้ําเสียงที่เขร่งขรึม “ความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่ของเจ้าหน้าที่ตํารวจผู้รักษากฎหมายบ้านเมืองคือการใช้อาวุธอย่างกระบองไฟฟ้าและปืนพกเพื่อทําร้ายและข่มขู่นักเรียนกลุ่มหนึ่งโดยที่ไม่ได้มีการต่อต้านขัดขืนใดๆงั้นหรือ?!”
“คือ…” ตํารวจหลายสิบคนได้แต่อึ้งกิมกี่ พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะตอบออกไปว่าอย่างไร บางคนถึงกับมีเหงื่อเย็นๆผุดขึ้นเต็มใบหน้าของพวกเขา เพราะผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขานั้นคือรองผู้บัญชาการตํารวจแห่งเทศบาลนครเจียงโจวผู้มีอํานาจอย่างแท้จริง เพราะแม้แต่หัวหน้าเขตพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองหากพบกับเขายังต้องพูดคุยอย่างสุภาพ แล้วนับประสาอะไรกับตํารวจชั้นผู้น้อยเหล่านี้ พวกเขาจะกล้าพูดคุยกับคนระดับนี้ได้อย่างไร?
ในวันธรรมดามันก็เป็นเรื่องยากมากที่จะได้เห็นรองผู้บัญชาการเฉิงคนนี้ และแน่นอนว่าคงไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะได้พบกับบุคคลระดับนี้ในสถานการณ์เช่นนี้ มันจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หากตํารวจชั้นผู้น้อยเหล่านี้จะรู้สึกประหม่าอยู่ในใจ พวกเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการได้พบกับหัวหน้าระดับสูงของกรมตํารวจในเวลานี้จะเป็นเรื่องโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่
ตํารวจทุกนายในที่นี้ต่างระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับเพียงเล็กน้อย เพราะพวกเขากลัวว่าอาจจะทําให้เกิดกระแสลมไปสัมผัสโดนคิ้วของรองผู้บัญชาการเจิ้งและมันจะทําให้พวกเขาต้องเจอกับปัญหาได้
“เกิดอะไรขึ้น?” รองผู้บัญชาการเจิ้งขมวดคิ้วเมื่อเห็นผู้กองหวังและอู่เฉียนนอนหมดสติอยู่ที่พื้นและถามอย่างเย็นชา
ตํารวจคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆเขากระซิบ “ผู้กองหวังได้พาผู้ต้องสงสัยมาสอบปากคําในห้องนี้ และคาดว่าน่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้น เพราะเมื่อพวกเราเข้ามาในห้องมันก็เป็นแบบนี้แล้วครับ พวกเราก็ยังไม่รู้รายละเอียดแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น!”
ผู้บัญชาการเจิ้งโบกมือและพูดว่า “ปลุกพวกเขาขึ้นมา!” เจ้าหน้าที่ตํารวจหลายนายรีบก้าวไปข้างหน้าและเขย่าตัวเรียกผู้กองหวังและอู่เฉียน หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้สติ
“หือ.. อะไร? ทะ..ท่านรองผู้บัญชาการ?!” ทันทีที่ผู้กองหวังลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เขาเห็นคือรองผู้บัญชาการเจิ้งผู้สง่างามกําลังยืนจ้องเขาอยู่ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบดิ้นรนพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะลุกขึ้นยืน และถามด้วยความระมัดระวัง “ท่านรองผู้บัญชาการเจิ้ง ทําไมถึงมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ได้?!”
รองผู้บัญชาการตะคอกด้วยน้ําเสียงที่เย็นชา “ถ้าฉันไม่มานักเรียนเหล่านี้ก็คงตายด้วยมือของคุณไปแล้วใช่มั้ย ในฐานะเจ้าหน้าที่ตํารวจผู้รักษากฎหมาย ไม่เพียงแต่คุณจะไม่ทําหน้าที่ผู้นําที่ดีในฐานะหัวหน้าตํารวจแล้ว คุณยังไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบวินัยอีก ทําไมคุณถึงกล้าใช้ความรุนแรงกับนักเรียนเหล่านี้?” ในประโยคท้ายรองผู้บัญชาการเจิ้งถามด้วยน้ําเสียงที่ดุดันและน่ากลัว และเมื่อเขาพูดจบรองผู้บัญชาการเจิ้งก็นิ่งไปและจ้องไปที่ผู้กองหวังอย่างเย็นชา
ด้วยความกลัว ผู้กองหวังถึงกับขาอ่อนแรงและนั่งลงไปกับพื้น
ในตอนนี้อู่เฉียนที่เคยหยิ่งผยองก็ได้แต่นั่งหุบปากเงียบและมีสีหน้าที่ย่ําแย่ไม่แพ้ผู้กองหวัง เขาเคยได้ยินชื่อเสียงและรับรู้ถึงอํานาจของผู้บัญชาการเจิ้งมาบ้าง และแม้แต่จี้ชาวหยินเองก็ยังคงเกรงใจเขาผู้นี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอย่างเขาที่มีบทบาทเล็กๆเท่านั้น
เขาคิดที่จะโทรหาจี้ช่าวหยินเพื่อให้ช่วยเขาในเรื่องนี้แต่ในขณะที่กําลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา อู่เฉียนก็รู้สึกกังวลว่าถ้าโทรไปแล้วจี้ช่าวหยินไม่สนใจใยดีเขาขึ้นมาเขาจะทําอย่างไรต่อไป เขาจึงได้แต่เก็บโทรศัพท์ลงไปเงียบๆ
แม้อู่เฉียนจะเป็นที่รู้จักภายในนามของจี้ช่าวหยิน แต่ในความเป็นจริงเขาเคยพับกับจี้ช่าวหยินเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น เหตุผลที่อู่เฉียนกล้าอวดเบ่งอํานาจและอาละวาดไปทั่วได้ขนาดนี้นั่นเพราะว่าเขาเล่นบทบาทสุนัขรับใช้ที่สนิทกับจี้ช่าวหยินมาโดยตลอด จุดเริ่มต้นเป็นเพียงแค่เจ้าของบริษัทที่เขาทํางานอยู่นั้นมีมิตรภาพเล็กน้อยกับจี้ช่าวหยิน เขาเหมือนกับแกะที่ห่มหนังเสือหลอกคนอื่นๆให้เกรงกลัว
แต่ตอนนี้ผู้มีอํานาจอย่างแท้จริงอยู่ที่นี่แล้ว แล้วเขาจะกล้าเล่นเป็นเสือต่อหน้าเสือจริงๆได้อย่างไร เขาจึงได้แค่นั่งหุบปากเงียบอยู่เฉยๆไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คําเดียว
ผู้กองหวังรู้สึกวิตกกังวลอย่างหนัก แต่เขาก็ยังไม่กล้าบอกความจริงออกไป เพราะเขาไม่รู้ว่าถ้ารองผู้บัญชาการรู้เรื่องทั้งหมด ชีวิตเขาจะจบลงอย่างไร
เขาพูดอย่างระมัดระวัง ท่านรองผู้บัญชาการเจิ้ง ที่เรื่องเป็นเช่นนี้เพราะทีแรกพวกเราได้รับแจ้งว่ามีคนขโมยโทรศัพท์มือถือของผู้อื่นไป และเมื่อพวกเราไปถึงที่เกิดเหตุเพื่อทําการสอบถาม ปรากฏว่าคนเหล่านี้ทําร้ายร่างกายผู้ที่แจ้งเรื่องเข้ามา ผมเลยสั่งให้จับกุมตัวพวกเขาทั้งหมดมาที่สถานีตํารวจเพื่อสอบปากคํา!”
“ถ้าคุณพาเขามาเพื่อสอบปากคํา แล้วมีเหตุผลอะไรถึงต้องใช้อาวุธอย่างกระบองและกระ บองไฟฟ้ามาสอบปากคํานักเรียนเหล่านี้” รองผู้บัญชาการเจิ้งถามอย่างเย็นชา
“ท่านรองผู้บัญชาการ เมื่อสักครู่คุณบอกว่าพวกเขาเป็นนักเรียนหรือ?”
ผู้กองหวังจงใจแสร้งทําเป็นไม่รู้แล้วพูดว่า “ท่านรองผู้บัญชาการเจิ้ง พวกเขาดูไม่เหมือนนักเรียน ตอนที่พวกเราพาตัวพวกเขามา พวกเราจึงไม่รู้และเริ่มทําการสอบสวนไปตามขั้นตอน แต่จู่ๆนักเรียนเหล่านี้ก็เกิดคุ้มคลั่งทําร้ายร่างกายผมและเจ้าของโทรศัพท์ที่ถูกขโมย จากนั้นผมก็หมดสติไป รู้ตัวอีกทีก็พบว่าคุณอยู่ที่นี่แล้ว!”
“เรื่องจริงงั้นหรือ?” สีหน้าของรองผู้บัญชาการเจิ้งยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่สายตาของเขาหันไปทางจางเล่ย
จบบทที่ 114.3