The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 116
บทที่ 116 ไม่ว่าใครก็อยากเป็นเพื่อนกับคนใหญ่คนโต
“เฮ้ออ !” หลังจากออกจากสถานีตํารวจ ฮั่นจงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อยและคิดไม่ถึงว่าจางเล่ยที่เป็นคนจากถิ่นอื่นจะมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งในเจียงโจวขนาดนี้
คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่ารองผู้บัญชาการเจิ้งนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่เขาซึ่งเป็นชาวเจียงโจวนั้นรู้ดี แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่รองผู้บัญชาการ แต่แค่นี้ก็มากพอที่จะทําให้หัวหน้าสถานีตํารวจเคารพและเกรงกลัว เรียกได้ว่ารองผู้บัญชาการตํารวจเจิ้งเหอคนนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นํารุ่นใหญ่แห่งเจียงโจวเลยทีเดียว
แล้วใครจะคิดว่าจางเล่ยนักเรียนที่ดูยังไงก็เหมือนนักเลงคนนี้จะกลายมาเป็นหลานชายของรองผู้บัญชาการตํารวจแห่งเจียงโจว จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เมื่อตอนนั้นเขาไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอูเฉียนเลยแม้แต่น้อย บางทีต่อให้เป็นจี้ช่าวหยินมาด้วยตัวเอง จางเล่ยก็คงจะไม่หวั่นเช่นกัน
“เอี๊ยดดด!!”
ทันทีที่พวกเขาก้าวพ้นออกมาจากประตูของสถานีตํารวจ ก็มีรถสีดําคันหนึ่งที่แล่นมาด้วยความเร็ว ได้เบรกอย่างกะทันหน้าตรงหน้าของพวกเขา
จากนั้นก็มีชายวัยกลางคน 2 คนลงมาจากรถ
“ฮั่นน้อย!” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนเรียกฮั่นจงทันทีที่มองเห็นเขาตั้งแต่แวบแรก ชายวัยกลางคนรีบเดินมาอย่างรวดเร็วแล้วถามด้วยความเป็นห่วง “ฮั่นน้อยเป็นยังไงบ้าง!?”
ฮั่นจงส่ายหัวและยิ้ม “อาหลี่ ผมไม่เป็นไร” เมื่อเห็นอาหลี่ยังคงทําหน้าไม่เชื่อฮั่นจงจึงพูดเสริมไปว่า “อาก็ดูเอาเองแล้วกัน ถ้าผมตกที่นั่งลําบากจริงๆ จะออกมาเดินอย่างอิสระแบบนี้ได้งั้นเหรอ?!”
อาหลีผงะไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น ทําไมเขาถึงปล่อยตัวออกมาได้ง่ายๆ คนที่พ่อหลานพอจะมีสัมพันธ์ที่ดีด้วยเขาช่วยเหลือสําเร็จงั้นหรือ?”
เนื่องจากฮั่นจงได้ทําให้คนอย่างอู๋เฉียนขุ่นเคือง อาหลี่จึงรู้ดีว่าคนธรรมดาทั่วไปไม่มีใครกล้าพอที่จะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน มิฉะนั้นก็จะเท่ากับว่าอาจจะเป็นการท้าทายอํานาจของชาวหยินทางอ้อม คนรู้จักของตระกูลฮั่นส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าและคนในแวดวงข้าราชการ แต่ก็ไม่มีใครในบรรดาคนพวกนี้ที่เต็มใจจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือในเรื่องนี้เลย
ฮั่นจงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ใช่หรอกครับ เป็นเพราะเพื่อนผมเขาพอจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรองผู้บัญชาการเจิ้ง ไม่งั้นเรื่องนี้คงไม่ได้จบลงแบบนี้ แต่ตอนนี้อาหมั่นใจได้เลยว่าเรื่องนี้มันจบลงด้วยดีแล้ว เพราะฉะนั้นอาหลีไม่ต้องเป็นห่วง”
ทันใดนั้นอาหลีก็มองฮั่นจงด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเขาก็มองไปที่จี้เฟิงและคนอื่นๆ เขารู้ดีว่ารองผู้บัญชาการเจิ้งเป็นใคร เขาจึงคิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้จะรู้จักกับคนระดับนั้น แสดงว่าพวกเขาต้องมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่พอสมควรเลยทีเดียว
อาหลี่คิดอยู่ในใจว่าเขาต้องจัดการให้ฮั่นจงมีสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนเหล่านี้ให้ได้ในอนาคต แต่ยังไม่ใช่เวลานี้ มันดูโจ่งแจ้งเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคนทันทีที่ทราบเรื่อง เขาจึงได้แต่ยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าเรื่องเป็นอย่างนั้นอาจะกลับไปอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อของหลานฟัง ตอนนี้เขาคงเป็นห่วงมาก!”
“ครับอาหลี่ เดินทางปลอดภัย!” ฮั่นจงกล่าวลาอย่างมีมารยาท
หลังจากที่อาหลีขึ้นรถและจากไป ฮั่นจงก็หันศีรษะมาหาเพื่อนๆและอธิบายกับทุกคนว่า “อาหลีน่ะ เขาเป็นเพื่อนของพ่อฉันเอง และก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่สองของฮั่นกรุ๊ป เขาเป็นคนอาสามาช่วยเหลือฉันในครั้งนี้ และพ่อของฉันก็ไว้วางใจเขามาก แต่เขาคงคิดไม่ถึงว่าฉันจะออกมาได้อย่างปลอดภัยโดยที่เขายังไม่ทันได้ทําอะไร ฮ่าฮ่า!”
จ้าวไคยังคงไม่ละสายตาไปจากจางเล่ย เขาเป็นถึงหลานชายของรองผู้บัญชาการตํารวจเทศบาลนครเจียงโจว ภูมิหลังเช่นนี้เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่และมีอํานาจมาก เพราะเจียงโจวเป็นเขตเทศบาลที่อยู่ภายใต้รัฐบาลกลางของจีนโดยตรงและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สําคัญเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ หากเทียบกับจังหวัดหรือเขตเมืองอื่นๆ รองผู้บัญชาการเจิ้งจะเทียบเท่าได้กับผู้นําระดับจังหวัดหรือเขตเมือง!
แม้ว่าจ้าวไคจะเกิดและเติบโตมาภายในครอบครัวของเจ้าหน้าที่และข้าราชการ แต่เมื่อเทียบกับรองผู้บัญชาการเจิ้งก็ยังเรียกได้ว่ามีความห่างชั้นกันอยู่พอสมควร
ทําให้ความรู้สึกของจ้าวไคที่รู้สึกเหนือกว่ามาโดยตลอดหายไปในทันที ใครยังจะกล้าคิดว่าตัวเองมีอํานาจเหนือกว่ากับคนระดับนี้ได้อยู่อีก? นอกเสียจากเขาจะเป็นเจ้าชาย!
ฮั่นจงรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมาก เมื่อเขารู้ว่าเพื่อนของเฟิงมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ เพราะอย่างน้อยเขาก็แน่ใจได้ว่าเขาจะสามารถใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยได้อย่างสบายใจโดยที่ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าจะถูกรังแก แต่แน่นอนว่าฮั่นจงรู้ดีว่า จางเล่ยเป็นเพื่อนของจี้เฟิง แม้ว่าพวกเขาจะทานอาหารเย็นร่วมกัน แต่มิตรภาพระหว่างพวกเขานั้นก็ตื้นเขินมาก จนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ฮั่นจงจะขอความช่วยเหลือจากจางเล่ยได้โดยตรงถ้าเกิดเขามีปัญหาขึ้นมาจริงๆ
ฮั่นจงผู้ซึ่งเติบโตมาจากครอบครัวพ่อค้าเริ่มคํานวณทันทีและพูดกับตัวเองในใจ “ดูเหมือนว่าฉันต้องหาวิธีที่จะเป็นเพื่อนที่ดีกับจางเล่ยให้ได้!”
“พวกเรากลับกันดีกว่า!” จี้เฟิงพูดขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มที่จะมืดแล้ว และเมื่อเห็นแต่ละคนมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันไปเขาก็อดยิ้มไม่ได้ โชคดีที่ฉันไม่ได้เป็นคนที่ต้องเปิดเผยตัวตนในวันนี้ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าบรรยากาศในตอนนี้คงจะผิดแผกแปลกไปกว่านี้มาก
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงไม่ได้รู้สึกตําหนิฮั่นจงหรือเพื่อนคนอื่นๆที่มีทัศนคติเปลี่ยนไปต่อจางเล่ย นี่คือวิถีการใช้ชีวิตในสังคมของผู้คนโดยทั่วไปในปัจจุบัน จี้เฟิงคิดเรื่องนี้อย่างใจเย็น ถ้าจู่ๆคนที่อยู่ข้างๆกลายเป็นคนที่มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่และเขาอาจจะกลายเป็นเพื่อนของคุณ ไม่ว่าใครถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วยังสามารถทําตัวนิ่งเฉยได้ ถึงจะเป็นเรื่องแปลก
ดังนั้นจี้เฟิงจึงเข้าใจได้เป็นอย่างดีถึงการแสดงออกของฮั่นจงและคนอื่นๆ
เนื่องจากวันนี้เรื่องราวได้จบลงอย่างสวยงามด้วยบารมีของจางเล่ย ในขณะที่กําลังเดินทางกลับทุกคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองและไม่มีใครสนใจที่จะพูดนอกจากตู้เส้าเฟิงผู้ที่มีนิสัยใจร้อนและตรงไปตรงมาเท่านั้นที่ยังพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างออกรสและตื่นเต้นราวกับว่าเขาเป็นผู้ที่เอาชนะผู้กองหวังและอู๋เฉียนด้วยตัวของเขาเอง
“เหล่าจาง ฉันคิดไม่ถึงจริงๆว่านายจะเป็นลูกหลานของคนใหญ่คนโตขนาดนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า!” ตู้เส้าเฟิงหัวเราะ “แต่ไม่ว่ายังไงนายก็ไม่เหมือนกับลูกคุณหนูคนอื่นๆที่ฉันเคยเจอ นายดูเป็นคนที่กระหายการต่อสู้ ฉันล่ะอยากเป็นเพื่อนกับนายจริงๆ!”
จางเล่ยยิมเล็กน้อย “เราไม่ได้เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วเหรอ?”
“ฮ่าฮ่า! ใช่! ใช่แล้ว!” ตู้เส้าเฟิงหัวเราะพอใจ
สําหรับบุคลิกของตู้เส้าเฟิง จี้เฟิงมีความคิดว่าเขาก็เป็นคนที่ชื่นชอบและกระหายการต่อสู้ไม่น้อยไปกว่ากัน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “เหล่าตู้ อย่าว่าแต่คนอื่นกระหายการต่อสู้เลย ฝีมือของนายก็ไม่ธรรมดานะ ดูเหมือนว่านายจะผ่านการฝึกฝนมาไม่น้อยเลยใช่มั้ย?!”
ตู้เส้าเฟิงตอบอย่างไม่ปิดบัง เขาพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง ฉันได้รับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้กับผู้อาวุโสในครอบครัวของฉันมาตั้งแต่ยังเด็ก ฉันได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่มีทักษะดีเป็นอันดับต้นๆของตระกูลเลยนะ แต่ก็เทียบกับพี่ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย วิธีการทําลายกล้ามเนื้อและถอดกระดูกข้อต่ออย่างรุนแรงและแม่นยําของพี่จี้นี่มันน่ากลัวจริงๆ แต่มันออกจะดูโรคจิตหน่อยๆฉันคิดไม่ถึงเลยนะว่าพี่จี้ที่ดูเป็นคนนิ่งๆจะเป็นคนซาดิสม์กว่าที่คิด!”
“ไอ้บ้า!” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้ม นี่มันเป็นวิธีของทางการทหารเลยนะทําไมมันถึงกลายเป็นวิธีของคนโรคจิตไปซะได้
เมื่อกลับเข้าสู่ความเงียบ จี้เฟิงก็ขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง
จากเหตุการณ์ในวันนี้จี้เฟิงสามารถมองเห็นได้ว่า รูปแบบของตระกูลในเจียงโจวนั้นมันแย่มากเรียกได้ว่าเลวร้ายเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จี้ช่าวหยิน ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในแง่ลบ หลายคนกลัวแม้กระทั่งจะเอ่ยถึง
ยิ่งไปกว่านั้นจี้ช่าวหยินดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับคนมากมายที่เป็นคนเลวและทําสิ่งไม่ดีต่างๆ โดยใช้อํานาจจากชื่อของเขา อย่างเช่นคนอย่างอู๋เฉียน ที่เขากล้าทําเรื่องชั่วอย่างอุกอาจอย่างในวันนี้ก็เพราะมีชื่อของจี้ช่าวหยินคุ้มครองอยู่
“ดูเหมือนว่าต้องหาโอกาสไปพบปะพูดคุยกับจี้ช่าวหยินสักหน่อยแล้ว” ใบหน้าของจี้เฟิงมืดมนลงและได้แต่พูดกับตัวเองในใจว่า “แต่ถ้าเขายังไม่รู้สํานึก ฉันก็คงต้องไปเยี่ยมอาสองของฉันเองโดยตรง!”
ตามหลักเหตุผลและมารยาทแล้วจี้เฟิงควรจะไปพบกับอาคนที่สองของเขาหลังจากที่เขามาที่เจียงโจว แต่เขาไม่ต้องการทําเช่นนั้น ในแง่หนึ่งจี้เฟิงไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนต่อหน้าบุคคลภายนอก เช่นเดียวกับจี้เจิ้นหัวพ่อของเขาก็ได้กล่าวเอาไว้ว่าตระกูลจี้ได้อยู่ในจุดที่สูงและแข็งแกร่งมากพอแล้ว จึงไม่จําเป็นต้องไปอยู่ในจุดเสี่ยงอย่างปากเหวเพื่อเผชิญกับลมพายุที่รุนแรง เพราะหากเกิดอะไรขึ้น ตระกูลจี้ที่อยู่แนวหน้าก็จะได้รับผลกระทบอย่างมากและนั่นก็จะไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาตระกูล
ส่วนในอีกแง่หนึ่งจี้เฟิงยังต้องการเวลาอีกสองสามปี เพื่อใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างสงบสุขและปลอดภัยในขณะเดียวกันเขาก็กําลังมองหาอุตสาหกรรมที่เขาสนใจเพื่อที่จะสร้างเส้นทางสู่ธุรกิจที่เป็นของเขาเองในอนาคต
ตั้งแต่มีระบบฝึกอบรมสายลับระดังสูง จี้เฟิงก็ได้นึกภาพเส้นทางอนาคตของเขาไว้บ้างแล้ว
บางทีในสายตาของพ่อและสมาชิกในครอบครัว การเลือกเส้นทางการเมืองคงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดและถนนสายนี้มันก็ง่าย แต่จี้เฟิงไม่ต้องการเดินไปในเส้นทางนี้ เขาไม่ชอบชีวิตที่ต้องมาคอยวางอุบายหรือใช้ชีวิตอย่างเป็นทางการ ยิ่งไปกว่านั้นลูกชายคนโตของอาสองของเขา ก็เป็นบุคคลที่มีความสามารถและรู้จักถ่อมตัว บุคคลเช่นนี้มีศักยภาพมหาศาลและสามารถทําให้ตระกูลจี้เติบโตไปได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นสิ่งที่จี้เฟิงต้องการทําคือการพัฒนาตัวเองเข้าสู่ธุรกิจ
หลังจากกลับมาถึงมหาวิทยาลัย จี้เฟิงที่ตอนนี้กําลังยืนจับมือเล็กๆของถงเล่ยอยู่ที่ชั้นล่างของหอพักหญิง เขาลูบผมถงเล่ยอย่างอ่อนโยนพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “เล่ยเลย ขึ้นห้องไปพักผ่อนเถอะ ตอนนี้ดึกแล้ว พรุ่งนี้พวกเราต้องตื่นกันแต่เช้า”
เนื่องจากนักเรียนนักศึกษาสมัยนี้เปิดกว้างมากในเรื่องของการแสดงความรักต่อกันในที่สาธารณะและแม้แต่คู่รักบางคู่ยังจูบกันอย่างเปิดเผยในห้องเรียน ส่วนสถานที่อย่างสวนสาธารณะหรือสนามหญ้าในตอนกลางคืนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ต่างเต็มไปด้วยคู่รักที่แสดงความรักกันอย่างไม่อายฟ้าดิน แม้ว่าทางมหาวิทยาลัยจะกําหนดว่าห้ามนักศึกษาแสดงความรักต่อกันในที่สาธารณะ แต่ในความเป็นจริงด้วยการเปิดกว้างของผู้คนในยุคปัจจุบัน ทางมหาวิทยาลัยจึงทําได้แต่ปิดตาข้างเดียวและแสร้งทําเป็นมองไม่เห็น
คงต้องบอกว่าการที่สังคมพัฒนาจนมาถึงจุดนี้มันกลายเป็นสังคมที่ถูกหล่อหลอมจนบิดเบี้ยวไปแล้ว ด้วยวัฒนธรรมแบบตะวันตกที่มีอิสระเสรีทางความคิดและทําอะไรได้อย่างเปิดเผย และวัฒนธรรมแบบอนุรักษ์นิยมของทางตะวันออก ได้ส่งผลกระทบต่อคนหนุ่มสาวในยุคนี้จนเกิดแนวคิดที่แทบจะเรียกได้ว่าผิดปกติ
จี้เฟิงได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วนว่านักเรียนมัธยมต้นที่เป็นแฟนกันก็แสดงความรักอย่างเปิดเผยในห้องเรียน และแม้แต่เพื่อนที่อยู่ข้างๆก็ยังปรบมือให้
ยิ่งไปกว่านั้น ในแวดวงของเหล่านักเรียนในปัจจุบันถ้าเด็กผู้หญิงยังเป็นสาวบริสุทธิ์ในระดับมัธยมดูเหมือนว่าเธอจะถูกดูถูกและดูหมิ่น
แนวคิดที่ผิดแผกแบบนี้จึงทําให้ผู้คนทั่วไปอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงที่อยู่ในยุคที่มีแนวคิดเช่นนี้ เขาจึงสามารถจับมือเล็กๆของถงเล่ยที่ชั้นล่างของหอพักได้อย่างเปิดเผย เขามองไปที่ใบหน้าที่สวยงามของถงเล่ยที่กําลังแดงระเรือด้วยความเขินอาย เขาเอ่ยคําบอกรักออกมาอย่างนุ่มนวล
“จี้เฟิง เราไปนั่งเล่นที่นั่นสักพักแล้วค่อยกลับได้มั้ย?” เมื่อถงเล่ยอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นชินมันทําให้เธอเกิดความรู้สึกวูบโหวงแปลกๆอยู่ในใจของเธอ และเธอก็เต็มใจที่จะยอมรับจี้เฟิงได้มากขึ้น
ราวกับว่าจี้เฟิงรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนในหัวใจของถงเล่ย จี้เฟิงจึงยิ้มบางๆและกอดร่างของถงเล่ยเดินไปตรงบริเวณที่พักผ่อนข้างหอพัก ที่นั่นมีม้านั่งสองสามตัวและทั้งสองก็นั่งลงบนม้านั่ง