The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 118
บทที่ 118 การฝึกทหาร เริ่มต้น!!
ชั้นเรียนของจี้เฟิงเป็นชั้นเรียนที่ 7 ของเอกการจัดการเศรษฐกิจ ที่ปรึกษาของชั้นเรียนนี้ เป็นชายหนุ่มวัย 30 ต้นๆ เขาสวมแว่นตาและมีบุคลิกที่ดูสะอาดเรียบร้อย เขาพูดด้วยเสียงที่นุ่มนวล
หลังจากที่เขาพูดออกมาสองสามประโยคบนแท่นบรรยาย เขาก็เริ่มสั่งให้นักศึกษาสองสามคนไปรับหนังสือและประกาศว่าในช่วงบ่ายจะมีรถจากค่ายทหารมารับนักศึกษาเหล่านี้ไปยังค่ายทหารเพื่อเริ่มการฝึกทหารเป็นเวลาหนึ่งเดือน
“นี่แหละเวลาที่ฉันรอคอย การฝึกฝนร่างกายเป็นสิ่งที่ดี!” ตู้เส้าเฟิงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินว่าการฝึกทหารของมหาวิทยาลัยกําลังจะเริ่มขึ้น “ไม่รู้ว่าครูฝึกทหารที่จะมาสอนพวกเราจะเก่งแค่ไหน บางที่ครูฝึกอาจจะมีเทคนิคเจ๋งๆซักสองสามอย่างมาสอนพวกเราก็ได้”
จ้าวไคดันแว่นขึ้นและยิ้ม “ต้องการเทคนิคการต่อสู้ดีๆซักสองสามอย่าง? คุณจะไปมองหารูปแบบการซ้อมสําเร็จรูปของทหารทําไม ในเมื่อมีบุคคลที่มีฝีมืออย่างที่คุณต้องการอยู่ตรงหน้าคุณแล้ว”
ตู้เส้าเฟิงมองไปที่อี้เฟิงแล้วส่ายหัว “ฉันต้องการฝึกฝนการต่อสู้ไว้เพื่อป้องกันตัวและทําให้ร่างกายแข็งแรง ฉันยังไม่อยากเป็นฆาตกร การเคลื่อนไหวและฝีมือของเขามันอันตรายเกินไป!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า !” จ้าวไคและฮั่นจงต่างพากันหัวเราะลั่น จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเช่นกัน ตู้เส้าเฟิงคนนี้ช่างเป็นคนที่พูดตรงไปตรงมาดีจริงๆ
หลังจากที่พวกเขาได้รับหนังสือเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เห็นรถทหารจํานวนหลายคันขับเข้ามาในมหาวิทยาลัยในตอนเที่ยง
เมื่อมองไปที่นักศึกษาใหม่ร่วมชั้นเรียน จี้เฟิงก็พบกับใบหน้าที่ดูตื่นเต้นบ้างประหม่าบ้าง จากนั้นจี้เฟิงก็ก้าวขึ้นรถของทหารไปเพื่อที่จะฝึกทหารเป็นเวลาหนึ่งเดือนที่ค่ายทหาร
จริงๆแล้วสําหรับจี้เฟิง การฝึกทหารที่ไม่ค่อยเข้มงวดสําหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยแทบจะไม่มีผลอะไรกับเขาเลย คุณรู้ไหมว่าการฝึกที่เรียกได้ว่าผิดปกติเกินกว่ามนุษย์ที่ความอดทนต่ำจะผ่านไปได้ของระบบการฝึกสุดยอดสายลับระดับสูง จี้เฟิงก็ยังสามารถผ่านและปรับตัวกับการฝึกแบบนั้นมาได้ แล้วนับประสาอะไรกับการฝึกทหารของนักศึกษา ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องยากสําหรับคนอื่นแต่สําหรับเขาแล้ว มันแทบไม่ต่างจากการเข้าค่ายของเด็กประถม
แต่อย่างไรก็ตามจี้เฟิงก็ยังคงตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการฝึกทหารของนักศึกษาใหม่ครั้งนี้อยู่ดี เพราะเขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่า การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในรั้วมหาวิทยาลัยก็เป็นสิ่งสําคัญเช่นกัน
นักศึกษาใหม่กว่า 10,000 คน ที่ตอนนี้ต่างมีอารมณ์และความรู้สึก ที่หลากหลายและแตกต่างกัน พวกเขาได้ถูกนําตัวไปยังค่ายทหารต่างๆ เพื่อเริ่มการฝึกทหารใหม่เป็นเวลา 1 เดือน
จี้เฟิงรู้สึกยินดีมากหลังจากที่ติดต่อจางเล่ยกับถงเล่ยและได้รู้ว่า สถานที่ฝึกอบรมทหารใหม่ของเอกภาษาต่างประเทศเป็นสนามอบรมของคณะเศรษฐศาสตร์เช่นเดียวกันกับเอกการจัดการเศรษฐกิจของจี้เฟิง นั่นหมายความว่าตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่พวกเขาจะได้รับการฝึกอบรมในค่ายทหารนี้ จี้เฟิงยังพอจะมีโอกาสได้พบกับถงเล่ยอยู่บ้าง
และถ้าเขาโชคดีพอได้อยู่กลุ่มเดียวกันกับถงเล่ย เขาก็จะสามารถฝึกร่วมกันกับถงเล่ยได้ แต่ถึงแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง แต่มันก็น้อยมาก เพราะเพียงแค่เอกการจัดการเศรษฐกิจของจี้เฟิงที่มีมากกว่า 20 ชั้นเรียนจากจํานวนคนที่มากกว่า 1,000 คน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะโชคดีได้สนามฝึกเดียวกัน แต่ด้วยจํานวนคนที่มากขนาดนี้ จึงไม่มีอะไรที่จะสามารถรับประกันได้เลยว่าเขาจะได้อยู่กลุ่มเดียวกันกับถงเล่ย
แต่จี้เฟิงไม่ได้ร้อนใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่นักเพราะระยะเวลา 1 เดือนกับการฝึกทหารระดับนักศึกษา สําหรับเขามันเป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
“พี่จี้ ทหารเหล่านี้ดูไม่ค่อยแข็งแกร่งเท่าไหร่เลย!” เมื่อพวกเขามาถึงที่ค่ายทหาร ตู้เส้าเฟิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ได้เห็นทหารเหล่านั้น “ถึงพวกเขาจะดูเคลื่อนไหวกันมีระเบียบตามมาตรฐานดี แต่มันก็ไม่สามารถบอกได้ว่าพวกเขาจะเก่งในการสู้รบจริงๆหรือเปล่า!”
จี้เฟิงได้แต่เหล่มองตู้เส้าเฟิงแล้วยิ้มน้อยๆ จากนั้นตู้เส้าเฟิงก็เกาหัวของเขาอย่างขัดเขินและพูดว่า “โอเคๆ ฉันยอมรับฉันอยากจะลองสู้กับพวกเขาดูสักหน่อย!”
“หึหึ ฉันคิดไว้แล้วแหละ!” จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม เขาจ้องไปที่ตู้เส้าเฟิงแล้วพูดว่า “การเป็นทหารไม่ใช่เรื่องง่าย ลําพังแค่การฝึกของเขาก็ยากและเหนื่อยมากพอแล้ว นายอย่าไปหางานให้พวกเขาต้องเหนื่อยเพิ่มเลย!”
จี้เฟิงรู้ดีกว่าใครๆว่าทหารเหล่านี้พวกเขาไม่ใช่อัศวินหรือนักรบ พวกเขาเป็นคนแค่คนธรรมดาที่ต้องอาศัยแบบแผนและกลยุทธ์รวมถึงต้องมีจิตใจที่กล้าหาญไม่เกรงกลัวต่อความตาย
ส่วนเรื่องการต่อสู้และการฝึกฝนทหารนั้นมันเป็นอีกเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะหลังจากที่เพิ่งได้สัมผัสกับการฝึกอบรมจากระบบฝึกสุดยอดสายลับระดับสูง มันทําให้เขาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ดีมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นแม้ว่าทหารเหล่านี้จะมีความสามารถในการต่อสู้เฉพาะตัวดีกว่าคนทั่วไป แต่ถ้าพวกเขาเจอกับปรมาจารย์แห่งศิลปะการต่อสู้ตัวจริงๆ พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้กันด้วยกองกําลังรบนับสิบ เกรงว่าฝ่ายปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้คงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหล่าทหาร มันเป็นความจริงที่ว่าอาชีพทหารอย่างพวกเขานั้นมีเทคนิคและความสามารถในการต่อสู้แบบอาศัยกลยุทธ์ที่มีแบบแผนมากกว่า
เพราะฉะนั้นการฝึกฝนร่างกายของทหารเหล่านี้ จึงมีไว้เพื่อสนับสนุนให้พวกเขาสามารถปฏิบัติตามกลยุทธ์ต่างๆในการสู้รบไม่ว่าจะในสงครามหรือเพื่อใช้ในรับมือกับสถานการณ์อื่นๆ ไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาเชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้
“ใช่แล้วเหล่า คุณมีทักษะการต่อสู้ที่ดี แต่ทหารเหล่านี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณ เพราะฉะนั้นคุณก็อย่าไปทําให้พวกเขาต้องลําบากไปมากกว่านี้เลย!” จ้าวไคจ้องไปที่ดวงตาของตู้เส้าเฟิงและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ถึงแม้จะไม่ได้มีสงครามแต่เวลาเกิดภัยพิบัติกลุ่มคนที่พวกเราจะสามารถพึ่งพาได้ก็คือกลุ่มทหารเหล่านี้ อย่างตอนน้ำท่วมใหญ่เมื่อ 10 กว่าปีก่อนและเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ท่ามกลางภัยพิบัติเหล่านี้จะมีใครที่พึ่งพาได้จริงๆนอกจากทหารเหล่านี้?”
“ฉันแค่ !!” ตู้เส้าเฟิงหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆและอดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญออกมาว่า “ทําไมพวกนายถึงมองฉันเป็นคนที่เลวร้ายขนาดนั้นล่ะ ฉันแค่เห็นว่าทหารพวกนี้เขาดูไม่ค่อยมีฝีมือในการต่อสู้มากนักก็เลยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ฉันไม่ได้คิดที่จะดูถูกพวกเขาเลยนะ!”
คนอื่นๆมองหน้ากันแล้วหัวเราะ จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยเขาได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “เหล่าผู้ถ้านายต้องการอยากจะวัดฝีมือกับทหารเหล่านี้จริงๆ นายก็แค่ลองทําตามเขาและเปรียบเทียบดูเอาก็ได้!”
“เปรียบเทียบยังไง?” ตู้เส้าเฟิงที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกมีความหวังถามด้วยความกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
จี้เฟิงชี้ไปที่เหล่าทหารที่กําลังฝึกซ้อมกันอย่างเป็นระเบียบแล้วกล่าวว่า “นายสามารถเปรียบเทียบความสามารถของนายด้วยการฝึกซ้อมแบบเดียวกันกับทหารเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการยืนการเข้าแถวรูปแบบต่างๆ วิธีการออกกําลังกายของทหาร ทั้งหมดนี้ถ้านายลองทําแบบพวกเขา พวกนายก็จะสามารถรู้ได้ถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขาจากการฝึกฝนแบบนี้!”
“แต่ฉันไม่เคยเรียนรู้วิธีเดินหรือการเข้าแถวของทหารแบบนั้น ฉันควรทํายังไง?” ตู้เส้าเฟิงถามทันที
“นายก็แค่ยอมรับการฝึกอบรมของผู้ฝึกสอนทหาร ทําตามที่เขาบอกทุกขั้นตอนแค่นี้นายก็จะได้เรียนรู้และนําไปเปรียบเทียบกับพวกทหารเหล่านั้นได้แล้ว!”
ตู้เส้าเฟิงยิ้มกว้างเขาพยักหน้าแรงๆและพูดว่า “นี่เป็นวิธีที่ดีจริงๆ เราไม่ต้องเปรียบเทียบฝีมือของเรากับคนอื่นด้วยการต่อสู้เพียงอย่างเดียว เราก็แค่ลองฝึกวิธีการของพวกเขา แค่นี้เราก็จะสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองแล้วว่า พวกเขามีจุดแข็งและจุดอ่อนตรงไหนบ้าง แบบนี้ดีกว่าเอาชนะแบบผิวเผินซะอีก!”
จี้เฟิงมองหน้ากับเพื่อนๆอีกสองคนและอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ตู้เส้าเฟิงคน นี้เป็นคนซื่อและตรงไปตรงมาจริงๆ แต่มันก็ทําให้จี้เฟิงมั่นใจได้ว่า อย่างน้อยคนแบบนี้จะไม่มีทางฉวยโอกาสทําเรื่องไร้ยางอายอย่างแน่นอน มันเป็นเรื่องที่เขารู้สึกอุ่นใจมากเมื่อได้ผูกมิตรกับคนแบบนี้
ในขณะนั้นเอง ก็มีนักศึกษาชายผมสีแดงเข้มเดินเข้ามาทางพวกเขาพร้อมกับมีรอยยิ้มที่เย่อหยิ่งอยู่บนใบหน้าของเขาและพูดขึ้นว่า “ไง! เสี่ยวฮั่น พวกเราไม่ได้เจอกันนานเลย!”
พวกเขาหันไปมองตามเสียงนั้น และเห็นว่าผู้ที่ส่งเสียงทักทายฮั่นจงเมื่อครู่ คือหวังเสี่ยวหู่ชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนในชั้นเรียน
ฮั่นจงยิ้มและกล่าวว่า “ใช่แล้ว ฉันก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เรียนอยู่ชั้นเดียวกันกับเสี่ยวหวัง เป็นโชคดีของฉันจริงๆ!”
หวังเสี่ยวหู่ดูภูมิใจมาก แต่เขาก็ยังคงไว้ซึ่งความถือตัวและหยิ่งเล็กน้อย เขาไม่มองไปที่จี้เฟิงและคนอื่นๆเลย เขาเพียงแค่พูดคุยกับฮั่นจง “เสี่ยวฮั่น ฉันอยากจะปรึกษาอะไรกับนายสักหน่อย นายพอจะไปคุยกับฉันเป็นการส่วนตัวตรงนั้นซักครู่หนึ่งได้มั้ย?”
ฮั่นจงทําหน้าสงสัยเล็กน้อยจากนั้นก็พยักหน้าและเดินตามหวังเสี่ยวหู่ไปไม่ไกลจากตรงที่จี้เฟิงยืนนักเพื่อพูดคุยกัน
“ไอ้หมอนี่มันขี้เก๊กชะมัด!” ตู้เส้าเฟิงพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจ พร้อมกับมองไปทางที่ฮั่นจงและหวังเสี่ยวหู่กําลังยืนพูดคุยกัน หวังเสี่ยวหู่คนนี้เดินเข้ามาหาโดยที่ไม่คิดจะทักทายคนอื่นเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็เรียกฮั่นจงไปคุยเป็นการส่วนตัว เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา
จ้าวไคยิ้มและกล่าวว่า “ในฐานะลูกชายของรองคณบดีฝ่ายการศึกษา มันก็เป็นเรื่องปกติที่เขาจะคิดว่าตัวเองเหนือกว่าและถือตัว”
จี้เฟิงยิ้มและไม่คิดที่จะพูดอะไรออกมา เขาเข้าใจพฤติกรรมของลูกคนรวยมีอํานาจเหล่านี้มานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะใส่ใจอะไร
ครู่ต่อมาฮั่นจงก็เดินกลับมา เขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หวังเสี่ยวหู่บอกว่า เขาต้องการให้สนับสนุนเขาในการเป็นหัวหน้าทีมในการฝึกทหารครั้งนี้ เขารับปากว่าเมื่อการฝึกทหารเสร็จสิ้นจะเชิญพวกเราไปเลี้ยงอาหารเย็นมือใหญ่เป็นการตอบแทน!”
“เขาอยากเป็นหัวหน้าทีมเหรอ?” จ้าวไคขมวดคิ้ว
“เป็นหัวหน้าทีมแล้วมันจะได้สิทธิพิเศษอะไรหรือเปล่า?” แม้ว่าตู้เส้าเฟิงจะเป็นคนที่ออกจะดูซื่อบื้อแต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนที่โง่เขลา เขาสามารถมองออกถึงประเด็นหลักในเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว
ฮั่นจงส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า “ฉันก็ไม่แน่ใจในเรื่องนี้ แต่เนื่องจากมันก็ได้ชื่อว่าเป็นตําแหน่งหัวหน้าทีมอ่ะนะ ฉันเลยคิดว่ามันคงจะได้สิทธิพิเศษอะไรเกี่ยวกับตําแหน่งนี้อย่างแน่นอน!”
“พวกคุณเดาได้ถูกต้อง!” จ้าวไคยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสายตาที่กําลังงุนงงของเพื่อนๆ เขาจึงเปิดปากอธิบายต่อว่า “เนื่องจากสหพันธ์มหาวิทยาลัย ใช้ระบบการเก็บหน่วยกิต และตราบใดที่คุณเก็บสะสมหน่วยกิตจนครบคุณจะสามารถสําเร็จการศึกษาได้ตลอดเวลา จากข้อมูลของการฝึกฝนทหารที่ผ่านมา ผู้ที่ได้รับตําแหน่งหัวหน้าทีมของนักศึกษาใหม่ที่เข้าร่วมการฝึกทหาร จะสามารถเพิ่มหน่วยกิตได้ 5 หน่วยกิต!”
เมื่อฟังจบ ทุกคนก็รู้ได้ทันทีว่า หวังเสี่ยวหู่คนนี้มาเพื่อต้องการหน่วยกิตทั้ง 5 นี้
ฮั่นจงถามขึ้นว่า “ในกลุ่มของพวกเรามีใครต้องการตําแหน่งหัวหน้าทีมมั้ย? ถ้ามีเราก็ไม่จําเป็นต้องไปตามใจเขาเพราะเขาเป็นเพียงแค่ลูกชายของรองคณบดีฝ่ายการศึกษา!”
ตู้เส้าเฟิงเป็นคนแรกที่ส่ายหัว “ฉันไม่สนใจ แต่ถ้าตําแหน่งนี้มันช่วยให้ฉันได้พูดคุยอะไรนิดหน่อยกับผู้ฝึกสอนเป็นการส่วนตัว นั้นยังจะพอน่าเอาไปพิจารณา”
ฮั่นจงส่ายหัวและยิ้ม “แค่ตําแหน่งหัวหน้าทีม มันไม่ได้มีสิทธิพิเศษมากขนาดนั้น”
“งั้นก็จบ เลิกคุยเรื่องนี้ได้เลย” ตู้เส้าเฟิงปฏิเสธเป็นคนแรก
จ้าวไคส่ายหัวเช่นกัน เขาพูดขึ้นว่า “ถ้าพวกคุณต้องการเก็บหน่วยกิตเพิ่มเติม ยังมีวิธีอื่นๆอีกมาก หลังจากสิ้นสุดการฝึกทหารในครั้งนี้ ยังมีกิจกรรมในมหาวิทยาลัยอีกมากให้คุณได้เข้าร่วมรวมถึงกิจกรรมของชมรมต่างๆก็เป็นการเพิ่มหน่วยกิตได้เช่นกัน พวกเราไม่จําเป็นต้องไปแข่งขันเพื่อแย่งชิงตําแหน่งหัวหน้าทีมในครั้งนี้”
สายตาของฮั่นจงมองต่อไปที่จี้เฟิงอีกครั้ง “จี้เฟิง เหลือแค่นายแล้วล่ะ แต่ถ้านายอยากจะเป็นหัวหน้าทีม พวกเราก็พร้อมจะสนับสนุน!”
จี้เฟิงนิ่งคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “ไม่ดีกว่า ฉันอยากจะฝึกอย่างสบายใจ”
“ดีแล้วล่ะ” ฮั่นจงส่ายหัว “ปกติหวังเสี่ยวหู่คนนี้ก็เป็นคนที่ออกเย่อหยิ่งอยู่ซักหน่อย แล้วยิ่งตอนนี้เขาสามารถใช้ประโยชน์จากการเป็นลูกชายของรองคณบดีฝ่ายการศึกษาของมหาลัยได้อีก เขาคงยิ่งไม่เห็นใครอยู่ในสายตา! เราไปยุ่งกับเขาก็คงจะมีแต่สร้างเรื่องรําคาญให้พวกเราซะเปล่าๆ!”
จี้เฟิงได้แต่ส่ายหัวและยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ในใจของเขากําลังคิดว่า มหาวิทยาลัยไม่ใช่หอคอยงาช้างบริสุทธิ์แบบที่เขาคิดไว้เลยแม้แต่น้อย มันก็แทบไม่ต่างจากสังคมเล็กๆสังคมหนึ่ง ที่มีผู้คนหลากหลายรวมถึงความสําคัญของอํานาจต่างๆในแต่ละสายงาน ตัวเขาเองยังต้องมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก
….จบบทที่ 118