The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 38
บทที่ 38 นัดรวมตัว
เซียวซูเหม่ยเข้าใจได้ในทันที เธอหันไปหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วถามว่า “เฟิงเอ๋อ ลูกต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการไปร่วมกิจกรรมของโรงเรียน?”
จี้เฟิงเพียงแค่ต้องการที่จะพูดคุยเท่านั้น แต่แม่ของเขาได้หยิบเงินออกจากกระเป๋าอย่างรวดเร็ว และส่งให้จี้เฟิง 100 หยวน พร้อมกับกล่าวว่า “เฟิงเอ๋อ ลูกต้องเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มให้ได้นะ ลูกไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงิน!”
จี้เฟิงมองแม่ของเขาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เขาเห็นริ้วรอยสองสามเส้นที่เพิ่มขึ้นมาบนใบหน้าของแม่ ตอนนี้จี้เฟิงรู้สึกว่าจมูกของเขาหายใจติดขัด และดวงตาที่ร้อนผ่าวก็เหมือนกับจะมีน้ำใสๆ เอ่อล้นขึ้นมา!
“แม่ มันไม่ใช่เรื่องเงิน!” จี้เฟิงยื่นเงินคืนกลับไปให้กับแม่ของเขาและพูดว่า “ที่ผมลังเลเป็นเพราะผมคิดอยู่ว่า ถ้าไปร่วมกิจกรรมในสุดสัปดาห์นี้ มันจะทำให้ผมไปช่วยแม่ขายผักที่ตลาดไม่ได้ต่างหาก!”
ทันใดนั้นเซียวซูเหม่ยก็หัวเราะ
“ฮ่าฮ่า~! ทำไมล่ะ? แม่ของลูกแก่เกินไปที่จะขายผักคนเดียว แล้วปล่อยลูกชายให้ไปเที่ยวอย่างสบายใจบ้างไม่ได้เลยเหรอ?”
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยและพูดอย่างหนักแน่นว่า “ไม่ต้องห่วงนะแม่ ผมจะรีบกลับ!”
เซียวซูเหม่ยขยี้หัวลูกชายอย่างแรงแล้วยิ้ม “เฟิงเอ๋อ อย่ามัวแต่ปลีกตัวออกห่างจากเพื่อนอย่างเดียว ลูกต้องรักษาสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมชั้นด้วย ถ้าลูกไม่อยู่กับเพื่อนหรือไปร่วมกิจกรรมบ้าง ลูกจะมีเพื่อนได้อย่างไร?”
จี้เฟิงพยักหน้าอีกครั้งความอบอุ่นในหัวใจเขามันหลั่งไหลอย่างปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา!
ส่วนเรื่องเงิน 10,000 หยวนนี้ค่อยหาวิธีอธิบายให้แม่ฟังทีหลังก็แล้วกัน ถ้าฉันพูดตอนนี้แม่จะต้องเป็นห่วงแน่ๆ! จี้เฟิงตัดสินใจอย่างลับๆ
………
เช้าวันรุ่งขึ้น จี้เฟิงตื่นแต่เช้า เขาช่วยแม่ขนผักไปที่ตลาดก่อน แล้วหลังจากนั้นจึงเดินทางไปโรงเรียน จากที่นัดกันไว้คือ นักเรียนชั้นปี 3 ต้องมารวมตัวกันที่หน้าประตูโรงเรียนไม่เกิน8โมงเช้า!
เมื่อจี้เฟิงมาถึงหน้าประตูโรงเรียน ก็เป็นเวลาใกล้จะ 8 โมงเช้าแล้ว เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์แรกของโรงเรียน มันจึงทำให้โรงเรียนดูเหมือนร้างมาก และดูเหมือนว่าเพื่อนนักเรียนในชั้นจะยังไม่มีใครมาถึง
จี้เฟิงจึงมองหาที่นั่งรอ เขาเห็นข้างๆ ประตูโรงเรียนมีที่นั่งว่างอยู่ในห้องรักษาการณ์ของ รปภ. เขาจึงเดินไปและนั่งลงอย่างเงียบๆ เพื่อรอการมาถึงของเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ
หลังจากนั้นไม่นานจี้เฟิงก็เห็นเจ้าของผมสีเหลืองเด่นมาแต่ไกล เมื่อจางเล่ยเห็นจี้เฟิงเขาจึงรีบปั่นจักรยานเร็วขึ้นเล็กน้อย และตรงมาที่ที่จี้เฟิงนั่งอยู่ แล้วถามว่า “เจ้าบ้า ทำไมนายอยู่คนเดียวล่ะ คนอื่นๆไปไหนหมด ไหนบอกว่านัดรวมตัวกัน อย่างช้าสุดก็ไม่เกิน 8 โมงเช้า”
จี้เฟิงกางมือสองข้างออกทำหน้าไร้เดียงสาแล้วพูดว่า “นายถามฉัน แล้วฉันจะไปถามใคร?”
จางเล่ยมองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าข้างหน้า เขายิ้มแล้วพูดว่า “คำตอบนั้นง่ายมาก… อยู่นั่นไง!”
จี้เฟิงมองตามไปยังสายตาของจางเล่ยทันทีและเห็นว่า มีกลุ่มนักเรียนกำลังเดินออกมาจากร้านอาหารที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับโรงเรียนประมาณ 30 ถึง 40 คน
จี้เฟิงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่านักเรียนเหล่านั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่พวกเขาเป็นนักเรียนชั้นปี 3 เพื่อนนักเรียนของเขาและจางเล่ยนั่นเอง และคนที่เดินนำหน้าอยู่นั่นก็คือ ซูหม่า!
ที่ด้านหลังของซูหม่า มีนักเรียนหลายคนกำลังยิ้มอย่างประจบประแจงอยู่บนใบหน้า ราวกับว่าพวกเขาเป็นผู้ติดตามผู้ซื่อสัตย์!
นักเรียนกลุ่มนี้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าจางเล่ยและจี้เฟิง รอยยิ้มประชดประชันปรากฏขึ้นในใบหน้าและแววตาของนักเรียนคนหนึ่ง แต่สีหน้าของเขาแสร้งทำเป็นกังวลและถามว่า “จี้เฟิง ทำไมนายมาช้านักล่ะ พวกเรานัดรวมตัวกันอย่างช้าที่สุดก็ไม่เกินแปดโมงเช้าก็จริง แต่ปกติคนส่วนใหญ่เขาก็มาก่อนเวลากันอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงกันทั้งนั้น มันเป็นมารยาทน่ะ แล้วพอเจ็ดโมงครึ่ง เพื่อนๆ ก็มากันเกือบครบแล้ว พวกเรากลัวว่ามันจะสายเกินไป รองหัวหน้าชั้นซูหม่าก็เลยตัดสินใจพาพวกเราไปทานอาหารเช้ากันมาก่อนแล้วล่ะ!”
จี้เฟิงยิ้มเยาะ คนเหล่านี้ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองหรือกล้าพูดกับจางเล่ยด้วยซ้ำ แต่พวกเขากลับไม่เคยเห็นอกเห็นใจจี้เฟิงเลยแม้แต่น้อย จี้เฟิงรู้สึกอายเป็นอย่างมากที่ต้องเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับพวกคนประเภทนี้!
เมื่อเห็นสีหน้าภาคภูมิใจในชัยชนะของเพื่อนร่วมชั้น จี้เฟิงจึงยิ้มอย่างเหยียดหยามแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วงฉันกินข้าวเช้าที่บ้านมาแล้ว แต่ถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่ได้กิน มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ที่สำคัญฉันจะปล่อยให้รองหัวหน้าชั้นซูหม่าใช้เงินในส่วนของฉันอย่างสูญเปล่าได้อย่างไร ฉันจะห่วงก็แต่นายนั่นแหละ ถ้านายกินข้าวเช้าไปมากกว่านี้ แล้วยังสูงไม่เท่าคนอื่นอีก จะทำยังไง?”
“นาย!!” ใบหน้าของนักเรียนที่ถูกจี้เฟิงตอกกลับแดงขึ้นมาทันทีด้วยความอับอาย เขารู้สึกเถียงไม่ออกเลยไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาทำได้แค่เพียงยืนกัดฟันอย่างโกรธแค้น
เมื่อเขาเลือกที่จะทำตัวเหมือนสุนัขจิ้งจอก ที่มาแว้งกัดคนอื่นด้วยคำเยาะเย้ยถากถางเพียงเพื่อที่จะเอาใจประจบสอพลออีกคน จี้เฟิงจึงเพียงแค่พูดกลับคืนไปบ้าง
แต่ด้วยวัยนี้ การถูกตอกกลับต่อหน้าคนหมู่มาก เป็นเรื่องที่น่าอับอายเป็นที่สุด ใบหน้ายังคงไม่หนามากพอที่จะทนฟังคำพูดเหล่านี้ได้เหมือนกับผู้ใหญ่ที่ผ่านสังคมมาอย่างโชกโชน
อย่างไรก็ตาม การเยาะเย้ยถากถางของจี้เฟิงทำให้นักเรียนในชั้นคนอื่นๆ รู้สึกไม่ค่อยพอใจ หลายคนแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด!
“จี้เฟิง นายก็พูดไม่ถูก ที่รองหัวหน้าชั้นซูหม่าชวนเราไปกินข้าวเช้า ก็เพื่อเป็นการสร้างมิตรภาพความสนิทสนมระหว่างเพื่อนร่วมชั้น แล้วอีกอย่างนายเป็นคนที่มาช้าเองไม่ควรที่จะอวดดีพูดด้วยถ้อยคำประชดประชันเพื่อนแบบนั้น!” นักเรียนอีกคนที่อยู่ถัดจากซูหม่าว่ากล่าวจี้เฟิงด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยาม
เมื่อเทียบกับซูหม่าแล้ว จี้เฟิงนั้นเทียบไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียนหรือภูมิหลังของครอบครัว คนที่ฉลาดจะรู้ว่าควรที่จะเลือกอยู่ข้างใคร!
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา และแน่นอนว่าเขาไม่คิดที่จะโต้เถียงไปมากกว่านี้อีก การคุยกับคนประเภทนี้มีแต่เสียน้ำลายเปล่า!
จางเล่ยขมวดคิ้วและมองไปที่นักเรียนเหล่านี้ ในขณะที่เขากำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง เขารู้สึกได้ถึงสัมผัสจากจี้เฟิง จากนั้นเขาก็กลืนคำพูดกลับเข้าปากไปอย่างโกรธ ๆ เขาทำได้แค่เพียงส่งเสียงคำรามเยือกเย็นในลำคอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมื่อเห็นว่าจี้เฟิง ไม่ได้แสดงท่าทีที่จะโต้เถียงอีกต่อไป ซูหม่ายิ้มหยันอยู่ในใจ “ฉันจะปล่อยให้แกชะล่าใจไปก่อน แล้วแกจะรู้สึก!”
……จบบทที่ 38~