The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 93
บทที่ 93 การรับรู้ของพ่อและลูก
“ผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของฉันเหรอ?!” ใบหน้าของจี้เฟิงจมลง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่าว่าแต่ยอมรับหรือให้อภัยเลย แต่เขาจะแก้แค้นตระกูลจี้ให้กับแม่ของเขาด้วยซ้ำ!
“ไม่ใช่!” จี้เจิ้นผิงส่ายหัว “ต่อมาพ่อของเธอได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยอีกครั้งและได้ตกหลุมรักกับแม่ของเธอที่นั่น ครั้งนี้คุณปู่ของเธอไม่ได้คัดค้านการคบหากันของพวกเขา เพราะตลอดสองปีที่ผ่านมาคุณปู่ของเธอไม่เคยเห็นพ่อของเธอยิ้มได้เลยจนกระทั่งได้คบกับแม่ของเธอ และสุดท้ายพวกเขาก็ตกลงที่จะแต่งงานกัน
“แล้วยังไง?” จี้เฟิงขมวดคิ้ว “ไม่เห็นมันจะซับซ้อนตรงไหน?”
“ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงนี้ เพราะก่อนที่พ่อกับแม่ของเธอจะแต่งงานกัน จู่ๆแม่ของเธอก็หายตัวไป”
จี้เจิ้นผิงส่ายหัวและถอนหายใจเล็กน้อย “ไม่ว่าพ่อของเธอและฉันจะช่วยกันตามหายังไงเราก็ไม่พบแม่ของเธอเลย พ่อของเธอยังไปตามหาที่บ้านเกิดของเซียวซูเหม่ยแม่ของเธอรวมไปถึงสถานที่ต่างๆ ที่แม่ของเธอชอบไปอีกด้วย แต่ก็ไม่พบอยู่ดี หลังจากที่ตามหามาตลอดหลายปีพ่อของเธอก็ยอมแพ้เพราะตั้งแต่นั้นมาเขาก็งานยุ่งมาก แต่เขาคิดถึงแม่ของเธอมาโดยตลอดและไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนอีกเลย”
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเป็นโสดมาตลอดเลยเหรอ?” จี้เฟิงตะลึง แต่สิ่งนี้มันก็ทำให้เขาก็รู้สึกดีขึ้นพอสมควรเพราะอย่างน้อยเขาก็เห็นถึงความจริงใจที่พ่อมีต่อแม่ของเขา
“ถูกต้องรัฐมนตรีผู้สง่างามและเป็นที่หมายปองของสาวๆ เขายังครองตัวเป็นโสด” จี้เจิ้นผิงส่ายหัวและยิ้มจากนั้นใบหน้าของเขาก็หม่นหมองลงอีกครั้ง “ไม่กี่ปีต่อมา พ่อของเธอก็ได้รู้สาเหตุที่แม่ของเธอได้หนีหายไป นั่นเป็นเพราะมีคนไปบอกกับแม่ของเธอว่า พ่อของเธอได้คบหากับผู้หญิงคนหนึ่งก่อนหน้าที่จะมาคบกับแม่ของเธอ และผู้หญิงคนนั้นก็ท้อง เมื่อแม่ของเธอรู้ แม่ของเธอจึงได้หนีหายไป”
“ดูเหมือนว่าจะมีคนไม่อยากให้การแต่งงานระหว่างพ่อกับแม่ของฉันเกิดขึ้น” จี้เฟิงจับประเด็นหลักได้ในทันที
ประกายแห่งความเห็นชอบฉายในดวงตาของจี้เจิ้นผิง เขาพยักหน้าและพูดว่า “ใช่แล้ว คนที่มีแรงจูงใจและหวังผลประโยชน์แอบแฝงที่บอกแม่ของเธอก็คือลูกสาวของนายพลที่มีสัญญาผูกมัดแต่งงานกับพ่อของเธอ เนื่องจากพ่อของพวกเขาซึ่งเป็นผู้นำของตระกูลไม่อยู่แล้วจึงทำให้ครอบครัวของพวกเขาก็ค่อยๆ หมดอำนาจลงทีละน้อย และเมื่อพ่อของเธอได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาจึงตั้งใจที่จะไปจัดการกับลูกสาวของนายพล แต่ได้ถูกปู่ของเธอขัดขวางไว้”
จี้เฟิงได้แต่พยักหน้าและไม่รู้จะพูดอะไรออกไปเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเรื่องจะเป็นอย่างนี้
“แม่ของเธอใจแข็งมาก เมื่อรู้ว่าพ่อของเธอเคยมีผู้หญิงอื่นและอาจมีลูกอยู่แล้ว แม่ของเธอรู้สึกรับไม่ได้และได้เป็นฝ่ายจากไป เพราะเธอไม่ได้รู้ต้นเหตุที่แท้จริง”
จี้เจิ้นผิงส่ายหัว “ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาแม้ว่าพ่อของเธอจะดูเหมือนยักษ์ใหญ่ที่เข้มแข็ง แต่จริงๆ ในแต่ละคืนที่ผ่านไป เขารู้สึกโศกเศร้าและขมขื่นมาก ในบางคืนที่เงียบสงัดเขามักจะดูรูปถ่ายของแม่เธอและร้องไห้อย่างเงียบๆ แม้แต่ผู้ชายอย่างเขาก็มีช่วงเวลาที่อ่อนแอเช่นกัน”
ในตอนนี้หัวใจของจี้เฟิงรู้สึกตื้นตัน
“ในตอนแรกคุณปู่ของเธอก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์นี้เช่นกันแต่มันเป็นเพราะเรื่องของหน้าตาในสังคมและอะไรอีกหลายๆอย่าง มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะพูด”
เขาถอนหายใจเล็กน้อยและพูดต่อว่า “ที่จริงเมื่อวานตอนที่พ่อของเธอได้รับโทรศัพท์จากถงไค่เต๋อและเขาได้บอกเรื่องเกี่ยวกับเธอ พ่อของเธอก็แทบจะกระโดดขึ้นมาอย่างมีความสุข และเขาต้องการที่จะเดินทางมาหาเธอกับแม่ด้วยตัวเองในทันที แต่เธอก็น่าจะพอเดาออกใช่ไหมว่าด้วยฐานะของเขานั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินทางมาที่เขตหมางซือโดยที่ไม่รบกวนคนอื่น แต่แม่ของเธอสนิทกับฉันมาก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันเดินทางมาที่นี่ก่อน”
“ถงไค่.. โทรศัพท์ของถงไค่เต๋อ?” จี้เฟิงผงะ
“ใช่ ถงไค่เต๋อจำเธอได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ถ้าไม่ใช่เพราะเขา พวกเราอาจจะไม่ได้พบกับเธอและแม่ของเธอก็ได้!”
จี้เจิ้นผิงหยิบบุหรี่ขึ้นมา “ใครจะคิดว่าแม่ของเธอจะมาซ่อนตัวอยู่ที่เขตเล็กๆ อย่างหมางซือและขายผักอยู่ที่นี่ เฮ้ออ… อนิจจา!”
“แต่ในความทรงจำของฉัน ฉันจำได้ว่าแม่เคยพาฉันกลับไปที่บ้านของคุณปู่อยู่พักหนึ่ง แต่ถูกญาติและเพื่อนๆ ดูถูกเยาะเย้ยอย่างรุนแรง แม่ของฉันจึงโกรธมาก เธอจึงพาฉันมาอยู่ที่เขตหมางซือแห่งนี้ ในตอนแรกแม่ของฉันต้องทุกข์ทรมานกว่านี้มาก อาชีพขายผักที่คุณคิดว่าตกต่ำแล้ว สำหรับพวกเราตอนนี้มันคืออาชีพที่ทำให้พวกเรามีกินมีใช้ในชีวิตประจำวัน…” จี้เฟิงพูดเบาๆ
เมื่อนึกถึงวันที่ขมขื่นที่เขาและแม่ต้องพบเจอ ฉากที่ญาติและเพื่อนๆต่างเยาะเย้ย จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะกระพริบตาของเขาเพื่อไล่น้ำตาที่กำลังเอ่อล้นขึ้นมาให้กลับไป
“มันหนักหนาสาหัสมากจริงๆ..” สีหน้าของจี้เจิ้นผิงหมองลง
“มันผ่านไปแล้ว ช่างมันเถอะ” จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้มบางๆ
จี้เจิ้นผิงพยักหน้า เขารู้ว่าจี้เฟิงไม่อยากจะเล่าเรื่องที่ผ่านมาของพวกเขาสองแม่ลูก เขาจึงพูดต่อ “จริงๆ แล้วฉันแปลกใจมาก ที่วันนี้พ่อของเธอสามารถมาได้ ถึงแม้ว่าฉันจะบอกกับพี่สะใภ้ไปว่า เขากำลังเดินทางมาและใกล้จะถึงแล้ว แต่จริงๆ แล้วนั่นเป็นเพียงเรื่องโกหกเท่านั้น… ฉันจำเป็นต้องหลอกให้พี่สะใภ้กับเธอ กลับไปที่หยานจิงกับฉันให้ได้ แต่ฉันก็ไม่คิดว่าพ่อของเธอจะมาจริงๆ แถมยังมาเร็วกว่าที่ฉันพูดโกหกไปเสียอีก”
“ฉันก็ไม่คาดคิดเช่นกัน..” จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย
หลานชายและอา ทั้งสองคนพูดคุยกันต่อในเรื่องอื่นๆ และสิ่งที่จี้เจิ้นผิงสนใจมากที่สุดก็คือทักษะการต่อสู้ของจี้เฟิง
เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ไอ้หนู เธอไปเรียนกังฟูมาจากใคร จากที่ฉันเห็นการกระทำของเธอแทบไม่ต่างจากทหารที่ผ่านการฝึกมาอย่างเข้มงวด และฉันก็แน่ใจว่าแม้แต่ทหารของหน่วยรบพิเศษบางคนก็อาจจะมีฝีมือไม่ดีเท่ากับเธอด้วยซ้ำ”
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ถ้าคุณดูหนังแอ็คชั่นมากกๆ คุณจะค่อยๆ เรียนรู้ได้เองแบบฉัน”
“ไอ้เด็กคนนี้…” จี้เจิ้นผิงชี้ไปที่จี้เฟิงอย่างสาปแช่ง แต่เขาก็รู้ดีว่าเจ้าเด็กหัวรั้นคนนี้จะไม่ยอมบอกความจริงกับเขาแน่ เขาจึงได้แต่ยอมแพ้และไม่ถามในเรื่องนี้ต่อ
“แล้วเมื่อไหร่เธอจะเลิกเรียกฉันอย่างห่างเหินแบบนี้เสียที ฉันรู้ว่าเธอก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าฉันเป็นอาของเธอจริงๆ!”
“โอเค! ถือว่าอย่างน้อยคุณก็ยอมเล่าเรื่องต่างๆ โดยไม่ปิดบัง” จี้เฟิงกลัวว่าจี้เจิ้นผิงจะถามเกี่ยวกับฝีมือด้านการต่อสู้ของเขาอีก เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง และถามเกี่ยวกับงานของจี้เจิ้นผิง
ในตอนนี้เขารู้เพียงว่าจี้เจิ้นผิงนั้นไม่ได้เป็นแค่หัวหน้าหน่วยของกองทหารระดับกลาง
แต่ปรากฏว่าจี้เจิ้นผิงนั้นเป็นถึงผู้บังคับบัญชากองพลโดยตรงของหน่วยที่เรียกว่า เรดแอร์โร่ของกองกำลังพิเศษ
สิ่งที่จี้เฟิงไม่เข้าใจจริงๆ ก็คือ ตระกูลจี้นั้นไม่เหมือนกับคำว่า “แข็งแกร่งเล็กน้อย”และเรียบง่ายอย่างที่ปากของจี้เจิ้นผิงพูดออกมา อย่างไรก็ตามจี้เฟิงไม่ได้สนใจการเมืองในประเทศรวมถึงสถานการณ์ในปัจจุบันมากนัก ดั้งนั้นเขาจึงไม่แน่ใจในเรื่องนี้
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะว่าในเมื่อจี้เฟิงและแม่ของเขาต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันตลอดชีวิต ด้วยชีวิตที่ยากลำบากมาโดยตลอดแล้วเขาจะสนใจเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันไปเพื่ออะไร?
การสนทนาระหว่างอาและหลานชายกินเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมง และในเวลานี้ยังไม่มีการเคลื่อนไหวที่ชั้นบน นั่นจึงทำให้จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อย
“ไอ้หนุ่ม ไม่ต้องกังวลไปหรอก พวกเขาไม่ได้เจอกันนานสิบกว่าปี พวกเขามีอะไรต้องพูดคุยกันมากมาย”
จี้เจิ้นผิงยิ้มและพูดว่า “แล้วเด็กหนุ่มอย่างเธอจะทำอะไรหลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จเรียบร้อยแล้ว?”
“แน่นอน ผมก็ต้องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสิ!” จี้เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฉันรู้แล้วว่าเธอก็ต้องเรียนในมหาวิทยาลัยแต่ที่ฉันถามฉันหมายถึงว่า เธอจะไปที่มหาวิทยาลัยไหน?!” จี้เจิ้นผิงถามแล้วส่ายหัวอีกครั้ง “เธอยังไม่ต้องตอบฉันตอนนี้ก็ได้ เพราะตอนนี้คุณปู่ของเธอรู้เรื่องเธอแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขาจัดการเรื่องในอนาคตให้เธอก็แล้วกัน!”
“ไม่!!”
จี้เฟิงขมวดคิ้ว “ผมจะไม่ยอมให้ใครมาจัดการและเลือกเส้นทางชีวิตให้ ผมกับแม่อยู่ด้วยกันเพียงสองคนมาได้และมันก็จะเป็นแบบนั้นต่อไป พวกเราไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใครทั้งนั้น!”
“ความคิดเด็กๆ…” จี้เจิ้นผิงไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ถ้าไม่ใช่ว่าเจ้าหัวรั้นนี่เป็นลูกเป็นหลานและกลัวว่าพ่อและพี่ใหญ่ของเขาจะตามเอาเรื่องเขาแล้วล่ะก็ เขาคงจะสั่งสอนไอ้เด็กตัวเหม็นนี้ซักตุ้บสองตุ้บไปแล้ว
จี้เฟิงส่ายหัวอย่างแน่วแน่และกล่าวว่า “อย่างที่ผมพูดไป ผมจะเลือกทางเดินของผมเอง!”
“ยอดเยี่ยม! สมแล้วที่เป็นลูกชายของฉัน!” ทันใดนั้นเสียงที่ชัดเจนและเต็มไปด้วยพลังก็ดังขึ้น จี้เฟิงและจี้เจิ้นหัวหันหน้าไปทางเดียวกันและพวกเขาก็เห็น จี้เจิ้นหัวกำลังเดินลงมาพร้อมกับเซียวซูเหม่ยแม่ของจี้เฟิง สีหน้าของจี้เจิ้นหัวในเวลานี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ
“เฟิงเอ๋อ ไม่ต้องเป็นห่วงฉันจะไม่บังคับให้เธอทำในสิ่งที่เธอไม่ชอบ!”
จี้เฟิงมองไปที่แม่ของเขา และเห็นความเขินอายปรากฏอยู่บนใบหน้าของเธอ นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้โกรธจี้เจิ้นหัวแล้ว
เขารู้ว่าแม่ของเขานั้นคงจะยกโทษให้จี้เจิ้นหัวแล้ว ในความเป็นจริงหลังจากได้ยินสิ่งที่อาของเขาเล่ามา ภายในใจของจี้เฟิงก็ได้ยกโทษให้กับชายผู้เป็นพ่อของเขาไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าพ่อของเขาอยากจะทอดทิ้งแม่ แต่มันมีเหตุผลหลายอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ไม่ว่ายังไงสุดท้ายแล้วเลือดก็ข้นกว่าน้ำอยู่ดี!
“เฟิงเอ๋อ มัวทำอะไรอยู่ เธอไม่คิดจะเข้ามาหาพ่อของเธอหน่อยเหรอ?” จี้เจิ้นหัวมองไปที่จี้เฟิง
ในขณะนี้รัฐมนตรีที่องอาจสง่างามกำลังมองเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกชายที่ไม่เคยได้พบหน้ากันมาก่อนด้วยแววตาที่ตึงเครียดและเศร้าหมองในเวลาเดียวกัน
“เฟิงเอ๋อ นี่คือพ่อของลูก” เซียวซูเหม่ยพูดขึ้นในขณะที่ยืนอยู่ข้างๆจี้เจิ้นหัว
จี้เฟิงลังเล เขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของจี้เจิ้นหัวโดยไม่ได้พูดอะไร
“ไอ้หนู ยืนงงอะไรอยู่เล่า!” จี้เจิ้นผิงอดไม่ได้ที่จะกระซิบกับจี้เฟิง เมื่อเห็นแววตาแห่งความเศร้าในดวงตาของพี่ชาย
“ฟุ่บ!”
จี้เฟิงคุกเข่าลงกับพื้นและพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “พ่อ!”
น้ำตาสองสายหลั่งไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลของจี้เจิ้นหัว เขารีบก้าวเข้าไปคว้าตัวลูกชายของเขาไว้ “ลูกพ่อ.. จี้เฟิง ลูกชายของพ่อ!”
……จบบทที่ 93~❤️