The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 99
บทที่ 99 หลักฐาน
ในเวลานี้มีรถทหารคันหนึ่งมาจอดอยู่ที่ด้านหน้าสถานีตำรวจซีกวนและตามมาด้วยรถ Audiสีดำสองคัน
ชายในชุดเครื่องแบบทหารกระโดดลงจากรถทหาร และเดินเข้าไปในสถานีตำรวจพร้อมกับตะโกนว่า “ทุกคนที่อยู่ข้างในโปรดฟัง ที่นี่ถูกล้อมไว้หมดแล้ว ใครที่ยังมีอาวุธอยู่ในมือให้วางลงและยอมจำนนแต่โดยดี ไม่เช่นนั้นเราจำเป็นต้องใช้ความรุนแรง!”
ฉินซัวเหรินรู้สึกกลัวแต่ก็ยังคงทำใจดีสู้เสือ ทหารพวกนี้มันไปกินอะไรมาถึงได้กล้ามาโจมตีตำรวจถึงที่แบบนี้?
ฉินซัวเหรินรีบตะโกนตอบกลับไป “โปรดใจเย็นก่อนอย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่น ผมคือฉินซัวเหรินเป็นหัวหน้าทีมอาชญากรรมของสาขาซีกวนแห่งนี้ แล้วพวกคุณเป็นใคร มาจากหน่วยไหน?”
อีกฝ่ายไม่ตอบคำถาม เขาเพียงแต่ตะโกนด้วยน้ำเสียงดุดัน “ออกมาและยอมมอบตัวแต่โดยดี และให้ผู้นำสูงสุดของที่นี่เป็นคนออกมาเจรจากับพวกเรา เราจะให้เวลาพวกคุณหนึ่งนาที ย้ำหนึ่งนาที!”
เหงื่อเย็นๆผุดขึ้นเต็มใบหน้าและแผ่นหลังของฉินซัวเหริน ในเวลานี้ผู้บังคับบัญชาและผู้นำคนอื่นๆ ได้กลับบ้านกันไปหมดแล้ว ตอนนี้จึงมีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นผู้นำสูงสุดของที่นี่และเป็นเพราะเหตุผลนี้เขาจึงยกมือขึ้น ถ้าเป็นหัวหน้าของเขาอยู่ที่นี่ตอนนี้ พวกเขาจะทำอย่างไร?
“ลูกพี่มีอะไรก็ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้ อย่าเพิ่งใจร้อน” ฉินซัวเหรินได้แต่แอบกรีดร้องอยู่ในใจ เขาอยากจะยอมจำนนตั้งแต่เห็นจุดสีดำของปลายกระบอกปืนอยู่ตรงหน้าแล้ว จะบอกว่าเขาไม่กลัวก็คงจะเป็นการโกหก แต่ถ้าจะให้เขาพูดคำว่ายอมแพ้ออกไปง่ายๆ สองคำนี้อาจจะเป็นคำสุดท้ายที่เขาได้พูดในฐานะตำรวจ เพราะมันคงจะส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานของเขาอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นฉินซัวเหรินยกมือเสนอตัวว่าตอนนี้เขาเป็นผู้นำสูงสุดของที่นี่ ทหารคนนั้นก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ที่ด้านหลังของเขายังมีชายอีกสามคน นั่นคือถงไค่เต๋อ และสองพี่น้องจี้เจิ้นหัวและจี้เจิ้นผิง แม้ว่านางถงและเซียวซูเหม่ยจะกังวลเรื่องลูกชายของเธอไม่แพ้กัน แต่พวกเธอก็จำเป็นต้องนั่งรออยู่ในรถเพื่อความปลอดภัยและจนกว่าเรื่องนี้จะได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม
“คุณเป็นผู้นำสูงสุดของที่นี่หรือ?” ทหารถามฉินซัวเหรินอย่างเย็นชา
ฉินซัวเหรินพยักหน้าอย่างรีบร้อนเมื่อเขาเห็นถงไค่เต๋อ เดินตามมาจากทางด้านหลังเขาก็รู้ทันทีว่า กองกำลังทหารเหล่านี้มาจากไหนและมาเรื่องอะไร หัวใจของเขาจมดิ่งลงเรื่อยๆ ในตอนนี้เขาไม่แน่ใจว่าคนของเขามีหลักฐานการฆ่าคนของจี้เฟิงและจางเล่ยแล้วหรือยัง เพราะถ้าหากพวกเขายังไม่สามารถสร้างหลักฐานสำคัญนี้ได้เกรงว่าคราวนี้เขาต้องเจอกับปัญหาใหญ่เข้าจริงๆแล้ว
“ฉินซัวเหรินวันนี้คุณจับเด็กหนุ่มสองคนได้ที่ไหน?” ถงไค่เต๋อถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“จับคนเหรอ? เลขาถงวันนี้ผมยังไม่ได้ออกไปจับใครเลย!” ฉินซัวเหรินปฏิเสธออกไปอย่างตะกุกตะกัก เขาจะยังไม่ยอมรับอะไรทั้งสิ้นและพยายามที่จะถ่วงเวลาให้ลูกน้องของเขาให้นานที่สุด เพราะเขารู้ดีว่าหากได้หลักฐานและคำรับสารภาพการฆาตกรรมของจี้เฟิงและจางเล่ยมาได้ในวันนี้ อย่าว่าแต่เลขาธิการถงจะอยู่ที่นี่เลยแม้ว่าจะเป็นนายกเทศมนตรีและผู้ว่าการจังหวัดอยู่ที่นี่เขาก็จะไม่กลัว
“จับมัน!”
ทันทีที่ทหารคนหนึ่งพูดพร้อมโบกมือออกคำสั่ง ทหารสามคนก็พุ่งเข้าไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วเหมือนเสือที่ตะครุบเหยื่อ พวกเขาจับฉินซัวเหรินกดลงกับพื้นทันที โดยมีปากกระบอกปืนจ่ออยู่ที่ด้านหลังศีรษะของเขา
“คุณ..พวกคุณกำลังทำอะไร! ผมเป็นหัวหน้าตำรวจนะ คุณมีสิทธิอะไรมาทำกับผมแบบนี้!” ฉินซัวเหรินร้องโวยวายแต่ไม่กล้าที่จะขยับตัว ใครจะรู้ว่าทหารเหล่านี้จะยิงจริงๆหรือเปล่า..
และในขณะนั้นเองซูหม่าที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องทำงานของฉินซัวเหริน ก็ถูกทหารสองสามคนจับตัวออกมา ในขณะที่ถูกลากตัวออกมาเขาก็ตะโกนไปด้วยว่า “พวกแกเเป็นแค่ทหารระดับล่างจะมาจับฉันได้ยังไง รู้มั้ยว่าฉันเป็นลูกใคร พ่อฉันคือซูเฉาเป็นรองผู้บริหารของเขตนี้! พวกแกกล้ามากที่มาจับฉัน ถ้าพ่อฉันรู้เข้าเขาต้องไม่ปล่อยพวกแกเอาไว้แน่!”
“เสี่ยวเฉาคนนั้นน่ะเหรอ?” จี้เจิ้นผิงที่ยืนเงียบอยู่พักใหญ่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “โอเคงั้นก็โทรหาพ่อของเธอตอนนี้เลยและบอกให้เขามาที่นี่ทันที เพราะฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ารองผู้บริหารเขตเล็กๆ จะกล้าจนถึงขนาดไม่สนใจกฎหมายของประเทศหรือเปล่า?”
ทหารที่ยืนอยู่ข้างๆจี้เจิ้นผิงหยิบโทรศัพท์และยื่นมันให้กับซูหม่าทันที
ทันทีที่ซูหม่ารับโทรศัพท์ เขารีบกดเบอร์และโทรออกอย่างรีบร้อน ทันทีที่มีเสียงตอบรับจากปลายสายเขาก็ร้องตะโกนอย่างน่าสมเพช “พ่อ! ช่วยฉันด้วยมีทหารมาจากไหนไม่รู้ พวกเขาบุกเข้ามาจับฉันที่สถานีตำรวจซีกวน พวกเขาจะฆ่าฉัน…”
ก่อนที่ซูหม่าจะพูดจบ โทรศัพท์ก็ถูกคว้าไปโดยถงไค่เต๋อ “ซูเฉาหรือ? นี่ฉันเองถงไค่เต๋อ คุณเรียกตัวสมาชิกทั้งหมดในทีมมาที่สถานีตำรวจซีกวนเพื่อประชุมทันที หากใครไม่อยู่ที่นี่ภายในครึ่งชั่วโมง ให้มาที่ห้องทำงานของฉันหลังจากนั้นเพื่ออธิบายเหตุผลด้วยตนเอง!”
หลังจากพูดจบถงไค่เต๋อก็กดวางสายทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ซูเฉาได้พูดโต้ตอบ
…………
“ตุบ!” เสียงโทรศัพท์มือถือของซูเฉาหล่นลงไปที่พื้น
เขานึกไม่ถึงว่าซูหม่าจะตกอยู่ในมือของถงไค่เต๋อแล้วในตอนนี้ จากคำพูดและน้ำเสียงที่ได้ยินในโทรศัพท์ ถงไค่เต๋อดูเหมือนจะมีความมั่นใจมาก เกี่ยวกับเรื่องของซูหม่า เขาพูดราวกับว่ามีหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดว่าซูหม่าได้กระทำความผิดทางอาญา ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงไม่เพียงแต่ซูหม่าเท่านั้นที่ถึงคราวซวย แต่ความซวยมันจะมาเยือนเขาด้วยเช่นกัน!
“ไม่! ลูกชายของฉันจะต้องไม่เป็นอะไร!” ซูเฉาเดินวนไปวนมาครุ่นคิดอย่างหนัก หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กัดฟันและพูดกับตัวเองว่า “ก่อนอื่นฉันต้องไปที่นั่นให้เร็วที่สุด หลังจากนั้นค่อยให้อาเขยของฉันช่วยกดดันทางถงไค่เต๋อให้ บางทีตอนนี้ฉินซัวเหรินอาจจะได้คำสารภาพจากจี้เฟิงและจางเล่ยแล้วก็ได้ แล้วถ้าเรื่องเป็นแบบนี้ ใครกันแน่ที่จะต้องถึงคราวซวย!”
ซูเฉาที่กำลังขับรถตรงไปที่สถานีตำรวจสาขาซีกวน เขารีบหยิบโทรศัพท์และกดโทรหาอาเขยของเขาอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะโทรหาสมาชิกคนอื่นๆในทีม และบอกกับพวกเขาว่าให้รีบไปที่สถานีตำรวจซีกวนเพื่อประชุม
จากสถานการณ์ดังกล่าวในมุมมองของซูเฉา วันนี้เป็นวันที่จะตัดสินชะตาชีวิตครั้งใหญ่ของเขา เพราะเมื่อสมาชิกทุกคนในทีมไปถึงแล้ว ฉินซัวเหรินยังไม่สามารถหาหลักฐานการฆาตกรรมของจางเล่ยแจะจี้เฟิงได้ คนที่จะโชคร้ายก็คงไม่พ้นพวกพวกเขาสองคนพ่อลูก แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเขาได้หลักฐานในการยอมรับสารภาพของจางเล่ยและจี้เฟิง เมื่อถึงเวลานั้นความโชคร้ายก็จะตกเป็นของถงไค่เต๋อและเด็กสองคนนั้นอย่างแน่นอน!
…………
ในตอนนี้จี้เฟิงที่นั่งอยู่ในห้องสอบสวนห้องหนึ่งมองไปที่จางเล่ยซึ่งกำลังพักฟื้นอยู่ข้างๆเขา อาการบาดเจ็บของจางเล่ยในตอนนี้เริ่มดูดีขึ้นมาเล็กน้อย อันที่จริงแล้วอาการบาดเจ็บส่วนมากมาจากแผลภายนอกเท่านั้น จากในตอนแรกการหายใจของจางเล่ยดูลำบากมาก แต่เมื่อเขาได้นั่งพักการหายใจของเขาก็ค่อยๆดีขึ้นจนเป็นปกติ นั่นทำให้จี้เฟิงโล่งใจมาก
“เจ้าบ้าดูเหมือนข้างนอกจะมีการเคลื่อนไหวบางอย่าง” จางเล่ยกระซิบ
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ถ้าเป็นอย่างที่ฉันคิด ก็คงจะเป็นพ่อแม่ของพวกเราแหละที่มา ฮ่าๆๆ คราวนี้พวกเราจะได้เห็นอะไรสนุกๆกันล่ะ!”
“ถ้าอย่างนั้นเราออกไปข้างนอกกันเถอะ!” จางเล่ยเสนอ
จี้เฟิงส่ายหัวและพูดว่า “ฉันว่าเราอย่าเพิ่งรีบออกไปดีกว่า ตอนนี้พวกเราตกเป็นเหยื่อ เราอาจจะถูกจับอีกครั้งเอาง่ายๆ และอีกอย่างพวกมันคงไม่ปล่อยเราเดินออกไปอย่างสบายใจเฉิบหรอก!”
จางเล่ยพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ที่นายพูดฉันก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกนะ แต่ถ้าเรามัวแต่อยู่ในนี้ เราก็ไม่มีทางรู้เลยว่าไอ้ผู้กองฉิน มันจะพูดใส่ร้ายอะไรเราอีก และมันอาจจะทำให้เราไม่มีโอกาสได้โต้เถียงหรือพูดความจริง!”
“ฉันแค่อยากจะลองให้โอกาสพวกเขาได้กลับตัวกลับใจ และพูดความจริงออกมา!” จี้เฟิงยิ้มจากนั้นเขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วโชว์ให้จางเล่ยดู
“นายซื้อโทรศัพท์มือถือมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” จางเล่ยถามด้วยความแปลกใจ “ฉันจำได้ว่าตอนฉันบอกให้นายซื้อ นายก็ไม่ยอมซื้อ!”
“นี่ไม่ใช่ของฉันหรอก ฉันเอามาจากไอ้พวกนักเลงที่มีเรื่องกับเรา” จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
วันนี้เมื่อตอนที่เขาต่อสู้กับพวกนักเลงที่สถานบันเทิง จี้เฟิงรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือของคนร้ายติดมือมาด้วย แต่ก็ไม่คาดคิดว่าท้ายที่สุดมันจะมีประโยชน์เข้าจริงๆ!
“นายอย่าบอกนะว่า ในนั้นมีข้อมูลที่ใช้เป็นหลักฐานได้?” จางเล่ยหัวไวมากเขาสามารถจับประเด็นสำคัญได้ทันที
เมื่อเห็นจี้เฟิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จางเล่ยถึงกับพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “ให้ตายเหอะ! อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้ถูกกระทืบฟรี ถ้ารู้ว่าเรามีหลักฐาน พวกนั้นต้องพูดไม่ออกแน่!”
แต่จี้เฟิงกลับส่ายหัว “แต่ฉันกลัวว่าเรื่องมันจะไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ เท่าที่ฉันลองคิดดู ตำรวจอย่างผู้กองฉิน ที่เป็นแค่หัวหน้าทีมหน่วยอาชญากรรมเล็กๆ ทำไมเขาถึงกล้าที่จะจัดการกับลูกของเลขาธิการคณะกรรมการพรรค?!”
“หรือว่า… มีคนอยู่เบื้องหลัง?” คิ้วของจางเล่ยขมวดแน่น “หรือฉินซัวเหรินจะเป็นคนของรองผู้บริหารซูเฉา? เพราะฉะนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังก็คือซูเฉาน่ะสิ?”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย “เป็นเรื่องจริงหรือไม่เราก็คงทำได้แค่เดาไปก่อน แต่ในตอนนี้เราแค่ต้องคอยสังเกตการกระทำของพวกเขาให้ดีๆ”
อันที่จริงในใจของจี้เฟิงเอง เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้จะเกี่ยวข้องกับซูเฉาหรือไม่ แต่มันก็แทบจะไม่มีความเป็นไปได้อื่นๆ และจากที่ฟังคำพูดของฉินซัวเหริน จี้เฟิงแน่ใจว่ามีคนอยู่เบื้องหลังและต้องการให้เขาตาย ภายในเขตหมางซือนี้คนที่มีปัญหากับเขาก็มีเพียงคนเดียวนั่นก็คือซูหม่า!
“ปัง!” เสียงประตูของห้องสอบสวนที่จางเล่ยและจี้เฟิงอยู่ถูกเปิดออก
จากนั้นมีทหารสองคนพุ่งตรงเข้ามาภายในห้อง พวกเขาถึงกับผงะเมื่อเห็นสิ่งที่กองอยู่บนพื้น จากนั้นคนที่เดินตามเข้ามาคือจี้เจิ้นผิง เมื่อเขาเห็นสภาพภายในห้องสอบสวนเขาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นเขามองไปที่จี้เฟิงและจางเล่ยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยรอยยิ้ม มันทำให้เขาถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“โชคดีที่เธอไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นฉันจะทำลายที่นี่ทิ้งซะ!” จี้เจิ้นผิงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นหลังจากที่เดินเข้าไปอย่างรวดเร็วและดึงตัวจี้เฟิงขึ้นมาสำรวจจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ
จี้เฟิงยิ้ม “อาสามอาพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก ในฐานะทหารอาจะทำลายสถานีตำรวจทิ้งได้อย่างไร ที่นี่แค่สกปรกนิดหน่อย อาสามของผมแค่จัดการทำความสะอาดเอาหนอนแมลงในคราบตำรวจออกสักหน่อยก็น่าจะพอแล้วครับ!”
“เจ้าเด็กคนนี้มีอารมณ์มาพูดล้อเล่นกับอาได้แบบนี้ แสดงว่าไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเลยสินะอืม.. ดีๆๆ!!” จี้เจิ้นผิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจในฐานะทหาร เมื่อเห็นหลายชายยังคงมีจิตใจที่เข้มแข็งแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด มันยิ่งทำให้เขาพออกพอใจและภาคภูมิใจในตัวหลานชาย
“ไปออกไปกับอา!” จี้เจิ้นผิงพูด
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย “อาสามตอนนี้ผมยังออกไปกับอาไม่ได้ พวกเราอยู่ที่นี่ก่อนน่าจะดีกว่า อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ต้องได้รับแก้ไขอย่างถูกต้อง ผมจะนั่งอยู่ที่นี่ หากใครก็ตามที่ต้องการจะจับผม ก็ปล่อยเขาไปผมจะทำให้เขาประหลาดใจสักหน่อย!”
จี้เจิ้นผิงมองหลายชายอย่างเข้าใจเขาจึงพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าต้องการแบบนั้น หลานก็อยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วเด็กคนนี้ล่ะ?”
เขาชี้ไปที่จางเล่ย “เธอมีแผลเต็มหน้าไปหมดจะไปโรงพยาบาลก่อนมั้ย?”
“แผลแค่นี้เองสบายมากครับอา!” จางเล่ยพูดพร้อมกับเอานิ้วชี้ไปที่บาดแผลบนใบหน้าเขามันทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยิ้มกลบเกลื่อนและพูดว่า “ผมว่าผมอยู่ที่นี่กับจี้เฟิงดีกว่าครับ เพื่อเขามีอะไรผมจะได้ช่วยเหลือทัน!”
“โอเคตามใจพวกเธอก็แล้วกัน!”
เมื่อจี้เจิ้นผิงเห็นเด็กชายทั้งสองยืนกรานที่จะอยู่ต่อ เขาจึงไม่พูดอะไรอีก เขาหันไปพูดกับทหารข้างๆว่า “พวกนายกลับไปที่ห้องเอกสารรวมถึงห้องอื่นๆและรวบรวมข้อมูลสำคัญทั้งหมดมาให้ได้!”
……จบบทที่ 99~❤️