The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 130 ฉินซูเจี๋ย~
ในตอนนี้จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาสามีของหญิงสาวที่สวยงามคนนี้ต้องทำบุญมามากขนาดไหนในชาติก่อน ชาตินี้ถึงจะได้มีภรรยาแบบนี้!
“ช่างมันเถอะคุณก็ตกเป็นเหยื่อในเรื่องนี้เช่นกัน” จี้เฟิงโบกมือและแอบถอนหายใจ เมื่อคิดได้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเขานั้นเป็นภรรยาของคนอื่นไปแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้สูญเสียอะไรบางอย่าง
เขาอดไม่ได้ที่จะโมโหตัวเองทำไมถึงกลายเป็นคนไร้ยางอายได้ขนาดนี้ นิสัยแบบนี้เหมือนจะแย่ลงเรื่อยๆ
“หรือจริงๆแล้วฉันไม่ใช่คนดีบางทีอาจเป็นเพราะโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยดี เลยไม่ได้ปลดปล่อยความเป็นตัวของตัวเอง แล้วพอมาถึงที่นี่ ได้ใช้ชีวิตคนเดียวอย่างอิสระ ฉันก็เลยได้เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น?” จี้เฟิงพึมพำอยู่ในใจ และเมื่อนึกถึงถงเล่ยที่ตอนนี้กำลังฝึกทหารอยู่ในค่ายทหาร จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ และเมื่อมองดูสาวสวยตรงหน้าของเขาอีกครั้งความคิดที่ซับซ้อนเหล่านั้นในใจของจี้เฟิงก็ถูกโยนทิ้งไป มีแค่เพียงความชื่นชมอย่างบริสุทธิ์ใจ
“อืมถ้าฉันโทรแจ้งตำรวจ คุณช่วยไปเป็นพยานให้ฉันหน่อยได้มั้ย” สาวสวยถามขึ้นทันที
จี้เฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแต่เขาก็พยักหน้าตกลง เขารู้สึกชื่นชมผู้หญิงคนนี้อยู่ในใจไม่น้อย เธอไม่ใช่คนอ่อนแอ เขาเคยได้ยินมาก่อนว่ามีผู้หญิงหลายคนกลัวที่จะโทรแจ้งตำรวจหลังจากถูกลวนลามไม่ว่าจะเป็นเพราะเธอกลัวความอับอายหรือกลัวการแก้แค้นก็ตาม พวกเธอจึงไม่ได้เอาผิดอาชญากรเหล่านั้น
แต่เห็นได้ชัดว่าสาวสวยที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้หญิงเหล่านั้น
อย่างไรก็ตามเหมือนหญิงสาวจะหยุดคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเธอก็ส่ายหัวและพูดเสียงเบา “ลืมไปเลย ฉันต้องไปรับลูกสาวที่โรงเรียน คงเสียเวลากับไอ้โรคจิตนี่ไม่ได้แล้ว!”
จี้เฟิงไม่ได้พูดอะไรเขาเพียงแค่พยักหน้า ในเมื่อผู้เสียหายไม่คิดที่จะโทรแจ้งตำรวจ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากพูดอะไรมาก
“ครั้งนี้ถือว่าแกโชคดี!”หญิงสาวจ้องมองชายร่างใหญ่ที่ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆอย่างโกรธเคือง
โชคดี
จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้มเขาไม่คิดอย่างนั้น ในตอนที่ชายร่างใหญ่ต้องการจะถอนมือออกมา จี้เฟิงได้ใช้นิ้วจี้จุดตรงซี่โครงของชายร่างใหญ่อย่างแม่นยำซึ่งมันจะทำให้ครึ่งหนึ่งของร่างกายเขาเป็นอัมพาตได้ และด้วยความแข็งแกร่งของจี้เฟิงเกรงว่าชายร่างใหญ่คนนี้คงจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งเดือนอยู่บนเตียง และต่อให้เขาจะไปโรงพยาบาลมันก็ไม่มีประโยชน์
เพราะนี่คือเทคนิคการต่อสู้ของกาแลคซี่แกมมาและแน่นอนว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาได้จนกว่ามันจะหายไปเอง
“ฉันชื่อฉินซูเจี๋ยยังไงซะฉันก็ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ แล้วก็เรื่องที่เข้าใจคุณผิดด้วยฉันรู้สึกละอายมาก” หญิงสาวทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้แล้วรีบหยิบนามบัตรออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้จี้เฟิง
“ผมชื่อจี้เฟิง!”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและก้มลงมองไปที่นามบัตรมันเขียนไว้ว่า
‘ซูเหยาจิวเวอรี่Co., Ltd. ผู้จัดการทั่วไป/CEO ฉินซูเจี๋ย’
เมื่อเห็นรายละเอียดบนนามบัตรจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ ซีอีโอของบริษัทอัญมณี เขาไม่รู้จะพูดยังไงดี สาวสวยคนนี้เป็นถึงเจ้าของบริษัทจิวเวลรี่!
จี้เฟิงได้แต่ยืนอึ้งเธอคนนี้อายุยังน้อยแต่เธอเป็นถึงเจ้าของบริษัทจิวเวลรี่! มันเป็นไปได้ว่าครอบครัวของเธอต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
แม้ว่าจี้เฟิงจะรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยกับตัวตนของฉินซูเจี๋ยแต่เขาก็ไม่ได้เผยสีหน้าออกมาให้เห็น เขาเพียงแค่ยิ้มและพูดว่า “คุณฉินสุดยอดจริงๆ มีบริษัทเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้”
ฉินซูเจี๋ยยิ้มเล็กน้อย“ไม่ขนาดนั้นหรอก ฉันแค่โชคดี”
เนื่องจากทั้งสองคนเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกดังนั้นหลังจากคุยกันพอเป็นมารยาทเพียงไม่กี่คำฉินซูเจี๋ยก็หันหน้ากลับไปตามเดิม
ส่วนจี้เฟิงเมื่อการพูดคุยด้วยประโยคสั้นๆของพวกเขาจบลงเขาก็กลับไปยืนพิงประตูแล้วหลับตาลงเพื่อพักผ่อนอีกครั้ง แม้ว่าการหลับพักผ่อนด้วยท่ายืนจะเป็นเรื่องที่แปลก แต่จี้เฟิงหลับไปจริงๆ
ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าจี้เฟิงได้ผ่านการฝึกจากระบบฝึกอบรมสายลับระดับสูงวิธีการนอนหลับพักผ่อนก็เป็นหนึ่งในหลักสูตรเช่นเดียวกัน สำหรับผู้ที่เป็นสายลับ การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะมีพลังงานเพียงพอสำหรับเตรียมพร้อมในทุกๆสถานการณ์ ดังนั้นหากคุณต้องการเป็นสายลับที่ดีคุณต้องเรียนรู้ที่จะหลับอย่างปลอดภัยไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน และมันก็ต้องเป็นการนอนหลับที่สนิทด้วย
คุณรู้หรือไม่ว่าการนอนหลับที่สนิทเพียงหนึ่งนาทีนั้นมีค่าเท่ากับนอนหลับที่ยังคงมีจิตใต้สำนึกในเวลาหนึ่งชั่วโมงจี้เฟิงได้เรียนรู้เรื่องนี้จากหนึ่งในผู้ฝึกสอนของระบบฝึกอบรมดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องรักษาพลังงานให้เพียงพอตลอดเวลาจนกลายเป็นนิสัย
แน่นอนว่าแม้ในระหว่างการนอนหลับที่สมองได้รับการพักผ่อนแต่ร่างกายของจี้เฟิงยังคงสามารถรับรู้และตื่นตัวอยู่เสมอสิ่งนี้ได้ถูกปลูกฝังจนกลายเป็นความเคยชินที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขาไปแล้วซึ่งถือได้ว่ามันเป็นสัญชาตญาณ
รถประจำทางที่เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆและยังคงส่งเสียงดังอยู่ตลอดแต่จี้เฟิงก็สามารถหลับได้อย่างสงบ
อย่างไรก็ตามชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างๆจี้เฟิงในเวลานี้อยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเขาอยู่ในอาการหวาดกลัว
เป็นเพราะจี้เฟิงได้จี้จุดของชายคนนี้ไปที่ซี่โครงเพื่อทำให้ร่างกายของเขาเป็นอัมพาตไปครึ่งหนึ่งแต่ในเวลานี้ไม่เพียงแต่ร่างกายครึ่งหนึ่งของเขาจะเป็นอัมพาต แต่เขายังคงค่อยๆหมดสติไปด้วยราวกับว่าเขามีสติรับรู้เพียงครึ่งเดียว
ด้วยสภาพเช่นนี้จึงทำให้ชายร่างใหญ่ไม่สามารถทำได้แม้แต่จะขยับปากของเขาเพื่อพูดเพราะเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะใช้ร่างกายอีกครึ่งหนึ่งคอยพยุงอีกครึ่งที่เป็นอัมพาตไว้ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะล้มลงไปกับพื้นได้ทุกเมื่อ
ความกลัวค่อยๆทวีความรุนแรงมากขึ้นในจิตใจของเขาเขาไม่เข้าใจว่าทำไมร่างกายของเขาถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา
แต่ไม่ว่าเขาจะกังวลและหวาดกลัวแค่ไหนชายร่างใหญ่ผู้นี้ก็ไม่มีทางรู้ว่าที่เขากลายเป็นแบบนี้เพราะฝีมือของจี้เฟิง แต่ถ้าเขารู้ว่าชายหนุ่มที่ดูหล่อเหลาและอ่อนโยนที่ยืนอยู่ข้างๆเขาคนนี้เป็นผู้ร้ายตัวจริง เขาก็คงไม่คิดที่จะใส่ร้ายจี้เฟิงตั้งแต่แรก
หลังจากหลับไปสักพักคิ้วของจี้เฟิงก็ขมวดขึ้น ปรากฏว่าผู้ชายร่างใหญ่ที่น่ารังเกียจข้างๆเขาที่ตอนนี้มีอาการชาไปครึ่งซีก ทำให้เขาไม่สามารถปิดปากของเขาได้มันจึงทำให้น้ำลายค่อยๆไหลจากมุมปากลงมาจนทำให้เสื้อตรงหน้าอกของเขาเปียกไปหมดและอากาศโดยรอบก็เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของน้ำลาย
“ไม่ไหวจริงๆฉันจะช่วยแกสักครั้งแล้วกัน!”
จี้เฟิงบ่นอุบอยู่ในใจและยังคงทำเหมือนหลับอยู่พร้อมกับขยับนิ้วของเขาไปจี้จุดที่ร่างกายของชายร่างใหญ่
“อ๊ะ!”
ครู่ต่อมาชายร่างใหญ่ก็ร้องขึ้น
เขาลองขยับร่างกายสองสามทีและรีบเช็ดน้ำลายที่มุมปากจากนั้นเขาก็ตะโกนด่าเสียงดัง“ไอ้เชี่ยเอ๊ย อย่าให้รู้นะว่าเป็นฝีมือไอ้เลวระยำตัวไหน!”
บรรยากาศในรถประจำทางเงียบไปชั่วขณะทุกคนมองไปที่ชายร่างใหญ่รวมถึงจี้เฟิงก็มองเขาอย่างงงๆ
เมื่อชายร่างใหญ่เห็นทุกคนจ้องเขาเป็นตาเดียวเขาก็อดไม่ได้ที่จะโวยวาย“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนหน้าตาดีรึไง!” ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่มีรูปร่างใหญ่กำยำและใบหน้าของเขาก็ดุดันอยู่แล้ว และด้วยความโกรธของเขาในตอนนี้มันจึงยิ่งทำให้เขาดูน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิม
คนที่โดยสารขนส่งสาธารณะส่วนใหญ่ก็เป็นประชาชนคนธรรมดาจึงไม่มีใครอยากจะหาเหาใส่หัวอยู่แล้ว ถึงแม้พวกเขาจะแอบด่าผู้ชายร่างใหญ่คนนี้อยู่ในใจ แต่ก็ไม่มีใครทำอะไร พวกเขาทำเพียงแค่หันหน้าไปทางอื่นและทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จี้เฟิงได้แต่แอบหัวเราะอยู่ในใจ“หึหึ ดูเหมือนว่าไอ้โรคจิตนี่ยังคงไม่สำนึก ฉันคงปล่อยมันไปไม่ได้จริงๆ!”
ร่างกายของผู้ชายร่างใหญ่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ร่างกายครึ่งหนึ่งของเขาที่ก่อนหน้านี้มีอาการชาเป็นอัมพาตมันทำให้เขารู้สึกขัดๆ เขาจึงขยับไปมาไม่หยุด จนทำให้เขาดูเหมือนมดที่อยู่ในกระทะร้อนๆ และจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะ
เพราะรถประจำทางในเวลานี้เต็มเกินพิกัดคนขับรถก็เลยเปิดประตูหลังสองสามป้ายที่ผ่านมา และให้ผู้โดยสารบางส่วนทยอยลงจากรถ จนกระทั่งครึ่งชั่วโมงต่อมา ประตูหน้าก็ได้ถูกเปิดออก
ชายร่างใหญ่บ่นอุบอิบและลงรถจากทางประตูหน้าไป
ทันใดนั้นรอยยิ้มที่น่ากลัวก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจี้เฟิงเขาจับที่ร่างกายของเขาและในที่สุดก็พบนามบัตรที่ฉินซูเจี๋ยเพิ่งมอบให้เขาในกระเป๋าเสื้อ
หลังจากที่หันไปมองฉินซูเจี๋ยแล้วก็พบว่าเธอได้ใช้ประโยชน์จากการที่คนข้างหลังน้อยลงเดินไปที่ด้านหลังของรถประจำทางแล้วจี้เฟิงก็ฉีกนามบัตรของเธอออกเป็นสองส่วนอย่างรวดเร็ว แต่เหลือในส่วนที่มีหมายเลขโทรศัพท์ไว้ และอีกครึ่งหนึ่งได้ถูกจี้เฟิงขยำจนเป็นก้อนกลมเล็กๆอย่างรวดเร็ว และจู่ๆเขาก็ยิงก้อนกระดาษที่กลายเป็นลูกบอลเล็กๆนั้นไปที่ชายร่างใหญ่ที่เพิ่งลงจากรถไป
“ปึง!”
ในขณะที่เสียงของประตูรถประจำทางปิดลงลูกบอลกระดาษก็พุ่งออกไปจากรถ
จี้เฟิงมองผ่านกระจกหน้าต่างและเห็นว่าชายร่างใหญ่ที่เพิ่งลงจากรถไปและกำลังจะก้าวขาไปที่ป้ายหยุดรถประจำทางเขาได้ถูกแช่แข็งพร้อมกับแสดงสีหน้าหวาดกลัวอย่างสุดขีด
“หึหึ!”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำร้ายคนอื่น แต่มันเป็นครั้งแรกที่เขาทำมันด้วยความเต็มใจและรู้สึกดีอย่างที่สุด
สำหรับผู้ชายที่น่ารังเกียจคนนี้ทำให้จี้เฟิงไม่มีความสงสารและเห็นใจใดๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายไม่เพียงแต่ทำร้ายผู้หญิงด้วยความโรคจิตในรถเท่านั้น แต่ยังเป็นคนหยาบคายก่นด่าผู้อื่นและไม่รู้สำนึกในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปแม้แต่น้อยมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรได้รับการอภัยเป็นอย่างยิ่ง
จี้เฟิงเชื่อว่าแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชายร่างใหญ่ได้นอนอยู่บนเตียงอย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า20 วัน และการไปโรงพยาบาลก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะครั้งนี้ต่างจากในครั้งแรกที่จี้เฟิงได้จี้จุดฝังเข็มระหว่างซี่โครงของชายคนนั้น แต่ครั้งนี้เขาใช้วิธีการตัดเส้นเลือดเพื่อตัดเส้นลมปราณบริเวณลำตัวของผู้ชายคนร่างใหญ่ ซึ่งมันมีพลังทำลายล้างมากกว่าจุดฝังเข็ม.Aileen-novel.
และถึงแม้ว่าจี้เฟิงจะไม่อยากลงมือด้วยวิธีที่โหดร้ายมากนักแต่หลังจากที่ชายร่างใหญ่ได้รับการช่วยเหลือเพราะจี้เฟิงไม่อยากจะทนกับกลิ่นเหม็นเมื่อตอนอยู่ในรถ ชายร่างใหญ่กลับทำตัวหยิ่งผยองไร้สามัญสำนึก ซึ่งทำให้จี้เฟิงรู้สึกขยะแขยงเป็นที่สุดมันจึงทำให้เขาจำเป็นต้องโหดร้ายขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามในขณะที่จี้เฟิงกำลังนั่งคิดพิจารณาว่าเขาลงมือได้เหมาะกับบทลงโทษที่ชายร่างใหญ่คนนั้นสมควรจะได้รับหรือไม่ก็มีดวงตาคู่สวยกำลังจ้องมองมาทางเขาจากทางด้านหลังของรถประจำทางซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นแววตาที่โกรธเคืองอย่างไม่ปิดบัง
เจ้าของดวงตาคู่สวยที่จ้องมานั้นไม่ใช่ใครแต่เธอคือฉินซูเจี๋ย หญิงสาวที่เคยเข้าใจจี้เฟิงผิดมาก่อนหน้านี้
เธอจ้องไปที่มือของจี้เฟิงอย่างไม่ละสายตาในมือของเขาถือนามบัตรที่ขาดครึ่งและแม้ว่ามันจะมีเพียงแค่ครึ่งเดียวมันก็มากเกินพอที่ฉินซูเจี๋ยจะรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่านามบัตรที่เหลือครึ่งเดียวใบนี้นั้นมันเป็นของเธออย่างแน่นอน!
ความโกรธที่ไม่สามารถควบคุมได้พุ่งขึ้นในใจของเธออย่างรวดเร็วเขาฉีกนามบัตรของฉันงั้นเหรอ
ในฐานะที่เป็นถึงเจ้าของบริษัทจิวเวลรี่โดยที่ยังไม่ต้องพูดถึงภูมิหลังและรูปร่างหน้าตาความสามารถที่แทบจะเพอร์เฟกต์ของเธอ มันก็มากเกินพอที่ไม่ว่าจะติดต่อกับใครหรือไปที่ไหนก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะฉีกนามบัตรของเธอแบบนี้
แต่ตอนนี้ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นแค่นักเรียนนักศึกษากลับมาฉีกนามบัตรของเธอ!
ยิ่งฉินซูเจี๋ยคิดถึงเรื่องนี้เธอก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นเธออดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะเรื่องที่เธอเข้าใจเขาผิดและลงมือตีเขาในตอนนั้นหรือเปล่า ถึงทำให้เขาโกรธแค้นจนต้องฉีกนามบัตรของเธอ
ฉินซูเจี๋ยส่ายหัวและพยายามเลิกคิดฟุ้งซ่านเธอกลับมามีใบหน้าเปื้อนยิ้มอีกครั้ง ทำไมเธอจะต้องให้ความสำคัญกับแค่นักเรียนคนเดียว เธอกับเขาเหมือนอยู่กันคนละวงสังคมอยู่แล้ว “ฉันจะต้องรู้จักที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีกว่านี้…”
ฉินซูเจี๋ยพยายามเตือนสติตัวเองแต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังจี้เฟิงอีกครั้ง เธอไม่คิดว่าเขาจะทำให้เธอรู้สึกค้างคาใจได้ขนาดนี้ แต่สายตาของเธอก็เปลี่ยนไปเธอพยายามมองให้เหมือนกับทุกๆครั้งที่เธอมองคนแปลกหน้า ไม่ต่างจากเวลาที่เธอเดินผ่านผู้คนบนท้องถนน สายตาเธอมองกวาดไปอย่างไร้จุดหมายถึงแม้บางครั้งจะมีคนคนหนึ่งที่แวบผ่านเข้ามาในสายตาแต่สุดท้ายเขาก็จะผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ได้เกิดความประทับใจแม้แต่น้อย
ในเมื่อตอนนี้จี้เฟิงได้กลายเป็นคนแบบนั้นในสายตาของฉินซูเจี๋ยและด้วยเหตุผลที่จี้เฟิงได้ฉีกนามบัตรของเธอทิ้ง เธอจึงคิดว่าทั้งเขาและเธอคงจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกอย่างแน่นอน
ในใจของฉินซูเจี๋ยจี้เฟิงได้ถูกแยกให้ไปอยู่ในกลุ่มคนที่เรียกว่าเป็น ‘คนแปลกหน้า’ ไปเรียบร้อยแล้ว และมันจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
ฉินซูเจี๋ยส่ายหัวเล็กน้อยในขณะที่เธอกำลังจะถอนสายตาออกจากจี้เฟิงและกำลังจะมองออกไปทางหน้าต่างรถ แต่ทันใดนั้นเธอก็เห็นว่าจี้เฟิงที่ยืนอยู่ตรงประตูรถก้มลงไปหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าเดินทางของเขา จากนั้นเขาก็ใส่นามบัตรที่เหลือครึ่งหนึ่งลงไปในกระเป๋าสตางค์อย่างตั้งใจ หลังจากใส่เข้าไปแล้วจี้เฟิงก็บรรจงพับกระเป๋าสตางค์ของเขาอย่างเรียบร้อยก่อนที่จะใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าเดินทางของเขา
ฉินซูเจี๋ยตกตะลึงไปชั่วขณะเธอไม่เข้าใจจริงๆว่าหนุ่มน้อยคนนี้ที่เพิ่งจะฉีกนามบัตรของเธออย่างไม่ใยดีทำไมถึงได้เก็บอีกครึ่งหนึ่งด้วยสีหน้าที่จริงจังและทะนุถนอมมันขนาดนั้น
ฉินซูเจี๋ยมั่นใจว่าจี้เฟิงไม่ได้รู้ตัวว่าเขาได้ถูกสายตาของเธอจับจ้องอยู่ตั้งแต่ตอนที่เขาฉีกนามบัตรของเธอจนถึงตอนที่เขาโยนมันทิ้งนั่นหมายความว่าเขาก็ต้องไม่มีทางรู้แน่นอนว่าเธอนั้นมองอยู่อย่างไม่ค่อยพอใจนัก แต่แล้วทำไมเขาถึงได้มีท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
ในฐานะเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่งฉินซูเจี๋ยคาดเดาโดยสัญชาตญาณทันทีว่ามีความเป็นไปได้เพียงสองทางเท่านั้นสำหรับเรื่องนี้ ประการแรกคือหนุ่มน้อยคนนี้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เขาเกลียดเธอจากเรื่องเข้าใจผิดก่อนหน้านี้จึงฉีกนามบัตรทิ้ง แต่หลังจากที่คิดพิจารณาแล้วเห็นว่าอาจจะเกิดประโยชน์กับตัวเองในภายหลังจึงได้ทำการเก็บนามบัตรส่วนที่เหลือไว้
ส่วนความเป็นไปได้อย่างที่สองก็คือจี้เฟิงฉีกนามบัตรของเธอจริงแต่ไม่ใช่เพราะเขาเกลียดเธอแต่เป็นเพราะเหตุผลอื่น
จากการคาดเดาในความน่าจะเป็นทั้งสองแบบนี้ฉินซูเจี๋ยคิดว่าอย่างหลังน่าจะมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า แค่สังเกตจากการกระทำของจี้เฟิงที่ฉีกนามบัตรของเธอทิ้ง เธอก็สามารถวิเคราะห์ได้ในทันที มันเป็นความสามารถและประสบการณ์ของคนที่เป็นถึงเจ้าของบริษัทจิวเวลรี่ ฉินซูเจี๋ยมีสายตาเฉียบขาดในระดับหนึ่งที่จะมองผู้คนจากการกระทำของเขา และจากการกระทำของจี้เฟิงก่อนหน้านี้ เธอก็พอจะเดาได้ว่าจี้เฟิงไม่ใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยแบบนั้น
“หนุ่มน้อยคนนี้เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ!”ฉินซูเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้ม และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามที่จี้เฟิงนั้นฉีกนามบัตรของเธอทิ้งแต่สุดท้ายเขาก็เก็บนามบัตรของเธอด้วยสีหน้าที่จริงจัง ฉินซูเจี๋ยจึงตัดสินใจที่จะไม่โกรธเคืองเขา
โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงความเข้าใจผิดครั้งก่อนแล้วฉินซูเจี๋ยจึงคิดว่าถ้าในอนาคตเธอมีโอกาสที่จะช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนนี้ได้เธอก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ
และแน่นอนว่าในตอนนี้จี้เฟิงไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเกิดความคิดมากมายในใจของฉินซูเจี๋ยเพียงเพราะการกระทำบางอย่างของเขา แต่ถึงแม้เขาจะรู้ อย่างมากเขาก็จะทำแค่ส่ายหัวและยิ้มรับ เพราะเขาไม่คิดว่าจะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าของบริษัทจิวเวลรี่แห่งนี้อีกในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้นสาเหตุที่จี้เฟิงต้องฉีกนามบัตรของฉินซูเจี๋ยก็เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับเธอเนื่องจากในเวลานั้นไม่มีอะไรในตัวเขาที่เหมาะสมมากไปกว่านามบัตรของเธอแล้ว เพราะจะให้เขาโยนกุญแจห้องหรือกระเป๋าสตางค์ของเขาออกไปก็คงจะไม่ใช่