The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 136 ทำความรู้จัก
ในขณะที่จี้เฟิงยืนรออยู่ที่จัตุรัสเขาก็ได้ยินพี่เขยของฮูซู่ฮุ่ยคุยโม้โอ้อวดอย่างภาคภูมิใจ จี้เฟิงไม่รู้ว่าจะโมโหหรือจะหัวเราะดี
สิ่งที่น่าขำเกี่ยวกับพี่เขยของฮูซู่ฮุ่ยก็คือเขานั้นถือได้ว่าเป็นนักธุรกิจคนหนึ่งแต่เขากลับกล้าพูดโอ้อวดตัวเองท่ามกลางฝูงชนโดยไม่อายและไม่ได้ศึกษาข้อมูลมาเลยงั้นหรือ เพราะผู้คนที่มาในวันนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมอัญมณีแทบทั้งสิ้น และถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านี้จะไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีเปิด แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ถือได้ว่าบุคคลที่มีหน้ามีตาในสังคมอยู่ระดับหนึ่ง
แล้วพี่เขยของฮูซู่ฮุ่ยซึ่งไม่ได้ถูกรับเชิญให้เข้าร่วมพิธีเปิดเช่นกันมันจึงแสดงให้เห็นว่าเขานั้นยังไม่ได้มีความสำคัญมากพอแต่เขากลับอวดตัวเองว่าเป็นคนสำคัญคนหนึ่งของนิทรรศการครั้งนี้ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะถูกคนอื่นโดยรอบแอบหัวเราะเยาะ และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ถ้าเขาถูกคนอื่นที่อยู่ในแวดวงเดียวกันดูถูกดูแคลนมันจะต้องส่งผลกระทบอย่างมากต่อสายงานของเขาในอนาคต
นี่มันเหมือนคนที่เพิ่งเคยรวยเศรษฐีใหม่ที่กลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าตัวเองร่ำรวย.. จี้เฟิงยิ้มอย่างเยาะเย้ย
ในขณะเดียวกันจี้เฟิงก็ได้รู้แล้วว่าฮูซู่ฮุ่ยนั้นมาที่เจียงโจวจริงๆแต่ตอนนี้มหาวิทยาลัยในเจียงโจวอยู่ในช่วงของการฝึกทหาร ถึงแม้ตัวเขาเองจะไม่ได้ฝึกอยู่เช่นกันแต่เขาก็มีเหตุผลที่สำคัญ แต่ทำไมฮูซู่ฮุ่ยถึงไม่ได้เข้าร่วมการฝึกทหาร พูดกันตามหลัก เธอไม่ควรที่จะมาอยู่ที่นี่เวลานี้!
แสดงว่าฮูซู่ฮุ่ยน่าจะใช้สิทธิพิเศษอะไรบางอย่างเช่นกันเธอถึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปรับการฝึกทหารในตอนนี้
เนื่องจากพี่เขยของฮูซู่ฮุ่ยยืนอยู่ไม่ไกลจี้เฟิงจึงต้องจำทนฟังเขาพูดจาโอ้อวดต่อไป เขาทำได้แค่เพียงยิ้มอย่างขมขื่นและอดทนต่อความทรมานที่หูของเขา
โชคดีที่พี่เขยของฮูซู่ฮุ่ยโม้อยู่ได้ไม่นานนักพิธีการเปิดก็สิ้นสุดลง ในเวลานี้ผู้คนที่ยืนอยู่ที่จัตุรัสก็เริ่มทยอยเดินเข้าไปในห้องโถงที่จัดงานนิทรรศการและจี้เฟิงก็เดินเข้าไปพร้อมกับฝูงชนเหล่านั้น
แต่เมื่อเดินเข้าไปได้เพียงเล็กน้อยเขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติคนที่อยู่ข้างหน้าต่างมีกระดาษใบเล็กๆบางอย่างถืออยู่ในมือ ซึ่งน่าจะเป็นตั๋วหรือบัตรเชิญเพื่อเข้างานนิทรรศการ
เมื่อจี้เฟิงเดินไปข้างหน้าอีกเล็กน้อยเขาก็เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่สองสามคนที่เป็นผู้เก็บตั๋วก่อนที่จะปล่อยให้ผู้คนเหล่านี้เดินเข้าไปในงาน
จี้เฟิงหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่ดี
“ลำบากแล้ว..”จี้เฟิงได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น เขาจนปัญญาจริงๆแล้วคราวนี้ เขาไม่รู้มาก่อนว่าจะต้องมีบัตรเชิญหรือตั๋วเพื่อที่จะเข้างานนิทรรศการ แล้วเขาก็ไม่ได้มีคนรู้จักหรือใครก็ตามแต่ที่พอจะช่วยพูดให้กับเขาได้ในตอนนี้
เมื่อเรื่องเป็นแบบนี้จี้เฟิงจึงตัดสินใจที่จะเดินกลับแล้วค่อยมาใหม่ในวันพรุ่งนี้หลังจากที่ได้ซื้อตั๋วแล้ว แต่ในขณะที่เขาหันหลังและกำลังจะเดินกลับ สายตาของเขาก็พลันไปเห็นฮูซู่ฮุ่ยยืนอยู่ข้างหลังกับพี่เขยและพี่สาวของเธอ
คิ้วของจี้เฟิงขมวดขึ้นทันทีหากเขาเดินย้อนกลับในขณะที่ทุกคนต่างต่อแถวยาวเพื่อที่จะเข้างาน ไม่ว่ายังไงเขาจะต้องกลายเป็นจุดสนใจของผู้อื่นอย่างแน่นอน และคงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าสามคนนั้นจะเห็นเขา
จี้เฟิงได้แต่กัดฟันและตอนนี้แถวของเขาก็ใกล้จะถึงประตูห้องโถงมากขึ้นทุกที จี้เฟิงยังนึกไม่ออกว่าจะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไรดี
ในขณะที่เขายังลังเลอยู่นั้นจู่ๆจี้เฟิงก็เห็นว่ามีฝูงชนจำนวนมากกำลังเดินออกมาจากห้องโถงที่จัดงานนิทรรศการอยู่ที่ทางออกข้างๆ เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าในตอนที่พิธีเปิดสิ้นสุดลงบุคลากรที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่กำลังจะเดินทางกลับ หากเขาแทรกตัวเดินปะปนไปกับฝูงชนที่ออกจากห้องโถงคงจะไม่เป็นที่สังเกต
จี้เฟิงพยายามเบียดแทรกไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วและเมื่อใกล้ถึงประตูเขาก็หันกลับมาและกำลังจะเดินออกไปกับกลุ่มที่ออกจากห้องโถง
แต่ในขณะนั้นเองเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วก็เห็นจี้เฟิงเข้าพอดีเขาจึงพูดขึ้นทันทีว่า “สุภาพบุรุษท่านนั้นโปรดแสดงบัตรเชิญของคุณด้วยครับ!”
จี้เฟิงตกใจเขารีบส่ายหัวและยิ้มเล็กน้อย“เอ่อ..พอดีผมมาหาเพื่อนที่นี่ ไม่ได้จะมาเข้าร่วมนิทรรศการน่ะครับ!”
เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วพยักหน้าและทำหน้าที่ของเขาต่อไป
“จี้เฟิง!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกชื่อจี้เฟิงดังขึ้นจี้เฟิงที่พยายามทำตัวลีบเนียนๆไม่ให้เป็นจุดเด่น แต่ก็ดันถูกฮูซู่ฮุ่ยเห็นจนได้
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงไม่ได้หันไปมองหรือหยุดชะงักแต่อย่างใดเขายังคงเดินออกไปพร้อมกับคนอื่นๆที่ออกมาจากห้องโถงนิทรรศการ
“เสี่ยวฮุ่ยเธอเรียกใครเหรอ” พี่สาวของฮูซู่ฮุ่ยอดไม่ได้ที่จะถาม
“พี่ดูเหมือนฉันจะเห็นจี้เฟิง!” ฮูซู่ฮุ่ยตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ เพราะในปีที่ผ่านมาร่างกายของจี้เฟิงแข็งแรงขึ้นมากแถมบรรยากาศรอบตัวของเขาก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน ฮูซู่ฮุ่ยจึงรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นักโดยเฉพาะเมื่อเธอมองเห็นเขาเพียงแค่แวบเดียว
“จี้เฟิงใช่เด็กยากจนที่เคยมาตามตื๊อเธอตอนเรียนอยู่ม.ปลายหรือเปล่า?!” พี่สาวของฮูซู่ฮุ่ยเบะปากแล้วพูดถึงจี้เฟิงอย่างเหยียดหยาม “เธอมองผิดแล้วล่ะ เด็กขายผักจนๆจะมีปัญญามาที่นี่ได้ยังไง? ที่นี่คือนิทรรศการอัญมณีและหยกนะ คนจนๆแบบนั้นจะหน้าด้านจนกล้ามาที่แบบนี้เลยงั้นเหรอ?”
ฮูซู่ฮุ่ยเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันดังนั้นเธอจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆและพูดว่า “ฉันคงดูผิดจริงๆน่ะแหละ”
“อย่าเพิ่งคุยกันถึงคิวเราแล้วรีบเข้าไปกันเถอะ!” พี่เขยของฮูซูฮุ่ยพูดเสียงดังพร้อมกับใช้มือดันไปที่หลังของเธอ แววตาของเขามองไปที่เรือนร่างของฮูซู่ฮุ่ยอย่างหื่นกระหายจากนั้นมืออ้วนๆของเขาก็ค่อยๆเลื่อนลงไปข้างล่างอย่างแนบเนียน
ฮูซูฮุ่ยก้มหน้างุดด้วยความเขินอายและอึดอัดใจเธอเบี่ยงตัวหนีเล็กน้อยแต่ก็กลัวพี่เขยจะไม่พอใจ เธอจึงรีบจับแขนพี่สาวของเธอและพูดขึ้น “พี่! ห้องจัดแสดงนี้สวยงามมาก สมแล้วที่เป็นเมืองใหญ่อย่างเจียงโจว มันช่างแตกต่างจากเมืองเล็กๆมากจริงๆ”
“เหอะจะหนีไปได้จนถึงเมื่อไหร่!” พี่เขยของฮูซู่ฮุ่ยบ่นอยู่ในใจและเผยแววตาแห่งความโลภ เมื่อเขามองหน้าอกของฮูซู่ฮุ่ยที่เบียดเสียดกับแขนพี่สาวของเธอ แววตาของเขาก็ยิ่งฉายชัดถึงความโลภและความหื่นกระหายมากยิ่งขึ้น
………
ในขณะเดียวกันจี้เฟิงไม่ได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือต่อให้เขารับรู้เขาก็คงจะไม่รู้สึกแปลกใจ
เพราะจี้เฟิงสัมผัสได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกับพี่เขยของฮูซู่ฮุ่ยไม่ว่าดูยังไงคนคนนี้ก็ไม่ใช่คนดี แล้วถ้าหากฮูซู่ฮุ่ยพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับพี่สาวและพี่เขยของเธอแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น อย่างนี้ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องแปลก
แต่อย่างไรก็ตามจี้เฟิงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับฮูซู่ฮุ่ยมานานแล้วยิ่งไปกว่านั้นชื่อของฮูซู่ฮุ่ยได้เข้าไปอยู่ในแบล็กลิสต์ของจี้เฟิงเรียบร้อยแล้วดังนั้นเขาจึงไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องสนใจสถานการณ์ของฮูซู่ฮุ่ย
จี้เฟิงตรงไปที่ตู้ขายตั๋วก่อนเป็นอันดับแรกเขาเข้าคิวเพื่อรอซื้อตั๋วสำหรับงานนิทรรศการในวันพรุ่งนี้ จากนั้นเขาก็ไปที่ธนาคารเพื่อเบิกเงินจากบัญชีของเขาออกมาทั้งหมดมาเก็บไว้ในกระเป๋าถือของเขา รวมเป็นเงิน 60,000 หยวน นี่คือเงินทุนทั้งหมดที่เขาเตรียมไว้สำหรับงานจัดแสดงสินค้าหินหยกในสองวันสุดท้าย
เมื่อจัดการธุระดังกล่าวเสร็จสิ้นจี้เฟิงไม่มีอย่างอื่นให้ทำต่อ เขาจึงตรงกลับไปยังหอพักในมหาวิทยาลัย จากนั้นก็หยิบหนังสือเรียนเล่มใหม่ออกมาและศึกษาด้วยตัวเองล่วงหน้า
เกี่ยวกับความรู้ในมหาวิทยาลัยของนักศึกษาปีหนึ่งจี้เฟิงคิดว่ามันเรียบง่ายกว่าตอนเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายเพราะส่วนใหญ่เป็นความรู้ทางทฤษฎี ตราบใดที่เป็นการศึกษาที่เน้นการท่องจำก็เพียงพอแล้ว ด้วยความสามารถความจำระดับเทพของจี้เฟิง สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่ปัญหา
ดังนั้นเกือบหนึ่งวันเต็มจี้เฟิงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือเรียนล่วงหน้าถ้าจู่ๆมีผู้อื่นมาเห็นความเร็วในการเรียนรู้ของจี้เฟิงในเวลานี้ เกรงว่าเขาคนนั้นคงจะรู้สึกตกใจกลัว
เช้าวันรุ่งขึ้นจี้เฟิงรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้า เพราะนิทรรศการในวันที่สองนี้เปิดตั้งแต่เวลา 8.00 น. เขาจึงต้องการที่จะไปให้เช้าที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะต้องพบเจอคนเยอะๆ ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องยากที่เขาจะสงบสติอารมณ์ทำสมาธิศึกษาราคาของหยกชนิดต่างๆ
………
ในที่สุดจี้เฟิงก็เข้ามาในห้องโถงที่จัดงานนิทรรศการได้อย่างสะดวกโดยไม่เกิดปัญหาใดๆ
เพียงแค่ก้าวแรกที่เขาได้เข้าไปในห้องโถงที่จัดนิทรรศการจี้เฟิงก็ถึงกับเบิกตากว้าง บางทีอาจเป็นเพราะที่เจียงโจวนี้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ห้องจัดแสดงนิทรรศการจึงถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรตระการตา การเดินเข้ามาในห้องโถงนิทรรศการหยกมันทำให้จี้เฟิงรู้สึกราวกับว่าเขากำลังเดินเข้าไปในพระราชวัง
นี่เป็นครั้งแรกที่จี้เฟิงได้เห็นอาคารที่หรูหราเช่นนี้จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่านี่คือเหตุผลที่ผู้คนมากมายต่างตะเกียกตะกายที่จะเข้ามาในเมืองใหญ่ เพราะมันช่างแตกต่างกับเมืองเล็กๆเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเขาจะกำลังรู้สึกประหลาดใจแต่จี้เฟิงก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกเหล่านั้นออกมาทางสีหน้าของเขา ในไม่ช้าสิ่งที่เขาสนใจก็เปลี่ยนไปเขาเริ่มจ้องมองหยกและอัญมณีต่างๆที่ถูกจัดแสดงไว้รอบๆ
หยกชนิดเจไดต์รูปแบบต่างๆที่ถูกจัดแสดงมีป้ายอธิบายอยู่ข้างๆซึ่งระบุแหล่งที่มาของหยกและราคาในปัจจุบันของหยกชิ้นนั้นๆ
จากการเปรียบเทียบระหว่างภาพที่เห็นบนอินเทอร์เน็ตและอัญมณีของจริงที่อยู่ตรงหน้าจี้เฟิงสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของแรงดึงดูดในอัญมณีต่างๆอย่างสิ้นเชิง หยกที่ถูกจัดแสดงมีหลายเกรดด้วยกัน เช่นหยกสีม่วงชนิดเนื้อน้ำและหยกเกรดรองลงมาชนิดอื่นๆ มีหยกที่หาได้จากแหล่งเก่าอยู่ชิ้นหนึ่งที่ดึงดูดสายตาจี้เฟิงทันทีที่เขาเห็นมัน มันเป็นหยกเนื้อแก้วที่ใสแต่ดูนุ่มนวล ซึ่งมันทำให้ผู้คนที่ได้เห็นมันรู้สึกลังเลที่จะละสายตาออกไป
แน่นอนว่านอกจากรูปลักษณ์ของหยกคุณภาพเยี่ยมที่สะดุดตาแล้วสิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้ที่ทำให้ผู้คนที่พบเห็นเกือบที่จะลืมหายใจนั่นก็คือตัวเลขของราคาที่ถูกระบุอยู่ด้านข้างมันนั่นเอง
มันเป็นหยกเนื้อแก้วที่มีขนาดเท่ากับตะปูหนึ่งตัวแต่ราคาของมันสูงถึงเจ็ดแสนหยวนมันทำให้จี้เฟิงรู้สึกเหลือเชื่อมาก ราคาเครื่องประดับอัญมณีเหล่านี้มันจะไม่แพงเกินไปหน่อยเหรอ
ราคาของจี้เล็กๆอันนี้น่าจะนำไปซื้อบ้านได้หลังหนึ่งเลยทีเดียว!.ไอรีนโนเวล.
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจแม้ว่าราคาของอัญมณีเหล่านี้จะสูงมาก แต่สิ่งเหล่านี้มันก็เป็นความพึงพอใจของคนที่ชื่นชอบ อัญมณีต่างๆล้วนมีแรงดึงดูดในตัวของมันเอง
หลังจากเดินเที่ยวชมไปรอบๆห้องโถงนิทรรศการจี้เฟิงได้เห็นหยกชนิดต่างๆรวมถึงอัญมณีบางชนิดที่เขาอ่านเจอในเว็บไซต์ แน่นอนว่าจี้เฟิงมุ่งเน้นไปที่หยกเป็นหลักเพราะหยกเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจได้ในเวลาอันสั้น และเขาก็มั่นใจว่ามันจะต้องมีประโยชน์กับเขาอย่างแน่นอนในอนาคต
“ไม่ได้เสียเงินค่าตั๋วไปเปล่าๆ!”จี้เฟิงพึมพำกับตัวเอง การเยี่ยมชมในวันนี้ไม่เพียงแต่จะได้รับความรู้เท่านั้น แต่จี้เฟิงยังได้เรียนรู้ราคาของหยกหลากหลายเกรด โดยเฉพาะป้ายที่มีรายละเอียดต่างๆถูกระบุอยู่ข้างๆหยกเหล่านี้ ซึ่งทำให้จี้เฟิงได้เห็นสิ่งต่างๆมากมาย
จากความรู้เกี่ยวกับหยกที่จี้เฟิงได้เรียนรู้มาบ้างทางอินเทอร์เน็ตมันเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับตลาดหยกในปัจจุบันและกฎของการซื้อขายขั้นพื้นฐานต่างๆที่จี้เฟิงยังไม่รู้
หลังจากที่จี้เฟิงเดินเที่ยวชมอยู่พักหนึ่งและเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วเขาก็เดินออกจากห้องโถงนิทรรศการและเตรียมรองานจัดแสดงสินค้าหินหยกหยาบที่จะจัดขึ้นในสองวันสุดท้าย
จี้เฟิงนึกถึงฮูซู่ฮุ่ยขึ้นมาอีกครั้งเนื่องจากพี่เขยของเธอมาเยี่ยมชมนิทรรศการหยกที่นี่ด้วยนั่นก็แสดงว่าชายอ้วนหูใหญ่คนนี้ต้องอยู่ในธุรกิจนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นในงานแสดงสินค้าหินหยกสองวันสุดท้าย จี้เฟิงจึงคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะได้พบกับคนพวกนั้น
จี้เฟิงรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อยเขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับฮูซู่ฮุ่ยและไม่อยากทะเลาะกับคนพวกนั้นในงานแสดงสินค้าหินหยก นับประสาอะไรหากคนพวกนั้นมาเจอเขาแล้วมาพูดจาดูถูกเหยียดหยามเขาอีก
“ถ้าพวกคุณไม่มายุ่งกับฉันฉันก็จะไม่สนใจ ถ้าไม่อย่างงั้น…” นี่เป็นครั้งแรกที่จี้เฟิงมีความคิดและวางแผนจะกลั่นแกล้งฮูซู่ฮุ่ยและครอบครัวของเธอ!
นั่นเป็นเพราะจี้เฟิงไม่อยากเป็นฝ่ายทนอีกต่อไป!
สองวันต่อมาจี้เฟิงใช้ชีวิตอยู่แต่ในหอพักและไม่ได้ไปไหนเขาเพียงแค่อ่านหนังสือด้วยความสบายใจ เขาศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์และการจัดการ ที่เป็นหลักสูตรหนึ่งของนักศึกษาปีแรก เขาอ่านมันอย่างผิวเผินเพราะทั้งหมดเป็นแค่ทฤษฎีพื้นฐาน มีเพียงคำอธิบายบางคำที่เป็นคำศัพท์เฉพาะที่จี้เฟิงนั้นไม่ยังไม่ค่อยเข้าใจแต่เขาก็จำมันได้
เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็วและงานแสดงสินค้าหินหยกหยาบก็มาถึงอย่างเป็นทางการ จี้เฟิงมีความระมัดระวังในเรื่องนี้สูงมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาลงมือเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเอง และไม่ใช่แค่เขาจะทำได้ แต่เขาจะต้องประสบความสำเร็จ!