The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 145 การพบกันครั้งแรกของลูกพี่ลูกน้อง!
- Home
- The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ
- บทที่ 145 การพบกันครั้งแรกของลูกพี่ลูกน้อง!
ฉินซูเจี๋ยไม่ค่อยชอบเจ้าของเสียงนี้เท่าไหร่นักนี่คือความรู้สึกแรกหลังจากที่จี้เฟิงเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นคิ้วที่ย่นเข้าหากันเพียงเล็กน้อยของเธอ ถ้าไม่อย่างนั้นฉินซูเจี๋ยคงไม่ถึงกับออกอาการแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน
แม้ว่าจี้เฟิงและฉินซูเจี๋ยจะไม่ได้รู้จักกันมานานแต่จากที่จี้เฟิงเห็นเขาก็พอจะรู้ได้ว่าฉินซูเจี๋ยเป็นผู้หญิงที่ได้รับการปลูกฝังมารยาทมาเป็นอย่างดี แม้ว่าเธอจะรู้สึกไม่พอใจ เธอก็จะไม่แสดงออกมาทางสีหน้าง่ายๆเช่นนี้
แต่ครั้งนี้เธอแสดงออกอย่างชัดเจนซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนใจร้อนพอสมควรและไม่อยากจะเจอกับเจ้าของเสียงนี้เท่าไหร่นัก
อย่างไรก็ตามการเลี้ยงดูที่ดียังคงป้องกันไม่ให้ฉินซูเจี๋ยแสดงความไม่พอใจออกมามากจนเกินไปหลังจากที่ฉินซูเจี๋ยขมวดคิ้วเพียงครู่เดียวเธอก็กลับมามีสีหน้าที่สงบนิ่งตามปกติ
เฒ่าหวังที่นั่งอยู่ข้างๆถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรแต่สีหน้าที่ตึงเครียดมากกว่าเดิมก็พอจะทำให้จี้เฟิงเดาได้ว่าเฒ่าหวังก็น่าจะรู้จักและไม่ค่อยจะชื่นชอบเจ้าของเสียงนี้มากเท่าไหร่นัก
จี้เฟิงหยิบชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบโดยไม่พูดอะไร
ในไม่ช้าประตูห้องก็ถูกเปิดออกและชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปีก็เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะ เขาดูอารมณ์ดีมาก
“โอ้ประธานฉินฉันเห็นรถของคุณฉันก็รู้ได้ทันทีเลยว่าคุณต้องอยู่ที่นี่!” ชายหนุ่มที่ไม่ได้รับเชิญพูดทักทายฉินซูเจี๋ยทันทีที่เข้ามา เข้าดึงเก้าอี้ออกและนั่งลงโดยไม่รอให้เจ้าของห้องเชิญชวน “ถ้าให้ฉันเดา ประธานฉินคงเพิ่งกลับจากงานแสดงสินค้าหินหยกมาสินะ แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ได้อะไรดีๆมาบ้างมั้ย”
ฉินซูเจี๋ยแสดงท่าทีที่ดูสุภาพมากเธอยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “โชคดีที่ยังพอได้อะไรดีๆกลับมาบ้าง”
“ดีๆแต่ถ้าประธานฉินพบกับปัญหาอะไรในเรื่องนี้ ขอให้บอกฉันได้ทันที ฉันเต็มใจที่จะช่วยเหลือประธานฉินทุกเมื่อ!” บนใบหน้าของชายหนุ่มมีรอยยิ้มที่สดใส มันไม่ใช่เรื่องแปลกหากใครจะรู้สึกดีเมื่อได้พูดคุยกับชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มสดใสเช่นนี้เป็นครั้งแรก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจี้เฟิงตอนนี้ดูเหมือนว่าจี้เฟิงจะรู้สึกตกใจและนิ่งอึ้งไปชั่วขณะเมื่อเห็นใบหน้าที่เขารู้สึกคุ้นเคย!
ถ้าไม่ใช่เพราะชายหนุ่มคนนี้สวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมและอายุของเขาก็มากกว่าจี้เฟิงคงคิดว่าเขานั้นกำลังส่องกระจกอยู่
จี้เฟิงแอบเหลือบมองไปที่ชายหนุ่มที่ไม่ได้รับเชิญแต่ยิ่งมองเขาก็ยิ่งพบว่าชายหนุ่มคนนี้ดูคล้ายกับเขามาก
แน่นอนว่าถ้าไม่ได้มองอย่างละเอียดจะไม่สามารถสังเกตเห็นถึงความคล้ายคลึงนี้ได้เลยเนื่องจากบุคลิกและลักษะนิสัยของทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จี้เฟิงเป็นคนที่สงบนิ่งเก็บตัวและมีดวงตาที่เฉียบคม
ส่วนชายหนุ่มคนนี้ถ้ามองจากภายนอกเขาดูเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีแต่ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเป็นคนที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการออร่ารอบตัวของเขาบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคนที่สูงส่งและไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะทำให้บุคคลเช่นนี้ขุ่นเคือง
ดังนั้นด้วยนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของทั้งสองคนคนอื่นๆจึงไม่สามารถมองเห็นถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างจี้เฟิงกับชายหนุ่มคนนี้ได้ แม้ในความเป็นจริงหากมองพวกเขาใกล้ๆก็จะพบว่าพวกเขาสองคนมีความคล้ายคลึงกันมาก
ฉินซูเจี๋ยยิ้มอย่างสง่างาม“ดิฉันต้องขอขอบคุณจากใจสำหรับความมีน้ำใจของคุณในเรื่องนี้!”
ชายหนุ่มโบกมือและยิ้มกว้าง“ประธานฉินคุณไม่จำเป็นต้องพูดจาสุภาพกับฉันขนาดนั้นก็ได้ อันที่จริงที่ฉันเต็มใจช่วยเหลือคุณไม่ใช่เพราะฉันเห็นแก่ฮ่าวหยูซะทีเดียวหรอก แต่เป็นเพราะพวกเราเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาก่อน จะว่าไปแล้วฉันก็เพิ่งจะคุยกับฮ่าวหยูเมื่อไม่นานมานี้ว่าถ้าพอจะมีเวลาพวกเราควรจะนัดรวมตัวกันซะหน่อย”
จากการสนทนาดังกล่าวทำให้จี้เฟิงได้รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้และฉินซูเจี๋ยเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันมาก่อนแต่คนที่ชื่อฮ่าวหยูที่เขาพูดถึงนั้นจี้เฟิงยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
ฉินซูเจี๋ยขมวดคิ้วเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่“จี้ช่าวเหลย ถ้าคุณมาที่นี่ในวันนี้ในฐานะเพื่อนร่วมชั้น ฉันก็ยินดีให้คุณมาร่วมโต๊ะด้วย แต่ถ้าคุณมาที่นี่ในฐานะพ่อสื่อหรืออะไรทำนองนั้นฉันคิดว่าคุณไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่!”
จี้ช่าวเหลย
ชายหนุ่มคนนี้คือจี้ช่าวเหลย!
เมื่อได้ยินฉินซูเจี๋ยเรียกชายหนุ่มคนนั้นว่าจี้ช่าวเหลยจี้เฟิงก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเขากับชายหนุ่มคนนี้ถึงดูคล้ายคลึงกันมากขนาดนี้ ปรากฏว่าเขาเป็นลูกชายคนที่สองของอาคนที่สองของเขาและประธานของเจียนอันกรุ๊ปก็คือจี้ช่าวเหลยคนนี้!
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็จำได้ว่าก่อนหน้านี้ที่โรงเรียนอนุบาลลูกสาวของฉินซูเจี๋ยมีความขัดแย้งกับลูกชายของคนที่ชื่อโจวต้าหยงที่เป็นคนของจี้ช่าวเหลย และในตอนนั้นดูเหมือนว่าฉินซูเจี๋ยจะเกรงใจจี้ช่าวเหลยอยู่พอสมควรแต่เป็นเพราะตอนนั้นเป็นเรื่องของลูกสาวของเธอ เธอจึงคิดที่จะยอมแลกด้วยชีวิตของเธอเองไม่ว่าใครหน้าไหนที่กล้าจะมาแตะต้องลูกสาวของเธอ ดังนั้นจี้เฟิงจึงคิดไม่ถึงว่าจี้ช่าวเหลยและฉินซูเจี๋ยจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันมาก่อน
ดูเหมือนจะเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากเลยทีเดียว
จี้ช่าวเหลยตบหน้าผากของเขาและยิ้มอย่างขมขื่น“ซูเจี๋ย คนที่กล้าพูดกับฉันแบบนี้ในเจียงโจวมีแทบจะนับคนได้ แต่เธอกลับพูดกับฉันโดยไม่คิดจะไว้หน้ากันบ้างเลยหรือ!”
ท่าทีของฉินซูเจี๋ยเริ่มเย็นลงเธอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “จี้ช่าวเหลย ตระกูลของคุณยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แล้วคนที่เติบโตมาในตระกูลเล็กๆอย่างฉันจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร เพียงแต่เรื่องระหว่างฉันกับฮ่าวหยูมันจบไปแล้ว ดังนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมหากคุณจะเข้ามายุ่งในเรื่องนี้ ฉันพูดถูกมั้ย!”
“ไม่!”
ใบหน้าของจี้ช่าวเหลยจริงจังขึ้นเช่นกัน“ซูเจี๋ย คนเรามันก็ทำผิดพลาดกันได้ คุณควรให้โอกาสเขา เพราะฮ่าวหยูเขาก็พร้อมที่จะแก้ไขในสิ่งผิด คุณอย่ามองคนแค่เพียงด้านเดียว แล้วที่สำคัญพวกเราเป็นเพื่อนรวมชั้นเรียนกันมาก่อน ฉันเลยไม่อยากเห็นพวกคุณสองคนต้องแยกทางกัน ดังนั้นฉันว่าคุณควรคิดทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง!”
“แล้วถ้าไม่ล่ะ”ฉินซูเจี๋ยดูเหมือนจะโกรธแล้วตอนนี้
“ฉันเป็นหนี้ฮ่าวหยูครั้งหนึ่ง!”จี้ช่าวเหลยพูดเสียงเบา “แล้วถ้าฮ่าวหยูขอร้อง ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเขา!”
ฉินซูเจี๋ยโกรธขึ้นมาทันที“งั้นก็หมายความว่า ถ้าเจิ้งฮ่าวหยูขอให้คุณจัดการกับฉัน คุณก็จะทำงั้นสิ!”
“ถูกต้อง!”จี้ช่าวเหลยพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
“เหอะ!”.ไอรีนโนเวล.
เฒ่าหวังส่งเสียงอย่างเย็นชาและจ้องเขม็งไปที่ดวงตาของจี้ช่าวเหลยด้วยแววตาที่น่ากลัวราวกับว่าถ้าจี้ช่าวเหลยกล้าทำอะไรฉินซูเจี๋ยเขาก็พร้อมจะจัดการจี้ช่าวเหลยทันทีเช่นกัน
นอกจากจี้ช่าวเหลยจะไม่กลัวแล้วเขายังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา“เฒ่าหวัง คุณเป็นแค่คนขับรถ ไม่ควรมายุ่งเกี่ยวเรื่องของเจ้านาย ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะเดือดร้อนโดยไม่รู้ตัว!”
“อุ๊ปส์!”เมื่อได้ยินประโยคเหล่านี้จี้เฟิงที่กำลังจิบชาอยู่ก็ถึงกับสำลักและน้ำชาก็พุ่งออกมาทำให้เขาไออยู่หลายครั้ง จี้เฟิงหน้าแดงก่ำจากอาการสำลัก แต่ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
พูดจาข่มขู่เสียงดังขนาดนี้ตกลงผู้ชายคนนี้เป็นนักธุรกิจหรือเป็นหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียกันแน่!
จี้ช่าวเหลยเหลือบมองเขาและถามด้วยรอยยิ้มเย็น“ดูเหมือนน้องชายคนนี้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากนี้สินะ”
เมื่อเห็นว่าจี้ช่าวเหลยหันมาสนใจตัวเองจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้ม เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะพบกับลูกพี่ลูกน้องของตัวเองเป็นครั้งแรกภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
เมื่อฉินซูเจี๋ยเห็นว่าจี้ช่าวเหลยเริ่มจะไม่พอใจจี้เฟิงเธอก็ตื่นตระหนกทันทีและรีบพูดว่า “จี้ช่าวเหลย เขาคนนี้เป็นแขกของฉัน ธุระของคุณคือมาคุยกับฉันคนเดียว ดังนั้นอย่าไปยุ่งกับแขกของฉันเด็ดขาด!”
จี้ช่าวเหลยส่ายหัวเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า“ซูเจี๋ย ทำตามคำแนะนำของฉันเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เธอก็น่าจะรู้ดีนะว่าถ้าเจิ้งฮ่าวหยูไม่คิดที่จะปล่อยเธอไป เธอก็ไม่สามารถอยู่ในเจียงโจวได้อย่างสบายใจ ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดคือเธอควรให้โอกาสเขา!”
ดูเหมือนว่าจี้ช่าวเหลยแค่ให้คำแนะนำกับฉินซูเจี๋ยแต่น้ำเสียงที่ดุดันนั้นเหมือนกำลังบอกเป็นนัยๆว่า โอกาสที่ฉินซูเจี๋ยควรให้กับเจิ้งฮ่าวหยูก็เหมือนกับการให้โอกาสตัวเองในเวลาเดียวกัน เพราะถ้าฉินซูเจี๋ยไม่ทำตามที่เขาบอก ก็อย่าหวังจะได้อยู่ในเจียงโจวได้อย่างสบายใจเลย!”
คิ้วของจี้เฟิงขมวดอย่างช่วยไม่ได้ดูเหมือนว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากจริงๆ และจี้ช่าวเหลยที่มีอำนาจเหนือกว่ากลับทำตัวน่าอายด้วยการช่วยเพื่อนของเขามารังแกผู้หญิงที่อ่อนแอคนหนึ่ง มันไม่ได้ทำให้เขาดูน่าเกรงขามเลยสักนิด!
“โอกาสที่คุณบอกคือโอกาสที่ฉันจะให้เขาหรือเป็นโอกาสที่คุณจะให้ฉันกันแน่ล่ะ” ฉินซูเจี๋ยพยายามข่มความโกรธเอาไว้ในใจและถามอย่างเย็นชา
จี้ช่าวเหลยส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า“ซูเจี๋ย อย่าเข้าใจฉันผิด ฉันเป็นแค่คนกลางไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น และถึงแม้ว่าคุณจะไม่ให้โอกาสกับฮ่าวหยูเพื่อแก้ไขตัวเองแต่คุณก็ควรคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งเพื่อลูกของคุณ!”
“คุณไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ลูกของฉันฉันจัดการเองได้!” ฉินซูเจี๋ยพยายามข่มความโกรธและพูดเบาๆ “ถ้าไม่มีอะไรนอกจากเรื่องนี้ ฉันคงต้องขอร้องให้คุณออกไปจากที่นี่ เพราะตอนนี้ฉันมีแขกและฉันก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว!”
จี้ช่าวเหลยส่ายหัวเล็กน้อยและไม่ได้โกรธที่ถูกไล่ออกไปเขาเพียงแค่ยิ้มจางๆและพูดว่า “โอเคๆ เอาเป็นว่าหน้าที่คนกลางมาพูดจาหว่านล้อมครั้งนี้ของฉันพังไม่เป็นท่า ฉันได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ไม่ว่าจะใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็ง ฉันต้องถึงขนาดสวมบทเป็นผู้ร้ายแต่ก็ไม่สามารถทำให้เธอเปลี่ยนใจได้เลย เฮ้อ… ซูเจี๋ย วันนี้ฉันรบกวนเธอมามากพอแล้วและต่อจากนี้ฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องระหว่างเธอและฮ่าวหยูอีกต่อไป!”
ฉินซูเจี๋ยอึ้งไปเล็กน้อยแต่สุดท้ายเธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “แต่ไม่ว่าอย่างไรฉันต้องขอบอกกับคุณตามจริงว่า คุณเป็นถึงประธานของเจียนอันกรุ๊ปที่ใหญ่โต และเป็นเป็นลูกหลานของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ฉันที่เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆจะไม่เกรงกลัวและกล้าเพิกเฉยต่ออิทธิพลของคุณได้อย่างไร ฉันเต็มใจที่จะรับฟังคำแนะนำของคุณเสมอ แต่เรื่องของฉันกับฮ่าวหยูมันมาถึงจุดจบแล้วจริงๆ มันไม่มีประโยชน์อะไรที่เราสองคนจะคบหากันต่อไป รังแต่จะเป็นการทรมานสำหรับทั้งสองฝ่าย และมันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับลูกของเราอย่างแน่นอน!”
จี้ช่าวเหลยพยักหน้าและพูดว่า“ฉันเข้าใจ แต่พอฉันรู้ว่าพวกคุณสองคนกำลังจะเลิกกัน ฉันก็รู้สึกแย่และไม่อยากให้มันเกิดเหตุการณ์แบบนั้น ฉันรู้ดีว่ามันคงเป็นเรื่องอยากที่จะให้เพื่อนร่วมชั้นกลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันดั่งเดิม แน่นอนว่าเมื่อสถานะของพวกคุณเปลี่ยนไปจากเพื่อนร่วมชั้นกลายเป็นคนรัก แต่สุดท้ายแล้วพวกคุณนั้นเลิกรากัน มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะกลับไปมีมิตรภาพที่ดีได้ดั่งเดิม ฉันจึงรู้สึกเสียดายที่รู้ว่าพวกคุณจะเลิกกันจริงๆ แต่ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ ฉันก็อยากจะบอกว่าอย่างน้อยๆก็อย่าให้ถึงกับพวกเราต้องขาดการติดต่อกันไปทั้งแบบนี้เลย!”
จี้เฟิงและคนอื่นๆเข้าใจแล้วว่าความโหดเหี้ยมที่น่าไม่อายของจี้ช่าวเหลยนั้นเป็นเพียงแค่การเสแสร้งและในตอนนี้ความเป็นจริงทั้งหมดได้ถูกเปิดเผยแล้ว และถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉินซูเจี๋ยและจี้ช่าวเหลยอาจจะเรียกได้ว่าไม่ได้สนิทสนิมกันนัก แต่สิ่งนั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามจากมุมมองของฉินซูเจี๋ยไม่ต้องสงสัยเลยว่าจี้ช่าวเหลยเป็นบุคคลที่น่าเกรงขามและทรงอิทธิพลมาก แม้ว่าพวกเขาจะเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันมาก่อน แต่ก็อย่างที่จี้ช่าวเหลยพูด ในเมื่อสถานะและความสัมพันธ์ต่างๆเปลี่ยนแปลงไป มันกลับกลายเป็นเรื่องยากกว่าเดิมหากต้องการจะให้ความสัมพันธ์กลับมาดีเหมือนอย่างในตอนแรก
“จี้ช่าวเหลยคุณรู้หรือไม่ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาฮ่าวหยูเขาเปลี่ยนไปมาก และมันก็ทำให้ฉันกลัวเล็กน้อย อันที่จริงฉันไม่อยากจะพูดถึงเรื่องที่มันเป็นอดีตไปแล้ว ส่วนเรื่องในอนาคตระหว่างฉันกับเขาก็มีเพียงเรื่องเดียวที่ฉันอยากจะฝากคุณไปบอกเขาว่าได้โปรดอย่ามายุ่งกับชีวิตของฉันอีกเลย” ฉินซูเจี๋ยเงียบไปครู่หนึ่งและพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้า “กับคนที่ตีราคาของภรรยาตัวเองให้กับคนอื่นได้ ผู้ชายแบบนี้คงไม่มีค่าพอที่จะให้ฉันไปยุ่งเกี่ยวอีก”
จี้ช่าวเหลยส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า“ฉันคงไม่สามารถบอกให้ได้ แต่ถ้าคุณอยากจะบอก คุณสามารถบอกกับเขาด้วยตัวเองโดยตรงได้เลย!”
ฉินซูเจี๋ยพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า“ถ้าฉันเดาไม่ผิด ตอนนี้เขาก็อยู่ที่นี่ด้วยใช่มั้ย เขาก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าเขาต้องการอะไรเขาก็จะใช้วิธีที่เขาโปรดปรานมากที่สุดนั่นก็คือการกดดันจนกว่าฉันจะยอมจำนน หากเขาต้องการอะไรเขาควรจะพูดมันออกมาตรงๆ ไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไรที่ต้องให้คนอื่นมาวิ่งเต้นเพื่อกดดันฉันแบบนี้ นี่น่ะหรือคือวิธีที่คนรักเขาทำกัน!”
“ประธานฉินนี่มันออกจะเกินไปหน่อย!” จี้ช่าวเหลยขมวดคิ้ว “อย่างที่ฉันได้บอกไป เรื่องที่ฉันทำในครั้งนี้ มันเป็นเพราะว่าฉันติดหนี้บุญคุณฮ่าวหยู!”
“หึ!ฉันกลัวว่าเขาตั้งใจสร้างเรื่องเพื่อให้คุณเป็นหนี้บุญคุณเขาน่ะสิ!” ฉินซูเจี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงดูหมิ่น
“ฉินซูเจี๋ยเธอพูดจาใส่ร้ายฉันอีกแล้วเหรอ!”
จู่ๆก็มีเสียงที่พูดด้วยความโกรธก็ดังขึ้นมาจากทางด้านนอกหลังจากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออกและชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าอมชมพูมันวาวก็เดินเข้ามา เขามองไปที่จี้เฟิงและพูดด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ซูเจี๋ย ผู้ชายคนนี้คือชู้คนใหม่ของเธอเหรอ”