The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 150 การวิเคราะห์
จี้เจิ้นกั๋วและลูกชายทั้งสองคนรวมถึงจี้เฟิงที่ใบหน้าสงบนิ่งยังคงอยู่ในห้อง
“ช่าวตงลูกคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้” จี้เจิ้นกั๋วถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง
จี้ช่าวตงมีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า“พ่อ ผมคิดว่าเรื่องนี้มันต้องมีอะไรมากกว่านี้!”
“ไหนบอกมาซิว่าลูกคิดว่ามันน่าจะเป็นยังไง!” จี้เจิ้นกั๋วจุดบุหรี่และถามลูกชาย
จี้ช่าวตงกล่าวว่า“ตามที่เสี่ยวเฟิงบอก หมอหลู่คนนี้เขาไม่ได้เป็นหมออัจฉริยะจริงๆ หรือแม้แต่ความรู้ทางด้านการแพทย์ก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ ดังนั้นเรื่องที่เขาบอกว่าเป็นหมออัจฉริยะและมีชื่อเสียงโด่งดังมันคือเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตามผมได้ยินเรื่องนี้มาจากเลขาของผมจริงๆ นั่นก็หมายความว่าเลขาได้ร่วมมือกับหมอปลอมเพื่อมาโกหกผมหรือถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็อาจจะถูกหลอกมาอีกทีเช่นกัน”
หลังจากหยุดพูดไปครู่หนึ่งจี้ช่าวตงก็พูดขึ้นอีกครั้ง “แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน มันก็หมายความว่ามีใครบางคนพยายามใช้ประโยชน์จากความผิดพลาดของผมเพื่อเข้ามาสร้างปัญหาให้กับครอบครัวหรือตระกูลจี้ของเรา!”
“แล้วลูกคิดว่าใครเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้”จี้เจิ้นกั๋วถามอีกครั้ง
จี้ช่าวตงส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น“เรื่องนี้… ผมไม่สามารถตอบได้จริงๆ” เขาหันหน้าไปทางจี้เฟิงและถามความคิดเห็น “เสี่ยวเฟิงเธอคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”
จี้เฟิงตกใจเขาไม่คาดคิดว่าจี้ช่าวตงจะถามความคิดเห็นของเขาอย่างกะทันหัน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจี้เฟิงก็กล่าวว่า “จากความคิดของผม ผมจะพิจารณาจากเรื่องที่พวกเขาสามารถหาช่องทางให้นายหลู่สามารถปลอมตัวเป็นหมออัจฉริยะเพื่อเข้ามารักษาอาสองถึงในบ้านได้นั่นหมายความว่าเขาจะต้องเป็นคนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บที่เอวของอาสอง และต้องมีแรงจูงใจบางอย่างที่ต้องการจะจัดการกับเรา ด้วยวิธีนี้เราก็น่าจะพอจำกัดขอบเขตให้เล็กลงได้บ้าง”
จี้เจิ้นกั๋วแสดงสีหน้าพึงพอใจเขาพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ การคิดเช่นนี้ทำให้ขอบเขตในการหาตัวคนที่เราสงสัยแคบลงมาก เก่งมากเสี่ยวเฟิง!”
“ขอบคุณที่ชมครับอาสองแต่มันเป็นเพียงแค่การคาดเดาของผมเท่านั้น” จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่อาสองครับ มีอีกประเด็นหนึ่งที่เราก็ยังไม่สามารถตัดทิ้งได้ทั้งหมด เรื่องที่นายหลู่ปลอมตัวมาเป็นหมออัจฉริยะอาจจะเพียงเพื่อต้องการหลอกเอาเงินเท่านั้น ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้มันจะน้อยมากก็ตาม”
แม้ว่าสิ่งที่จี้เฟิงพูดจะอยู่ในหลักแห่งความจริงแต่จี้เฟิงนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่าความเป็นไปได้อย่างหลังนั้นไม่น่าใช่สิ่งที่หมอปลอมหลู่ต้องการจริงๆ แต่มันก็ยังมีอีกหลายอย่างที่จี้เฟิงรู้สึกสงสัย…
“เสี่ยวเฟิงถ้าวันนี้เธอไม่ได้มาที่นี่ ไม่เพียงแต่อาสองของเธอจะได้รับการรักษาผิดๆจากหมอปลอมหลู่ แต่ตระกูลของเราอาจพบกับปัญหาใหญ่โดยที่ไม่มีแม้แต่เวลาตั้งรับเลยด้วยซ้ำ เธอนี่เป็นเหมือนดาวนำโชคจริงๆ”
เมื่อทุกคนเริ่มพูดคุยกันบรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น จี้ช่าวตงก็สบายใจขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไรตราบใดที่ยังมีเป้าหมายที่น่าสงสัย เราก็จะหาต้นตอจนพบได้เสมอ หากพวกเราที่อยู่ในสายงานข้าราชการยังเกรงกลัวต่อการกระทำของคนพวกนี้ ก็เกรงว่าคงไม่จำเป็นต้องทำอาชีพราชการอีกต่อไป!
“ใช่แล้วเสี่ยวเฟิงเธอไม่ต้องคิดมากแล้วล่ะ การกดนวดเพียงไม่กี่ครั้งของเธอก็ทำให้ฉันฟื้นฟูร่างกายและมีพลังขึ้นมาก การรักษาที่ยุ่งยากซับซ้อนของหมอหลู่อัจฉริยะคนนั้นมีแต่เรื่องที่สร้างขึ้นทั้งนั้น ว่าแต่ฝีมือการนวดของเธอเพียงไม่กี่ครั้งก็สามารถทำการรักษาอาการบาดเจ็บของฉันได้ดีกว่าการรักษาของหมอยาจีนเก่าแก่หลายแห่งที่ฉันเคยไปรักษามาเสียอีก!” จี้เจิ้นกั๋วพูดด้วยรอยยิ้ม ขณะนี้เขานั่งอยู่บนโซฟา และเอวของเขาแทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยซึ่งทำให้เขาทั้งรู้สึกประหลาดใจและดีใจ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะสามารถยืนได้อย่างมากก็ไม่เกิน20 นาที หรือต่อให้เป็นการนั่งก็จะนั่งได้ไม่นานเช่นกัน เขาจะต้องเปลี่ยนท่าหรือลุกเดินไปรอบๆ ถ้าวันไหนปวดมากๆก็อาจจะต้องหาสถานที่เหมาะๆเพื่อนอนพัก ไม่เช่นนั้นเขาจะรู้สึกเจ็บปวดที่เอวมาก ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากทีเดียว
แต่หลังจากที่ได้รับการกดนวดจากจี้เฟิงเพียงไม่กี่ครั้งตอนนี้เวลาผ่านไปอย่างน้อยก็น่าจะสิบนาทีได้แล้ว แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย ผลจากการนวดรักษาราวกับเวทมนตร์นี้ได้อธิบายทุกอย่างแล้ว
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดตอบอะไรออกไปในความเป็นจริงสิ่งเหล่านี้จี้เฟิงได้เรียนรู้มาจากการระบบฝึกอบรมสายลับระดับสูง เพราะนอกเหนือจากทักษะพิเศษในการต่อสู้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันนั่นก็คือต้องรู้จักวิธีปฐมพยาบาลและการรักษาบาดแผล เนื่องจากการบาดเจ็บของหน้าที่สายลับแทบจะเป็นหนึ่งในกระบวนการการปฏิบัติหน้าที่ที่ต้องพบเจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากหากสายลับได้เรียนรู้วิธีรักษาตนเองอย่างรวดเร็วหลังจากได้รับบาดเจ็บ
ในระบบฝึกสุดยอดสายลับหลังจากที่จี้เฟิงได้เรียนรู้ทักษะการต่อสู้ จี้เฟิงก็เริ่มเรียนรู้ทักษะการรักษาฉุกเฉิน ในทักษะนี้สิ่งแรกที่ต้องเรียนรู้คือโครงสร้างพื้นฐานของร่างกายมนุษย์
จี้เจิ้นกั๋วที่มีอาการเจ็บปวดที่กระดูกสันหลังส่วนเอวนั้นแม้ว่าจี้เฟิงจะไม่ได้ตรวจสอบโดยการใช้เครื่องมืออย่างเครื่อง CTแสกน แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้จากความรู้สึกที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างชำนาญถึงส่วนที่ทำให้อาสองของเขาเกิดความเจ็บปวด
สำหรับการรักษากระดูกสันหลังส่วนเอวของจี้เจิ้นกั๋วนั้นจี้เฟิงไม่ได้ทำการรักษาอย่างลึกซึ้งเนื่องจากช่วงเวลาและเหตุผลอื่นๆในตอนนั้นไม่เหมาะสมที่จะทำการรักษาอย่างจริงจัง เขาจึงทำได้แค่ทำการกดนวดเพื่อบรรเทาอาการปวดให้จี้เจิ้นกั๋วเพียงชั่วคราวเท่านั้น และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่จี้เฟิงได้ใช้ทักษะการปฐมพยาบาลนี้และผลที่ออกมาก็ดูไม่เลวเลยทีเดียว
“อาสองครับอาการบาดเจ็บตรงกระดูกสันหลังส่วนเอวของอาสองมันเป็นอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ที่ผมนวดให้อาสองมันเป็นเพียงแค่การบรรเทาความเจ็บปวดและเป็นการรักษาเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรอาสองต้องไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาอย่างสมบูรณ์และต่อเนื่องนะครับ!” จี้เฟิงกล่าวด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ
“ใช่แล้วพ่อเสี่ยวเฟิงพูดถูก พ่อควรไปตรวจที่โรงพยาบาลอย่างจริงจังหรือไม่อย่างนั้นพ่อจะลองไปหาหมอจีนแผนโบราณเพื่อฝังเข็มดูก็ได้นะ!” จี้ช่าวตงรีบสนับสนุนคำพูดของจี้เฟิงทันที
จี้เจิ้นกั๋วยิ้มและโบกมือ“ร่างกายพ่อ พ่อรู้ดี มันไม่ได้มีปัญหาอะไรมากขนาดนั้น ลูกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก!”
“อาสองครับปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากปล่อยให้เรื้อรังไปกว่านี้มันจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของอาสองในอนาคต…” จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวว่า “โดยเฉพาะกระดูกสันหลังส่วนเอวนั้นต่างจากส่วนอื่น ดังนั้นอาสองควรได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด!”
“เสี่ยวเฟิงที่เธอบอกว่ามันจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในอนาคตของฉันเธอหมายถึงว่าฉันอาจจะเป็นอัมพาตงั้นหรือ” จี้เจิ้นกั๋วขมวดคิ้ว
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า“มันอาจจะไม่รุนแรงถึงขั้นเป็นอัมพาตหรอกครับ แต่มันก็ไม่ได้ดีไปกว่านั้นเท่าไหร่..”
เมื่อได้ยินจี้เฟิงพูดแบบนี้จี้ช่าวตงก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าที่เคร่งเครียด “พ่อฉันคิดว่าเสี่ยวเฟิงพูดถูก และเขาก็พอจะมีความรู้เกี่ยวกับการแพทย์อย่างที่เราก็เห็นๆกันอยู่ ดังนั้นพ่อควรไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาโดยเร็วที่สุด..”
เมื่อจี้ช่าวตงพูดจนถึงท้ายประโยคเสียงของเขาก็ค่อยๆเงียบลง และมีแสงที่เปล่งประกายฉายวาบออกมาจากดวงตาของเขา ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
ในขณะเดียวกันท่าทีของจี้เจิ้นกั๋วก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเช่นกัน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เหอะเหอะ…”จี้ช่าวตงยิ้มเยาะ “ดูเหมือนว่าคนที่ให้นายหลู่ปลอมตัวมาเป็นหมออัจฉริยะจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาซะแล้ว!”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยหากตอนนี้ใครจะบอกว่าที่หมอหลู่หมออัจฉริยะจอมปลอมมาที่นี่เพียงเพื่อหลอกเอาเงินเพียงเล็กน้อยคงทำให้ผู้คนหัวเราะได้อย่างแน่นอน
ไม่ต้องพูดถึงพฤติกรรมที่ไร้สาระของการมาหาเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลนครเจียงโจวซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของชาติเพื่อมาโกงเงินถ้าหมอปลอมหลู่พอจะมีสมองสักเล็กน้อยเขาจะต้องคิดได้และไม่กล้าโกงเงินถึงบ้านของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลอย่างแน่นอน
จากนั้นเมื่อเขาได้เข้ามาถึงที่บ้านของเลขาธิการพรรคเขาจะต้องรู้ว่าเขาไม่มีทางรักษาอาการเจ็บป่วยของจี้เจิ้นกั๋วได้แต่เขาก็ยังแสดงท่าทีอย่างมั่นใจ พฤติกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นอะไร
แม้ว่าคุณจะลองคิดโดยไม่ต้องไตร่ตรองให้มากก็น่าจะพอรู้ว่าเขาไม่ได้มาถึงที่นี่เพื่อรักษาจี้เจิ้นกั๋วอย่างแน่นอนอย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อต้องการเงินด้วยเช่นกัน และคงจะไม่มีใครโง่พอจะมาโกงเงินเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลอย่างแน่นอน
แล้วเขามาที่นี่เพื่อทำอะไร
ในช่วงเวลานี้หลายคนที่อยู่ในห้องนั่งเล่นต่างเงียบลงเพราะพวกเขาเดาได้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ง่าย
หลังจากนั้นไม่นานจี้เจิ้นกั๋วก็ยิ้มเล็กน้อยเขาโบกมือและเปลี่ยนเรื่องคุย “ยังหนุ่มยังแน่นมัวมาคุยเรื่องอะไรกันหลังจากที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของฉัน ฉันจัดการเองได้!”
จี้เฟิงพยักหน้าเขาเชื่อว่าคนที่สามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคได้คงไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้ง่ายๆอย่างแน่นอน แต่ที่เกิดเหตุการณ์ในวันนี้ขึ้นนั่นเป็นเพราะจี้ช่าวตงถูกหลอกใช้ประโยชน์จากความกตัญญูของเขา ถ้าไม่นับเรื่องนี้ ใครกันที่จะสามารถจัดการกับคนระดับจี้เจิ้นกั๋วได้
“เสี่ยวเฟิงไปกันเถอะ”จี้ช่าวตงยิ้มและตบไหล่จี้เฟิงเบาๆ
จี้ช่าวเหลยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และถามว่า“ว่าแต่เสี่ยวเฟิง นายควรอยู่ในช่วงของการฝึกทหารไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงออกมาล่ะ”.ไอลีนโนเวล.
“พอดีผมได้เจอกับผู้นำที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ผมเลยโทรศัพท์หาอาสามและรบกวนอะไรเขาไปเล็กน้อย..” จี้เฟิงยิ้ม
“ฮ่าฮ่า!เยี่ยมไปเลย ตระกูลจี้ของเรามันต้องแบบนี้ ใครที่มันกล้ามาแหยมกับพวกเรามันก็ต้องโดนดีแบบนี้ล่ะ!” จี้ช่าวเหลยหัวเราะและเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ เขารีบหันกลับไปมองทางด้านหลังอย่างระมัดระวัง แต่เห็นว่าพ่อของเขากำลังพูดโทรศัพท์อยู่ จากนั้นเขาจึงหันหน้ากลับมาพร้อมกับความรู้สึกโล่งใจ
เมื่อเห็นท่าทางที่ดูตลกของจี้ช่าวเหลยจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เขารู้สึกถูกใจพี่ชายคนนี้ของเขามากจริงๆ
“เสี่ยวเฟิงพี่รองของเธอก็เป็นซะแบบนี้ ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก” จี้ช่าวตงยิ้ม “ยังไงซะช่าวหยินน้องเล็กของเรายังคงอยู่ในโรงเรียน เขาอาศัยอยู่ในหอพักในเขตของมหาวิทยาลัยดังนั้นช่วงนี้เธออาจจะยังไม่ได้เจอกับเขา”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยพี่ใหญ่เราก็ขับรถไปหาเสี่ยวหยินที่โรงเรียนเลยสิ เราจะได้แนะนำให้เขารู้จักกับเสี่ยวเฟิง เขาจะได้รู้ว่าจะมาทำเรื่องติดตลกเหมือนที่ทำกับพวกเราไม่ได้อีกต่อไป!” จี้ช่าวเหลยแนะนำ
“นายจะเล่นตลกอะไรอีก”จี้ช่าวตงถามด้วยรอยยิ้ม
“…”จี้ช่าวเหลยถึงกับสำลักเล็กน้อย ที่แก้มของเขามีสีแดงเกิดขึ้นซึ่งหาดูได้ยาก เขาแสยะยิ้มเล็กน้อยและรีบพูดว่า “ช่างเถอะ เรารีบไปหาเสี่ยวหยินกันดีกว่า ฉันจะโทรหาเสี่ยวหยินก่อน ถ้าเจ้าเด็กนี่รู้ว่าเสี่ยวเฟิงอยู่ที่นี่เขาจะต้องดีใจแน่นอน!”
จี้เฟิงพยักหน้าอันที่จริงเขาก็อยากจะพบจี้ช่าวหยินเช่นกัน เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่เขามาถึงเจียงโจวและมีปัญหาขัดแย้งกับอู๋จุ้นเจี๋ยและลูกพี่ลูกน้องของเขาอู๋เฉียน ซึ่งในเวลานั้นพวกเขาบอกว่าอู๋เฉียนนั้นเป็นเพื่อนสนิทกับจี้ช่าวหยิน
“ไปกันเถอะผมอยากเจอลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยคนนี้จะแย่แล้วล่ะ ฮะฮะ~ อ้อ ผมลืมเล่าไปตอนผมเพิ่งมาถึงเจียงโจวผมพบคนของช่าวหยินเขาอ้างว่าเป็นเพื่อนสนิทสุดๆของช่าวหยิน…” จี้เฟิงเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาได้พบเจอเกี่ยวกับเรื่องของอู๋จุ้นเจี๋ยและอู๋เฉียนด้วยรอยยิ้ม เขาอยากบอกลูกพี่ลูกน้องของเขาทั้งสองคนให้รู้ว่า จี้ช่าวหยินมีชื่อเสียงแบบไหนอยู่ข้างนอกและยังเป็นการเตือนพวกเขาเป็นนัยๆด้วยว่าชื่อเสียงของตระกูลจี้ในเจียงโจวนั้นไม่ดีเท่าไหร่และอาจจะถึงขั้นแย่มากเลยด้วยซ้ำ
หลังจากฟังเรื่องที่จี้เฟิงเล่าพี่น้องจี้ช่าวตงและจี้ช่าวเหลยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอายเล็กน้อย พวกเขามองหน้ากันและกันและยิ้มอย่างขมขื่น
“เสี่ยวเฟิงเสี่ยวหยินเขายังเด็ก อย่าไปถือสาเขาเลยนะ..” จี้ช่าวเหลยยิ้มอย่างขมขื่น “จริงๆแล้วอาสองของนายก็ปวดหัวกับเจ้าเด็กนี่อยู่ไม่ใช่น้อย หลังจากที่อาสองต้องเหนื่อยกับการจัดการเจ้าเด็กนี่ไปหลายเรื่อง เขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่”
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า“อืม.. ถ้าพวกพี่มอบเขาให้กับผม ผมสามารถทำให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นได้”
เมื่อเห็นแสงเย็นในดวงตาของจี้เฟิงจี้ช่าวเหลยก็ตกใจ “ไม่เป็นไรๆ เสี่ยวเฟิง นายอย่ามาปวดหัวกับเรื่องพวกนี้เลย!”
จี้เฟิงเหล่มองพี่รองของเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ“พี่ทำให้เขากลับใจด้วยท่าทีเช่นนี้ได้งั้นหรือ”
จี้ช่าวตงและจี้ช่าวเหลยรู้สึกอายเล็กน้อยอันที่จริงจี้เจิ้นกั๋วพ่อของเขาเข้มงวดกับลูกๆทั้งสามคนของเขามากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกชายคนเล็ก จี้ช่าวหยิน แต่เนื่องจากพี่ชายทั้งสองจี้ช่าวตงและจี้ช่าวเหลยนั้นรักน้องเล็กของพวกเขามาก ดังนั้นเมื่อเวลาน้องชายถูกลงโทษ พวกเขาก็จะเป็นคนที่คอยปกป้องน้องชาย ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้จี้ช่าวหยินกลายเป็นคนเสียนิสัย
“เสี่ยวเฟิงเธอต้องการจะทำอะไร” จี้ช่าวตงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น นอกจากนี้เขายังกลัวว่าถ้าจี้ช่าวหยินถูกตามใจและได้รับอนุญาตให้มีอำนาจมากไปกว่านี้ต่อไปมันจะไม่เป็นผลดีกับเขาอย่างแน่นอน เขาจะกลายเป็นลูกคนรวยที่ไม่เอาอ่าว ดีแต่เกเรเสเพลไปวันๆ และเมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเป็น จี้เจิ้นกั๋ว หรือจี้เจิ้นหัวหรือแม้แต่ชายชราผู้นำของตระกูลจี้ พวกเขาจะไม่มีทางยอมให้เด็กเกเรปรากฏตัวในฐานะลูกหลานตระกูลจี้อย่างเด็ดขาด
จี้เฟิงยิ้มและกล่าวว่า“ผมคิดว่า อย่างแรกเลยเราต้องส่งจี้ช่าวหยินไปฝึกฝนที่กองทัพโดยตรง ถูกอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวดซักครึ่งปีแล้วค่อยให้เขากลับมาเรียนหนังสือต่อที่โรงเรียน ผมเชื่อว่าภายใต้การจัดการของอาสามเขาจะได้รับการดูแลที่ “พิเศษที่สุด” อย่างแน่นอน แต่ถ้าภายในครึ่งปีเขายังเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ก็เพิ่มเป็นหนึ่งปีหรือไม่ก็สองปีไปเลย ไม่ว่ายังไงที่กองทัพก็คงจะยินดีต้อนรับและเป็นที่ที่ผู้คนสามารถออกกำลังกายได้ดีที่สุด!”
รอยยิ้มอันขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจี้ช่าวตงและจี้ช่าวเหลยทันทีแต่ในขณะที่พวกเขายังยิ้มไม่ได้เต็มที่จี้เฟิงก็พูดขึ้นอีกครั้ง “แต่วิธีที่สองนั้นง่ายกว่านี้อีก เอาเป็นว่าถ้าในอนาคตผมเห็นจี้ช่าวหยินทำสิ่งที่ไม่ดีอีกครั้ง พวกพี่ทั้งสองคนก็อย่าคิดที่จะปกป้องเขาอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าผมจะทำอะไร ผมจะเป็นคนฝึกฝนด้วยมือของผมเอง ผมเชื่อว่าภายในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนเขาต้องเปลี่ยนนิสัยเกเรเอาแต่ใจของเขาได้อย่างแน่นอน!”