The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 158 เทคนิคลับ?
จี้เฟิงที่กำลังรวบรวมสมาธิและตั้งสติก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเขาจะดูดซับหมอกเหมือนอย่างที่ร่างโปร่งใสทำได้อย่างไร เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ารอบตัวเขานั้นมีหมอกอย่างที่ว่าหรือเปล่า แล้วนับประสาอะไรกับการดูดซับ!
“ช่างมันก่อนแล้วกัน!”จี้เฟิงคิดในใจ เขาจึงตัดสินใจที่จะลองนั่งเฉยๆตามร่างโปร่งใสโดยไม่ต้องคิดอะไร เท่าที่จำได้เขาเคยเห็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในทีวี นั่งท่านี้แล้วหลับตา ดังนั้นจี้เฟิงจึงกัดฟันและหลับตาลงเล็กน้อย เขาพยายามสงบสติอารมณ์ให้ได้มากที่สุด เท่าที่เขารู้มา ถ้าจิตใจไม่สงบขณะทำเช่นนี้อาจเกิดปัญหากับตัวเองได้ แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาจะทำให้หมอกมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
อย่างไรก็ตามทันทีที่จี้เฟิงหลับตาลงเขาก็รู้สึกถึงไอเย็นที่อยู่รอบๆตัว เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจตอนนี้เป็นเดือนกันยายนซึ่งอยู่ในช่วงที่อากาศร้อน “ฉันจะรู้สึกเย็นสบายได้อย่างไร ที่ห้องของหอพักก็ไม่ได้ติดแอร์ซักหน่อย”
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้หรือนี่เป็นผลมาจากหมอก
เมื่อเกิดความว้าวุ่นขึ้นในจิตใจของจี้เฟิงความรู้สึกเย็นๆเมื่อครู่ก็หายวับไปทันที
เขาตั้งสมาธิอีกครั้งอย่างรวดเร็วและความรู้สึกเย็นๆก็กลับมา
“มันได้ผล!”จี้เฟิงแอบดีใจ ดูเหมือนว่าการทำแบบนี้จะได้ผลจริงๆ จี้เฟิงเริ่มเชื่อว่าสมองไม่ได้กลายเป็นบ้าหรือระบบเออเร่อแต่อย่างใด สมองหมายเลข 1 ยังคงเป็นปัญญาประดิษฐ์อันชาญฉลาดอยู่เหมือนเดิม
ความรู้สึกเย็นนั้นค่อยๆกระจายไปทั่วร่างกายและจี้เฟิงก็รู้สึกเหมือนกับค่อยๆจมอยู่กับความรู้สึกนั้น
แต่สมองหมายเลข1 ไม่ปล่อยให้จี้เฟิงได้เพลิดเพลินและสนุกกับความรู้สึกใหม่นี้ได้นานนัก จู่ๆเสียงของสมองหมายเลข 1 ก็ดังขึ้นข้างๆหูของจี้เฟิง “มาสเตอร์ ได้เวลาเรียนรู้เทคโนโลยีการสื่อสารและเครือข่ายกันแล้ว…”
………
เมื่อจี้เฟิงลืมตาในเช้าของวันรุ่งขึ้นนี่เป็นครั้งแรกที่เขาตื่นนอนหลังหกโมงเช้าหลังจากที่ได้พบกับสมองหมายเลข 1 แม้จะเป็นช่วงวันหยุดปิดเทอมฤดูร้อน แต่จี้เฟิงก็จะตื่นนอนตีห้าในทุกๆวัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเคยชินที่ได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่มัธยมปลายปีสาม
วันนี้เป็นวันที่เขาตื่นสาย
เหตุผลเป็นเพราะความรู้สึกเย็นสดชื่นมันทำให้เขานอนเพลินจนเกือบจะลืมเวลาระบบฝึกสอนของสมองมีความฉลาดมาก เขาทำให้จี้เฟิงสามารถมีสมาธิจดจ่อไปที่การเรียนรู้ได้อยู่ตลอด เป็นเพราะความรู้เหล่านั้นเป็นสิ่งใหม่ ต่อให้เขามีความสามารถด้านการจดจำแต่ถ้าเขาไม่สนใจ มันจะทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายและไม่ต้องการที่จะเรียนรู้
อย่างไรก็ตามด้วยการสอนของสมองหมายเลข1 ยังทำให้จี้เฟิงเข้าใจด้วยว่าเทคโนโลยีการสื่อสารและเครือข่ายคืออะไร และสมองหมายเลข 1 ได้บอกกับจี้เฟิงว่าเมื่อเขาเรียนรู้หลักการของเครื่องมือสื่อสารทั้งหมดอย่างเชี่ยวชาญ เขาจะสามารถสร้างเครื่องมือสื่อสารที่มีประสิทธิภาพได้อย่างรวดเร็วและดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขที่จำกัด นี่แหละคือเทคโนโลยีการสื่อสาร
ส่วนเทคโนโลยีเครือข่ายหมายถึงการครอบคลุมโดเมนทั้งหมดของมนุษย์ในกาแลคซี่แกมมานั้นเทคโนโลยีเครือข่ายได้มีการควบคุมโดยระบบที่เรียกว่าสกายเนต กล่าวคือเครือข่ายนี้ได้ถูกควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งครอบคลุมทุกประเทศในกาแลคซี่ และรหัสผ่านเพียงรหัสเดียวที่สามารถใช้เปิดคอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์นี้ได้ และชุดรหัสที่สำคัญนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกประเทศตกลงที่จะรวมรหัสผ่านทั้งหมดเข้าด้วยกันถึงจะได้รับชุดรหัสผ่านที่สมบูรณ์เพื่อเข้าไปแก้ไขโปรแกรมหรือต้องการทำงานอื่นๆ ไม่เช่นนั้นแล้วไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลในนั้น
สุดท้ายแล้วสิ่งที่สมองหมายเลข1 ได้สอนให้จี้เฟิงได้เรียนรู้ยังไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูง แต่เป็นการเริ่มต้นเรียนรู้ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานที่สุดซึ่งก็คือภาษาของเครือข่าย ตามความเข้าใจของจี้เฟิงภาษาที่ว่านี้ก็เหมือนกันกับภาษาคอมพิวเตอร์บนโลก
ความสามารถในการเปิดรับของจี้เฟิงนั้นรวดเร็วมากและความจำของเขาก็แข็งแกร่งมากเช่นเดียวกันแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง และยิ่งเขาเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเรียนรู้และทำความเข้าใจกับมันได้ช้ามากขึ้น
จี้เฟิงส่ายหัวและเลิกคิดถึงเรื่องนี้ตอนนี้อากาศร้อนมาก แม้ว่าจี้เฟิงจะสวมเพียงกางเกงในตัวเดียวแต่เขาก็ยังคงเหงื่ออก เขารีบเข้าห้องน้ำไปล้างตัวและออกมาผึ่งพัดลม
หลังจากนั้นไม่นานจี้เฟิงก็แต่งตัวเพื่อที่จะไปทานอาหารกลางวัน
เมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างของหอพักและมองไปที่โต๊ะหินหน้าหอพักหัวใจของจี้เฟิงก็เต้นรัว เขานึกถึงตอนที่ผู้ชายสองคนในม่านแสงที่สามารถต่อยภูเขาให้สั่นสะเทือนได้ด้วยหมัดเดียว และตอนนี้เขาก็ได้เริ่มการเรียนรู้ที่จะเป็นได้แบบผู้ชายสองคนนั้นแล้ว ด้วยยิมนาสติกชุดที่สองมันจะทำให้เขามีพลังแบบไหน
เขามองไปรอบๆและเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณหอพักของนักศึกษาใหม่เลยแน่นอนว่าเป็นเพราะพวกเขาต่างอยู่ในค่ายทหารและกำลังฝึกทหารกันอยู่ จี้เฟิงจึงเดินตรงไปที่โต๊ะหินหน้าหอพัก
จี้เฟิงสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆและฟาดหมัดลงไปที่ขอบของโต๊ะหิน
“ตูม!”.Aileen-novel.
เสียงหมัดกระแทกกับโต๊ะหินทำให้จี้เฟิงสะดุ้งจากนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บที่กำปั้นของเขาและอดไม่ได้ที่จะจับมือของเขาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อสายตาของเขาตกลงไปบนโต๊ะหิน ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
โต๊ะหินที่แต่เดิมมีสภาพที่สมบูรณ์ตอนนี้แตกเป็นรูขนาดครึ่งหนึ่งของกำปั้นอยู่ตรงขอบที่จี้เฟิงเพิ่งใช้หมัดของเขาฟาดลงไป
“เฮือก!”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าไปอย่างแรงและอุทานออกมา“สุดยอด!”
นี่มันใช่ผลลัพธ์จากการที่เขาฝึกยิมนาสติกชุดที่สองหรือไม่มันช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ จี้เฟิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที ทักษะพิเศษนี้มันช่างยอดเยี่ยมและทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นมาก มันดีกว่าทักษะหมากรุกเป็นไหนๆ!
เทคนิคลับ!มันต้องเป็นเทคนิคลับในศิลปะการต่อสู้อย่างแน่นอน! เมื่องมองไปที่ขอบของโต๊ะหินที่แตกหัก จี้เฟิงก็รู้สึกมีความสุขมากจนคิดไปเรื่อยเปื่อยว่าถ้านี่ไม่ใช่เรื่องตลก ก็คงจะเป็นความสามารถของมนุษย์ที่ดัดแปลงพันธุกรรมมาอย่างในภาพยนตร์หรืออาจจะเป็นเพราะได้ยาอายุวัฒนะชนิดใดมาช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย เพราะนอกเหนือจากนี้จี้เฟิงก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าใครจะสามารถมีพลังที่มากขนาดนี้ได้ในชั่วข้ามคืน
แน่นอนว่าหากเป็นเมื่อวานนี้ การทำลายอิฐด้วยหมัดเพียงหมัดเดียวมันก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับจี้เฟิง หรือแม้กระทั่งวางอิฐบนพื้นดินสักสามสี่ก้อนซ้อนกัน จี้เฟิงก็ยังคงสามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดายอยู่ดี แต่นั่นเป็นเพราะอิฐนั้นมีความเปราะมากกว่าเมื่อเทียบกับหิน เพราะโดยพื้นฐานแล้วหินกับอิฐมีความแตกต่างกันมาก
แต่ตอนนี้จี้เฟิงสามารถทำลายหินจนเป็นรูได้!
ซึ่งหมายความว่าหากจี้เฟิงดันไปต่อยใครเข้าในตอนนี้บวกกับเขาที่มีความรู้ด้านโครงสร้างร่างกายมนุษย์เป็นอย่างดี เว้นเสียแต่ว่าร่างกายของฝ่ายตรงข้ามจะแข็งกว่าหิน ไม่เช่นนั้นก็คงจะมีสภาพไม่ต่างจากโต๊ะหินตัวนี้
จี้เฟิงมองไปที่หมัดทั้งสองของตัวเองและคิดอย่างโง่ๆ“นี่มันแทบจะเรียกได้ว่าอาวุธมากกว่าหมัดธรรมดา มันมีพลังมากกว่าค้อนสองอันเสียอีก!”
พลังของยิมนาสติกชุดที่สองที่เพิ่งได้เรียนรู้จากสมองมันคืออะไรกันแน่มันทำให้เขามีพลังที่แข็งแกร่งราวกับเวทมนตร์เช่นนี้ได้อย่างไร หรือมันจะเป็นเทคนิคลับของศิลปะการต่อสู้ในตำนานอย่างที่เขาเคยเห็นในทีวี?
เกี่ยวกับคำถามนี้มันทำให้จี้เฟิงรู้สึกข้องใจมากเขาอยากจะรู้คำตอบให้แน่ชัดซะเดี๋ยวนี้ แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่ชั้นล่างของหอพักและมันค่อนข้างจะไม่สะดวก จี้เฟิงจึงเลิกสนใจเรื่องนี้ชั่วคราว เขาตัดสินใจว่าเขากลับมาจากที่ไปทานมื้อกลางวัน เขาจะต้องถามสมองหมายเลข 1 ในเรื่องนี้ให้เข้าใจ มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีนักถ้าไม่รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ตัวเองมีพลังเพิ่มขึ้นมากแบบนี้ในชั่วคืนมันคืออะไรกันแน่ แล้วถ้าหากเขาเรียนรู้ต่อไป เขาจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดหรืออะไรแปลกๆแบบนั้นหรอกหรือ
ในตอนนี้จี้เฟิงเหมือนจะลืมไปแล้วว่าการต่อสู้ระหว่างผู้ชายสองคนของกาแลกซี่แกมมาที่เขาเห็นในม่านแสงนั้นมีพลังมากกว่าเขาหลายร้อยเท่า แต่ก็ไม่มีใครกลายเป็นสัตว์ประหลาดแบบที่เขากังวล
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้จี้เฟิงยากที่จะยอมรับเพราะสิ่งเหล่านี้มันชัดกับสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ในอดีตมากเกินไป
“ช่างมันก่อนแล้วกันหาไรกินก่อนดีกว่า!” จี้เฟิงรู้สึกหิวและอดไม่ได้ที่จะพูดกับตัวเองด้วยความดีใจ “โชคดีที่ฉันยังรู้สึกหิวมันทำให้ฉันยังดูเป็นมนุษย์ปกติ”
หากมีใครรู้ถึงความคิดของเขาในเวลานี้เข้าคงอยากจะเข้าไปฉีกทึ้งร่างกายเขาด้วยความหมั่นไส้ การมีพลังที่แข็งแกร่งมันไม่ใช่เรื่องดีหรืออย่างไร ทำไมยังจะต้องไปกังวลเรื่องเล็กๆน้อยๆอีก?
ความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จี้เฟิงจะรู้สึกเป็นกังวลหากเขาได้พบกับคัมภีร์ลับที่เป็นวิชาต่อสู้ในถ้ำหรือในสถานที่อื่นๆที่มันถูกซ่อนอยู่บนโลก เขาจะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยและจะเริ่มฝึกฝนมันทันทีโดยไร้ความกังวล แต่นี่คือสมองหมายเลข 1 เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่มาจากต่างดาว และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่ามนุษย์ในกาแลคซี่แกมมานั้นจะเหมือนกับมนุษย์บนโลกหรือเปล่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจี้เฟิงนึกถึงมนุษย์ต่างดาวที่น่าเกลียดในภาพยนตร์มันก็ทำให้เขาถึงกับขนลุกและยังไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้มีปัญญาประดิษฐ์ที่เป็นมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่ในร่างกายของเขา หากเขายังฝึกฝนต่อไปมันจะไม่ทำให้เขากลายร่างเป็นมนุษย์ต่างดาว
จี้เฟิงหายใจเร็วขึ้นเมื่อคิดว่าเขาอาจจะกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวที่น่าเกลียด
อย่างไรก็ตามเมื่อจี้เฟิงนึกถึงเทคโนโลยีขั้นสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งวีดิโอม่านแสงที่ถูกฉายออกมาได้สมจริง มันก็ทำให้เขาเปลี่ยนความรู้สึก
จี้เฟิงกัดฟันแล้วพูดขึ้นว่า“ช่างมัน! ถ้าฉันจะกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวน่าเกลียดแล้วสามารถทำม่านแสงที่ฉายภาพสมจริงแบบนั้นได้ เอาเป็นว่าเรียนรู้เรื่องนี้ให้ดีก่อนอย่างอื่นจะเป็นยังไงค่อยว่ากัน!”
หลังจากที่จี้เฟิงตัดสินใจเช่นนี้เขาก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากเขาเดินไปที่โรงอาหารอย่างรวดเร็วและในเวลาเดียวกันก็ตัดสินใจว่าเมื่อเขากลับไปถึงห้องเขาต้องถามสมองหมายเลข 1 ให้เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเขาถึงมีพลังมากขนาดนี้ ข้อดีข้อเสียในเรื่องนี้เป็นอย่างไรและมีอะไรบ้าง ถ้าเขาไม่ถามเรื่องนี้ให้ชัดเจน เขาจะรู้สึกเหมือนว่าเข้าห้องน้ำแล้วยังไม่ได้เช็ดก้น!
ระยะทางระหว่างหอพักและโรงอาหารไม่ไกลมากหอพักนักศึกษา, อาคารเรียน, โรงอาหาร ถูกจัดเรียงเหมือนอักษรจีนว่าคำว่า 品 ทั้งหมดนี้น่าจะถูกออกแบบเพื่ออำนวยความสะดวกในการรับประทานอาหารของนักศึกษา
แต่เมื่อจี้เฟิงเดินมาถึงโรงอาหารเขาก็พบว่าเขาไม่มีบัตรรับประทานอาหาร.. . เขารู้สึกอยากจะร้องไห้แม้จะไม่มีน้ำตาไหลออกมาก็ตาม เขาถามป้าคนหนึ่งว่า “ป้าครับ ผมสามารถซื้ออาหารด้วยเงินสดได้หรือเปล่าครับ”
“ที่โรงอาหารจะไม่รับเงินสดจะรับเป็นบัตรเพียงอย่างเดียวเท่านั้น” ป้าที่ดูแลความเรียบร้อยของโรงอาหารมองไปที่จี้เฟิงราวกับว่าเธอกำลังมองดูเรื่องตลก
จี้เฟิงรู้สึกผิดหวังและแปลกใจมากที่ไม่สามารถใช้เงินที่นี่ได้
เขาไม่อยากออกไปข้างนอกและกินข้าวคนเดียวหลังจากคิดแบบนั้นเขาก็เดินไปที่ร้านค้าข้างๆโรงอาหารเพื่อซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองสามถุงและน้ำแร่อีกสองขวด เขาวางแผนที่จะกลับไปที่หอพักเพื่อต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน
หลังจากซื้อเสร็จจี้เฟิงก็คิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็หันกลับไปที่โรงอาหารและถามคุณป้าคนเมื่อกี้ว่า “ป้าครับ ผมต้องทำยังไงบ้างหากต้องการบัตรรับประทานอาหารที่โรงอาหาร”
ป้าเหลือบมองไปที่จี้เฟิงด้วยหางตาแล้วพูดอย่างไม่ค่อยพอใจว่า“เอาบัตรประจำตัวประชาชนและรหัสนักศึกษามาสมัครที่นี่!”
จี้เฟิงได้แต่พยักหน้ารับเขารู้ว่าเขายังไม่สามารถทำบัตรรับประทานอาหารได้ในตอนนี้เพราะเขายังไม่มีรหัสนักศึกษา ว่ากันว่าเขาจะต้องรอจนกว่าจะผ่านการฝึกทหารเสร็จสิ้นถึงจะได้รหัสนักศึกษา ไม่น่าแปลกใจที่นักศึกษาต้องได้รับการฝึกทหารเป็นเวลาหนึ่งเดือน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการฝึกทหารเท่านั้น ไหนจะเรื่องของเวลาในการยื่นขอเอกสารต่างๆอีกด้วย บางทีอาจมีงานอีกเยอะให้เขาต้องจัดการ..
เนื่องจากจี้เฟิงเพิ่งเข้าร่วมการฝึกทหารเพียงสัปดาห์เดียวและตอนนี้เขาได้กลับมาที่มหาวิทยาลัยจึงกล่าวได้ว่าเขาไม่มีเอกสารใดๆเลยที่ยืนยันตัวตนว่าเขาเป็นนักศึกษา เขามีเพียงแค่บัตรประจำตัวประชาชนและกุญแจหอพักเท่านั้น
ยังไม่สามารถสมัครบัตรรับประทานอาหารได้ในตอนนี้…
ลืมไปก่อนก็แล้วกัน!
จี้เฟิงส่ายหัวและหันหน้าไปทางอื่น
เมื่อกลับมาที่หอพักจี้เฟิงก็กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและดื่มน้ำแร่อีกสองแก้วแล้ววางไว้บนโต๊ะต้องบอกว่าน้ำแร่นี้.. ตอนที่เอาออกมาจากตู้เย็นใหม่ๆและดื่ม มันไม่ได้มีรสชาติมากแค่รู้สึกเย็นสบาย อย่างไรก็ตามเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแร่ในขวดเริ่มมีกลิ่นแปลกๆ จี้เฟิงไม่อยากจะนึกว่านี่คือสิ่งที่ผ่านการกรองมามากกว่าสิบชั้น หรือความจริงแล้วมันเป็นเพียงแค่น้ำแร่ที่มาจากแหล่งโดยตรงโดยที่ยังไม่ผ่านการกรองกันแน่!
อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม..จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้มอย่างประชดประชัน จากนั้นเขาก็โยนขวดน้ำแร่ที่เหลือทิ้งลงถังขยะ
สิ่งเหล่านี้อาจเลวร้ายยิ่งกว่าขยะ
จี้เฟิงคิดถึงอาหารที่บ้านเกิดนั่นคืออาหารปลอดสารที่แท้จริง วันหนึ่งในอนาคตหากเขามีเวลาเขาจะกลับไปที่หมางซือและสร้างสวนขนาดใหญ่เพื่อเพาะปลูก และเขาจะได้กินอาหารที่เขาปลูกเองมันถึงจะทำให้เขารู้สึกมั่นใจได้จริงๆ
ลืมไปซะดีกว่าฉันไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้นอีกแล้ว! จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย ตอนนี้มีสิ่งที่เขาต้องทำคือถามสมองหมายเลข 1 ว่ายิมนาสติกชุดที่สองที่เขาฝึกมันคืออะไรกันแน่!