The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 172 จางเหว่ยผู้รู้งาน
“หยุด!”
เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงและถงเล่ยยังซุบซิบคุยกันอย่างหวานหยดย้อยโดยไม่สนใจเขาเลยแม้แต่นิดเดียวจางเหว่ยก็พูดเสียงดัง “ตอนนี้การฝึกทหารและการฝึกซ้อมครั้งสุดท้ายยังไม่จบและกำลังจะเริ่มขึ้น แต่นายกลับพาถงเล่ยที่เป็นคนในทีมของเขาออกไปแบบนี้ นั่นก็หมายความว่านายไม่เห็นความสำคัญของกฎระเบียบในค่ายทหารแห่งนี้เลยใช่หรือไม่”
“ไปไหนก็ไปป่ะอย่ามายุ่งกับฉัน!” ใบหน้าของจี้เฟิงดุดันขึ้นทันที จี้เฟิงรู้ว่าจางเหว่ยไม่พอใจและไม่รู้จะหยุดพวกเขาได้อย่างไรจึงหยิบหยกเรื่องระเบียบวินัยมาอ้าง!
“นาย..!”จางเหว่ยถึงกับหน้าตึง “เพื่อนยากนายเป็นคนแรกที่กล้าไล่ฉันแบบนี้!”
“เหอะ!ใครเพื่อนคุณ!” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ แต่ในขณะนั้นถงเล่ยก็ดึงแขนเขาไว้เป็นเชิงห้าม
“นายรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร”จางเหว่ยเดินตามไปสามสี่ก้าวเพื่อหยุดทั้งสองคนไว้และถามอย่างหยิ่งผยอง
“โอ้”จี้เฟิงเริ่มรู้สึกสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาเล็กน้อย เขารู้แล้วว่าถ้าวันนี้ไม่จัดการเรื่องนี้ให้ดี ในอนาคตถงเล่ยคงจะไม่ได้อยู่ในแผนกภาษาต่างประเทศอย่างสงบสุขแน่นอน ในเมื่อเป็นแบบนี้เขาคงต้องจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จเรียบร้อยในทีเดียว
“ฉันชักอยากจะรู้แล้วล่ะว่าคุณเป็นใคร”จี้เฟิงถามเสียงเรียบ
“นายรู้จักฮั่นกรุ๊ปมั้ยล่ะพ่อฉันเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของฮั่นกรุ๊ป ดังนั้นไม่มีอะไรที่ฉันจะทำไม่ได้ในเจียงโจว แล้วนับประสาอะไรกับคนที่มันกล้ากวนตีนฉัน!” จางเหว่ยกล่างอย่างภาคภูมิใจ
“กล้าพูดอย่างไม่อายปาก!”จี้เฟิงยิ้มเยาะ แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้และถามว่า “ฮั่นกรุ๊ป ที่นายพูด..นายหมายถึงฮั่นกรุ๊ปไหน?”
“อะไรกันเด็กน้อยนายไม่รู้จักฮั่นกรุ๊ปเหรอ” จางเหว่ยถามด้วยน้ำเสียงดูถูก “แม้แต่ฮั่นกรุ๊ปก็ยังไม่รู้จัก ช่างไม่เจียมตัวเองเลยจริงๆ นายไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอจะคบกับถงเล่ยเลยแม้แต่น้อย ฉันจะบอกให้เอาบุญนะ ฮั่นกรุ๊ปเป็นบริษัทสิ่งทอที่มีชื่อเสียงเป็นอับดับหนึ่งในเจียงโจว!”
“อ้อ..มันเป็นแบบนี้นี่เอง” จู่ๆใบหน้าของจี้เฟิงกลับมีรอยยิ้ม “งั้นก็หมายความว่านายต้องรู้จักกับฮั่นจงสินะ”
“ใครนะ”จางเหว่ยผงะ
“ฮั่นจง”จี้เฟิงพูดอย่างนิ่งๆ “เขาเป็นเพื่อนของฉัน”
ใบหน้าของจางเหว่ยบิดเบี้ยวขึ้นทันที“นายอย่ามาโกหกฉัน คนอย่างนายจะไปรู้จักกับฮั่นจงได้ยังไง!”
“ฉันพูดเรื่องจริง!ฉันกับเขาเป็นเพื่อนกัน” จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดโทรออกหาฮั่นจง แต่ไม่มีใครรับสาย เขาจึงนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้มันใกล้ถึงเวลาฝึกซ้อมทหารแล้ว มันจึงมีความเป็นไปได้ว่าฮั่นจงอาจจะไม่ได้พกโทรศัพท์มือถือมาด้วย
เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงทำเป็นโทรศัพท์และสุดท้ายก็ไม่มีใครรับสายจางเหว่ยก็หัวเราะ“ฮ่าฮ่าฮ่า! นายนี่กล้าดีนะ แกล้งทำตัวเป็นคนใหญ่คนโตโกหกตอแหลว่าเป็นเพื่อนกับนายน้อยฮั่น!”
จี้เฟิงขี้เกียจเกินไปที่จะมายืนเถียงกับจางเหว่ยหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็กดโทรออกไปยังหมายเลขของตู้เส้าเฟิง แม้ว่านักศึกษาคนอื่นๆจะไม่สามารถนำโทรศัพท์มือถือมาได้ แต่ในฐานะหัวหน้าทีมนั้นมีความเป็นไปได้ว่าตู้เส้าเฟิงจะสามารถพกโทรศัพท์มือถือติดตัวได้
“โอ้!พี่จี้ อารมณ์ไหนถึงโทรหาฉันได้เนี่ย!” เมื่อการเชื่อมต่อสำเร็จ เสียงของตู้เส้าเฟิงก็ดังขึ้นจากปลายสายทันที
“สวัสดีเหล่าตู้ฉันรบกวนอะไรหน่อย ให้ฮั่นจงมารับสายที” จี้เฟิงบอกความต้องการของเขาทันทีและใช้คำพูดอย่างเป็นกันเอง เขาไม่จำเป็นต้องพูดจาสุภาพกับตู้เส้าเฟิงเพื่อนของเขา
“เฮ้ย!จะโกหกอะไรก็ให้มันพอประมาณหน่อย!” จางเหว่ยพูดเยาะเย้ย
หยางปิงที่อยู่ใกล้ๆมองไปที่จี้เฟิงด้วยความประหลาดใจแม้จะถูกพูดจาใส่ขนาดนี้แต่ท่าทีของจี้เฟิงยังคงสงบนิ่ง แม้จะดูหงุดหงิดเล็กน้อยแต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะแสร้งทำเป็นรู้จักกับคนใหญ่คนโตเพื่อแค่อยากจะเอาชนะจางเหว่ย หรือเขาจะถูกคนน่ารำคาญอย่างจางเหว่ยจับไต๋ได้จริงๆ
แฟนของเล่ยเล่ยเป็นใครกันแน่
“ไงเหล่าจี้มีอะไรเหรอ” ในที่สุดเสียงของฮั่นจงก็ดังขึ้นและเขาก็ถามจี้เฟิงด้วยรอยยิ้ม
“มีลูกชายของผู้ถือหุ้นบริษัทในเครือของนายคนหนึ่งชื่อว่าจางเหว่ยเขาห้ามไม่ให้ฉันพาแฟนของฉันออกไปจากที่นี่ และดูเหมือนว่าเขาจะมาวอแวกับแฟนของฉันด้วย ฉันก็มีสิทธิที่จะโทรหานายเพื่อร้องเรียนไม่ใช่เหรอ” จี้เฟิงพูดยิ้มๆ
เมื่อได้ยินจี้เฟิงพูดเช่นนี้ท่าทีของฮั่นจงที่อยู่อีกด้านหนึ่งของปลายสายก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันแน่นอนว่าเขานั้นรู้ดีว่าตัวแสบจางเหว่ยนั้นเป็นคนแบบไหน และอดไม่ได้ที่จะก่นด่าอยู่ในใจ “ไอ้ลูกหมานั่น กล้าดียังไงถึงได้ไปวอแวกับแฟนของจี้เฟิง มันต้องโง่แค่ไหนกันวะเนี่ย!”
เมื่อเขานึกถึงเส้นสายที่ใหญ่โตของจางเล่ยพี่ชายของถงเล่ยคนคนนี้มีบทบาทสำคัญที่ทำได้แม้กระทั่งสั่งย้ายผู้กำกับของสถานีตำรวจได้ด้วยการโทรศัพท์เพียงกริ๊งเดียว
“เหล่าจี้นายเอาโทรศัพท์ส่งให้ไอ้บ้านั่นหน่อย!” ฮั่นจงพยายามระงับความโกรธและบอกกับจี้เฟิง
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและยื่นโทรศัพท์ออกไปทางจางเหว่ย“คุณจาง รับสายนี้หน่อย!”
“เหอะอย่ามาอำฉันหน่อยเลย!” จางเหว่ยไม่เชื่อว่าจี้เฟิงจะรู้จักกับฮั่นจงจริงๆ เขาจึงรับสายและมองจี้เฟิงด้วยสายตาดูถูก “ไง ฉันจางเหว่ย นายเป็นใคร”
“ฉันคือฮั่นจงเดี๋ยวนี้นายกล้ามากขนาดนี้แล้วเหรอ! นายรู้ตัวรึเปล่าว่านายกำลังหาเรื่องใครอยู่!” ฮั่นจงที่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องระงับความโกรธแล้วได้ตะโกนใส่จางเหว่ยผ่านทางโทรศัพท์
เชี่ยยย!
เหงื่อเย็นๆที่ผุดขึ้นเต็มหน้าผากของจางเหว่ยค่อยๆไหลลงมาเขาจะไม่สามารถจำเสียงของฮั่นจงได้อย่างไร สีหน้าของเขาซีดเผือดอย่างมากในตอนนี้ เขามองไปที่จี้เฟิงด้วยความมึนงงสับสนและตกใจ ผู้ชายคนนี้รู้จักฮั่นจงได้ยังไง?
แม้ว่าพ่อของจางเหว่ยจะเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของฮั่นกรุ๊ปแต่ก็ยังห่างไกลหากเปรียบเทียบกับทายาทที่จะเป็นเจ้าของตัวจริงในอนาคตของฮั่นกรุ๊ปอย่างฮั่นจง หากเขาต้องใช้โอกาสนี้ในการไล่พ่อของเขาออกมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
“คุณต้องแก้ไขในเรื่องนี้จนกว่าจี้เฟิงพี่ชายของฉันจะพึงพอใจไม่เช่นนั้นนายน่าจะรู้ผลที่ตามมา!” ฮั่นจงวางสายทันทีเมื่อพูดจบ
ใบหน้าของจางเหว่ยซีดมากขึ้นไปอีกจากนั้นเขาก็ยื่นโทรศัพท์คืนให้กับจี้เฟิงด้วยมือที่สั่นเทา“พี่ใหญ่ วันนี้ฉันทำเรื่องผิดพลาดโดยไม่ทันคิดจนอาจจะทำให้พี่ใหญ่และพี่สาวถงเล่ยต้องขุ่นเคืองใจ พี่ใหญ่ให้โอกาสฉันได้แก้ไขในเรื่องนี้ได้หรือไม่” ไอรีนโนเวล
อะไรวะนั่น!
ในตอนนี้ทุกคนที่เฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยความตื่นเต้นต่างเบิกตากว้างขึ้นและมองไปที่ฉากตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ชายหนุ่มคนนี้ใช่คนเดียวกันกับจางเหว่ยผู้หยิ่งผยองและอวดดีคนนั้นหรือเปล่า
ในการฝึกทหารตลอดทั้งเดือนจางเหว่ยที่มักจะเชิดหน้าและไม่เคยเห็นหัวใครทั้งสิ้น ตอนนี้กลับเจียมเนื้อเจียมตัวนอบน้อมเพียงแค่รับโทรศัพท์จากแฟนของถงเล่ย อะไรถึงทำให้เขากลัวและเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้
จี้เฟิงยิ้มที่มุมปากอย่างผู้ที่เหนือกว่าพร้อมกับรับโทรศัพท์คืนมาและพูดว่า“ฉันจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็แล้วกัน แต่นายต้องจำไว้ให้ดีว่า ถงเล่ยเป็นแฟนของฉันและอย่าได้มายุ่งหรือทำให้เธอต้องเดือดร้อนอีก ไม่อย่างนั้นละก็… หึหึ!”
น้ำเสียงที่เย็นชาของจี้เฟิงทำให้จางเหว่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียวสันหลังวาบและตัวสั่นเล็กน้อยในตอนที่เขารับสายจากฮั่นจง ไม่เพียงแต่เขาได้ยินฮั่นจงเรียกจี้เฟิงว่าพี่ชายแล้ว แต่ดูเหมือนว่าแม้แต่ฮั่นจงก็ต้องระมัดระวังตัวพอสมควรเมื่อต้องพูดถึงผู้ชายคนนี้ เมื่อฟังจากน้ำเสียงและคำพูดของฮั่นจงทั้งหมดแล้ว จางเหว่ยก็พอจะรู้ได้ว่าแฟนของถงเล่ยคนนี้ต้องเป็นคนที่มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา
“พี่ใหญ่โปรดมั่นใจได้เลยน้องชายคนนี้จะไม่มีทางทำอะไรให้พี่สาวถงเล่ยแฟนของพี่ใหญ่ต้องไม่สบายใจอีก และยิ่งไปกว่านั้นหากในอนาคตมีใครต้องการจะมาก่อกวนเธอ ผมจะช่วยหยุดไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน!” จางเหว่ยเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วราวกับกิ้งก่าเปลี่ยนสี
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า“งั้นก็ขอบคุณมาก”
“ยินดีครับยินดีมาก!” จางเหว่ยรีบโบกมือ “ในเมื่อพี่ใหญ่เป็นเพื่อนกับนายน้อยฮั่น นั่นก็…เรื่องแค่นี้เล็กน้อยมากพี่ใหญ่ ฮ่าฮ่า!”
อันที่จริงจางเหว่ยอยากจะพูดว่าในเมื่อจี้เฟิงเป็นเพื่อนกับฮั่นจงก็เท่ากับว่าเป็นเพื่อนของเขาด้วย แต่พอเขามานึกดูดีๆ แม้แต่ฮั่นจงยังต้องใส่ใจเมื่อเป็นเรื่องของจี้เฟิง เขาไม่อยากจะเสี่ยงทำให้จี้เฟิงต้องขุ่นเคืองใจอีกครั้ง เขาจึงระมัดระวังคำพูดมากขึ้น แต่มันคงจะดีไม่น้อยหากเขาได้ใกล้ชิดหรือได้เป็นเพื่อนกับจี้เฟิง
แม้โดยปกติจางเหว่ยจะชอบอวดดีและขี้โม้อยู่บ้างแต่เขาก็เป็นคนที่สามารถมองสถานการณ์ออกได้อย่างรวดเร็วและรู้วิธีที่จะพูดให้คนฟังรู้สึกดี
จี้เฟิงโบกมือเล็กน้อยและกล่าวว่า“เรื่องนี้ฉันก็ทำให้นายต้องลำบากเหมือนกัน แต่ตอนนี้ฉันต้องขอตัวก่อน!”
และในที่สุดจี้เฟิงก็ได้พาถงเล่ยออกไปโดยไม่มีใครขัดอีก
ที่ด้านหลังของเขามีนักศึกษากลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นหญ้าต่างจ้องมองไปที่ด้านหลังของทั้งสองคนด้วยสายตาที่ว่างเปล่าและเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
แฟนของถงเล่ยใช้โทรศัพท์เพียงสายเดียวก็ทำให้จางเหว่ยตกใจกลัวและเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ในทันที!
ในตอนแรกจางเหว่ยยังคงทำตัวอวดดีและมั่นใจในอิทธิพลของครอบครัวตัวเองแต่พอรู้ว่าแฟนของถงเล่ยมีอิทธิพลที่เหนือกว่า เขาก็เปลี่ยนสีได้อย่างรวดเร็ว ทำตัวนอบน้อมประจบประแจงอย่างหน้าไม่อาย
จางเหว่ยไม่สนใจสายตาของเพื่อนนักศึกษาคนอื่นๆแม้แต่น้อยเขาคิดในใจว่าเด็กพวกนี้ที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมันจะไปรู้อะไร
หากไม่พอใจใครก็แสดงออกมาโดยตรงโดยไม่ต้องสนอะไรเรื่องแบบนี้คงทำได้เฉพาะพวกนักเรียนนักศึกษาที่ไม่เคยผ่านโลกมาเท่านั้นแหละ แต่กับคนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาต่างรู้ดีว่าควรทำตัวอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง การพยักหน้าและการโค้งคำนับน่ะเหรอ เป็นวิธีที่เด็กๆไปเลยด้วยซ้ำ! แล้วนับประสาอะไรกับแค่การพูดประจบประแจง!
ถ้าการทำเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องอึดอัดสำหรับคุณนั่นก็หมายความว่าคุณไม่ได้รู้จักวิถีชีวิตที่ต้องเอาตัวรอดเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่อาจจะมีความตายรออยู่และคุณไม่ได้รู้ถึงความยากลำบากในการเอาตัวรอดเลย
จางเหว่ยแอบดูถูกคนเหล่านี้อยู่ในใจถึงแม้คนพวกนี้จะมองฉันด้วยสายตาดูถูกแต่ชีวิตของคนพวกนี้ก็ไม่มีใครดีไปกว่าฉันเลย แค่การเสียศักดิ์ศรีเพียงเล็กน้อยมันจะทำให้ฉันได้ผูกมิตรกับคนที่มีอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ และถ้ามันเป็นไปได้ด้วยดีชีวิตในอนาคตของฉันก็มีแต่จะดียิ่งขึ้น!
แต่คนอย่างพวกคุณล่ะศักดิ์ศรีชั่วครั้งชั่วคราวมันกินแทนข้าวได้?
จางเหว่ยรู้ดีว่าเส้นทางชีวิตของเหล่านักศึกษาปกติทั่วไปก็ไม่พ้นจากการเดินย่ำต๊อกหางานไปวันๆเขาเคยไปเดินเล่นที่บริษัทในเครือของฮั่นกรุ๊ปอยู่หลายครั้ง เขามักจะพบกับนักศึกษาจบใหม่มาสมัครงานและมีมากกว่าครึ่งที่ต้องกลับไปพร้อมกับความผิดหวัง หลายคนล้มเลิกความตั้งใจที่จะหางานทำต่อไปและกลับบ้านเกิดเพื่อไปตายเอาดาบหน้า!
เมื่อมองเห็นถึงอนาคตของนักศึกษาเหล่านี้จางเหว่ยก็คิดเพียงว่าพวกเขาช่างน่าสงสาร
แน่นอนว่าจี้เฟิงไม่รู้ว่าจางเหว่ยและนักศึกษาคนอื่นๆกำลังมีความคิดเช่นไรอยู่ในหัวของพวกเขาในเวลานี้เขากำลังช่วยถงเล่ยเก็บข้าวของเครื่องใช้แพ็คใส่กระเป๋า
“จี้เฟิงฉันเป็นสมาชิกของทีมแรก แต่ฉันออกมาอย่างกะทันหัน ฉันว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่..” ในหอพักหญิงของค่ายทหาร ถงเล่ยพูดขึ้นด้วยความลังเลขณะที่เธอเก็บข้าวของส่วนตัว
“ไม่เห็นเป็นไรเลยทำไมถึงอยากกลับไปฝึกซ้อมทางการทหารอีกล่ะ” จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้ม
“ทุกอย่างมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมีจุดจบเสมอ!”ถงเล่ยตอบพร้อมกับมุ่ยปากเล็กๆของเธอ ช่างดูน่ารักมาก
“ฮ่าๆ!”เมื่อมองไปที่ท่าทางที่น่ารักของเธอ จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าและยิ้มด้วยความเอ็นดู “งั้นขอฉันโทรถามอะไรซักหน่อยก่อนแล้วกัน!”
จี้เฟิงคุยโทรศัพท์ไม่นานเขาก็วางสายและหันมาพูดกับถงเล่ยว่า“โอเค!” จี้เฟิงจับหูกระเป๋าที่บรรจุของใช้ในชีวิตประจำวันและของอื่นๆของถงเล่ยและพาดมันไว้บนไหล่ของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันเพิ่งกล่าวทักทายกับผู้นำการฝึกทหารของเธอ เนื่องจากทีมของเธอเป็นทีมแรก ฉันจะให้เธอกลับไปจัดการให้เรียบร้อย แล้วเราก็สามารถออกไปได้เลยหลังจากที่เธอฝึกเสร็จ!”
แบบฝึกหัดที่เรียกว่าการฝึกทหารจะนำมาปฏิบัติจริงในวันสุดท้ายของการฝึก จะเริ่มจากการตั้งแถวเป็นสี่เหลี่ยมโดยแบ่งเป็นแต่ละทีมและเดินไปตามสนามอย่างเป็นระเบียบ โดยมีขั้นตอนต่างๆระหว่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นการแปรแถวเป็นรูปวงกลม หรือเดินไปแปรแถวเป็นรูปแบบอื่นๆอย่างพร้อมเพียงขณะเดินไปข้างหน้า
แผนกภาษาต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาหญิงครูฝึกที่รับผิดชอบการฝึกทหารของทีมนี้จึงกำหนดให้ผู้หญิงอยู่แถวหน้าและเป็นทีมในลำดับแรกๆ แน่นอนว่ามันช่วยเพิ่มทัศนียภาพที่สวยงามทำให้น่ามองมากยิ่งขึ้น!
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วจี้เฟิงก็ถืออุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆของถงเล่ยและไปส่งเธอที่ทีมฝึกทหารจากนั้นจี้เฟิงก็นั่งลงที่พื้นสนามหญ้าใต้ต้นไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลเพื่อรอให้ถงเล่ยฝึกทหารเสร็จแล้วกลับไปด้วยกัน