The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 181 ดื้อรั้น
“สิ่งที่เรียกว่าเทคโนโลยีเครือข่ายของกาแล็กซีแกมมานั้นแตกต่างจากเทคโนโลยีเครือข่ายของดาวโลกที่มาสเตอร์อยู่เทคโนโลยีเครือข่ายนี้จะถูกเรียกว่าคอสมิกเน็ตเวิร์กซึ่งถือว่าครอบคลุมเครือข่ายในกาแล็กซีแกมมาทั้งหมด และมันจะถูกรวบรวมเป็นหนึ่งเดียวกันโดยจะมีซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ล้ำหน้าด้านเทคโนโลยีและทรงพลังมากที่สุดในกาแล็กซีแกมมาที่เป็นคอมพิวเตอร์ส่วนกลางควบคุมอยู่”
ในความคิดของจี้เฟิงเวลานี้เขากำลังประมวลผลในสิ่งที่สมองหมายเลข 1 กำลังอธิบายให้เขาฟังอย่างฉะฉานเกี่ยวกับเทคโนโลยีเครือข่ายในยุคของกาแล็กซีแกมมา ข้อดีของเทคโนโลยีเครือข่ายของกาแล็กซีแกมมาที่ถูกเรียกว่าคอสมิกเน็ตเวิร์กนั้นก็คือมันสามารถแบ่งปันข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางมากที่สุดในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
แต่คนทั่วไปไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับขั้นตอนในนั้นได้เนื่องจากตามกฎข้อบังคับร่วมกันของทุกประเทศ หากคุณต้องการจะเปลี่ยนแปลงข้อมูลของซุปเปอร์คอมพิวเตอร์คุณจะต้องมีลายนิ้วมือของผู้นำสูงสุดของทุกประเทศในกาแล็กซีแกมมาทั้งหมดเพื่อเป็นกุญแจในการปลดล็อกซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ และต้องมีความเห็นชอบมากกว่าครึ่งเท่านั้นถึงจะสามารถปรับเปลี่ยนข้อมูลและระบบต่างๆในซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งเป็นมาตรการการป้องกันและหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่คอสมิกเน็ตเวิร์กจะถูกควบคุมโดยคนคนเดียวหรือเพียงแค่บางประเทศเท่านั้น ดังนั้นคอสมิกเน็ตเวิร์กของกาแล็กซีแกมมาจึงเป็นเครือข่ายที่ปลอดภัยที่สุดในกาแล็กซีแกมมา เพราะทุกคนต่างต้องใช้ประโยชน์จากมันและมันไม่สามารถถูกทำลายได้ด้วยคนเพียงคนเดียวหรือประเทศเพียงประเทศเดียว
“ในเมื่อทุกคนก็สามารถใช้ประโยชน์จากคอสมิกเน็ตเวิร์กได้ในระดับหนึ่งแล้วทำไมถึงยังมีสงครามเกิดขึ้น ทั้งๆที่ทั้งสองฝ่ายที่ทำสงครามกันก็น่าจะรู้ว่า ชนะไปก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงหรือได้ข้อมูลอะไรจากในคอสมิกเน็ตเวิร์กมากไปกว่านี้” จี้เฟิงถามด้วยความสงสัย สงครามมักจะเกิดขึ้นเพื่อแย่งชิงของมีค่าและแหล่งข้อมูลข่าวสาร คนส่วนใหญ่ต่างรู้เรื่องนี้ดี แล้วในเมื่อเทคโนโลยีของกาแล็กซีแกมมานั้นล้ำหน้ามาก ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้ถึงเรื่องนี้ แล้วในเมื่อเป็นแบบนั้น ทำไมพวกเขาถึงได้ก่อสงคราม?
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการใช้คอสมิกเน็ตเวิร์ก”สมองหมายเลข 1 อธิบาย ตามข้อตกลงแต่ละประเทศในกาแล็กซีแกมมาจะมีเครือข่ายของตนเอง แม้ว่าเครือข่ายเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งของคอสมิกเน็ตเวิร์ก แต่ก็มีพื้นที่ที่เป็นของตนเองด้วย ตามคำเรียกในดาวโลกนั้นน่าจะคล้ายกับเครือข่ายท้องถิ่น”
“อธิบายที..”จี้เฟิงยังคงสับสนและไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่สามารถตำหนิเขาได้ที่เขาจะโง่เกี่ยวกับเรื่องของเทคโนโลยีเหล่านี้ มันเป็นเรื่องปกติที่มือใหม่อย่างจี้เฟิงจะไม่เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างเครือข่ายท้องถิ่นกับคอสมิกเน็ตเวิร์กที่สมองหมายเลข 1 พูดถึง
โชคดีที่แม้ว่าสมองหมายเลข1 จะมีพัฒนาการด้านอารมณ์คล้ายกับมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ยังไม่ได้ถึงกับมีอารมณ์หมดความอดทน สมองหมายเลข 1 ยังคงอธิบายต่อ “หมายความว่าทุกประเทศในกาแล็กซีแกมมาได้รับการอนุญาตและเห็นชอบจากเหล่าผู้นำสูงสุดให้มีพื้นที่เครือข่ายที่เป็นส่วนตัวของแต่ละประเทศ ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นก็มีความแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ และถ้าหากต้องการใช้ข้อมูลเหล่านี้จะต้องขอรับรหัสผ่านจากผู้นำสูงสุดเท่านั้น และมีบางคนหรือบางประเทศอยากได้ข้อมูลมากกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นวิธีการเดียวที่พวกเขาจะได้มันมานั่นก็คือต้องไปขโมยรหัสผ่านมาให้ได้!”
จู่ๆจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอายเล็กน้อยดูเหมือนว่าความรู้เกี่ยวกับด้านเทคโนโลยีของกาแล็กซีแกมมานั้นทำให้เขาดูเหมือนคนโง่ไปเลย หรือเป็นเพราะสมองของเขายังไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่มากพอ เขาไม่เคยคิดในแง่มุมนี้มาก่อนเลย มันทำให้เขารู้สึกอัดอัดและการตอบสนองบางอย่างก็ช้าลง
(ผู้แปล:จี้เฟิง… เราขอใช้ท่อนนี้เป็นคำพูดจากใจของเราด้วยคนนะ T-T ~)
“ความรู้ความเข้าใจเทคโนโลยีเครือข่ายของกาแล็กซีแกมมามีส่วนเกี่ยวข้องกับความรู้พื้นฐานของเทคโนโลยีการสื่อสารที่มาสเตอร์ได้เรียนรู้ไปบ้างแล้วดังนั้นตอนนี้มาสเตอร์สามารถเรียนรู้เทคโนโลยีการสื่อสารขั้นต่อไปพร้อมกับเรียนรู้พื้นฐานของเทคโนโลยีเครือข่ายได้เลย” สมองหมายเลข 1 กล่าว
จี้เฟิงพยักหน้าอย่างช้าๆ“ให้เรียนรู้ทั้งสองอย่างพร้อมๆกันมันจะไม่ยากเกินไปหน่อยเหรอ จับปลาสองมือแบบนี้ฉันกลัวว่าสุดท้ายมันจะไม่ได้อะไรเลยนะ!”
ความกังวลของจี้เฟิงไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลเป็นเพราะเขารู้ถึงข้อดีและข้อเสียของตัวเองเป็นอย่างดี ข้อดีคือเขาเป็นคนที่มีความจำที่ยอดเยี่ยมและมีความสามารถในการทำความเข้าใจได้ดี แต่ข้อเสียของเขาในเวลานี้ก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่า เขาไม่มีพื้นฐานในด้านนี้เลย และถึงแม้ว่าเขาจะมีความสามารถในการทำความเข้าใจได้ดี แต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องยากอยู่ดีที่จะเรียนรู้เรื่องใหม่ทั้งสองอย่างพร้อมๆกัน
จี้เฟิงไม่คิดที่จะหลอกตัวเองหรือทำเรื่องนี้แบบข้อไปทีเพราะนี้ไม่ใช่การศึกษาที่มุ่งเน้นแค่ผลสอบ แต่มันเป็นสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ หากเขาไม่ใส่ใจและคิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องตลก วันหนึ่งชีวิตเขาก็จะกลายเป็นเรื่องตลกเสียเอง!
“เมื่อตัดสินจากความสามารถในการจดจำและการทำความเข้าใจของมาสเตอร์ในเวลานี้การเรียนรู้เทคโนโลยีทั้งสองด้านนี้ในเวลาเดียวกันนั้นไม่ยากเกินไป เพราะเทคโนโลยีทั้งสองมีความเชื่อมโยงกัน มาสเตอร์ได้เรียนรู้พื้นฐานของเทคโนโลยีการสื่อสารไปแล้วและหลังจากนี้หากมาสเตอร์เรียนรู้เทคโนโลยีเครือข่าย มาสเตอร์จะได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว” สมองหมายเลข 1 อธิบาย
“ถ้าอย่างนั้นก็..ตกลง! เรียนก็เรียน!” จี้เฟิงกัดฟัน การเรียนรู้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะถ้าหากเขาต้องการเป็นสุดยอดสายลับระดับสูงเหมือนอย่างบุคคลที่เขาเคยเห็นในม่านแสงแล้วเขาไม่สามารถอดทนต่อความทุกข์ทรมานแค่นี้ได้ ก็เลิกพูดถึงเรื่องการเป็นสายลับระดับสูงไปได้เลย เพราะเกรงว่าแม้แต่สายลับระดับล่างก็คงจะเป็นไม่ได้ด้วยซ้ำ!
“เอาล่ะมาสเตอร์จากนี้ไปมาสเตอร์จะได้เรียนรู้พื้นฐานของเทคโนโลยีการสื่อสารและเครือข่ายทั้งหมด…” ในขณะที่จี้เฟิงนั่งขัดสมาธิที่เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติการยิมนาสติกชุดที่สองสมองหมายเลข 1 ก็เริ่มอธิบาย
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็วจี้เฟิงซึ่งขะมักเขม้นอยู่กับการเรียนรู้ไม่ทันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเวลา จนกระทั่งสมองหมายเลข 1 เตือนเขา
“มาสเตอร์ที่โลกภายนอกมีสัญญาณโทรศัพท์ของมาสเตอร์”สมองหมายเลข 1 กล่าว
“หืม”จี้เฟิงชะงัก สัญญาณโทรศัพท์? มีคนโทรมา?
จี้เฟิงออกจากจิตใต้สำนึกทันทีจากนั้นเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ปรากฏว่าเป็นสายของเซียวหยูซวนที่โทรมา
เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าจี้เฟิงแปลกใจ เพราะโดยปกติแล้วเซียวหยูซวนจะไม่โทรหาเขาติดๆกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
เขารีบรับโทรศัพท์ทันที“หยูซวน มีเรื่องอะไรหรือเปล่า
แล้วเสียงที่ดูร้อนลนของเซียวหยูซวนก็ดังขึ้น“จี้เฟิง แย่แล้ว! เสี่ยวหลิงไปแข่งรถกับซุนจื่อซวงแล้ว เธอเขียนโน้ตทิ้งไว้ เราจะทำยังไงกันดี”
จี้เฟิงขมวดคิ้วทันทีเขาคิดในใจว่าหวู่หลิงเอ๋อคนนี้ช่างเป็นคนที่ดื้อรั้นและชอบรถหาที่ตายอย่างแท้จริง
ถึงแม้จี้เฟิงพอจะรู้ว่าหวู่หลิงเอ๋อเป็นคนดื้อรั้นแต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าเธอจะกล้าถึงขนาดนี้ทั้งๆที่เขาเพิ่งจะเตือนเธอไปและเขาก็พอจะรู้ว่าเซียวหยูซวนน่าจะพูดอะไรเกี่ยวกับตัวตนของเขาบ้างไม่มากก็น้อย แต่หวู่หลิงเอ๋อก็ยังไม่สนใจ เธอยังคงทำในสิ่งที่เธอต้องการโดยไม่ฟังคำเตือนใดๆทั้งสิ้น คนแบบนี้ช่างน่าสิ้นหวัง
“ไม่เห็นต้องใส่ใจในเมื่อเธอต้องการแบบนี้ก็คงไม่มีใครสามารถหยุดเธอได้หรอก ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้” จี้เฟิงพูดเสียงเรียบ “หยูซวนคุณไม่ต้องไปหาเธอนะ ได้ยินมั้ย การแข่งรถมันอันตรายโดยเฉพาะเวลากลางคืนแถมยังเป็นการแข่งรถใต้ดินที่ไม่ใช่สนามแข่งปกติอีก อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้จี้เฟิงก็นึกเสียใจเขานี่โง่จริงๆ ทำไมถึงพูดแบบนั้นออกไป ถ้าเขาไม่ได้พูดถึงอันตรายของการแข่งรถเซียวหยูซวนก็คงจะแค่เป็นห่วงและอาจจะไม่ไปหาหวู่หลิงเอ๋อ แต่ตอนนี้เซียวหยูซวนรู้แล้วว่าการแข่งรถใต้ดินมันอันตรายมาก จึงมีความเป็นไปได้สูงที่เธอน่าจะออกไปหาหวู่หลิงเอ๋อ
สำหรับนิสัยของเซียวหยูซวนทำไมจี้เฟิงถึงจะไม่รู้
“จี้เฟิงมันอันตรายมากเลยเหรอ”เสียงของเซียวหยูซวนสั่นเล็กน้อย ไม่ว่าเสี่ยวหลิงจะมีนิสัยดื้อรั้นแค่ไหน แต่สำหรับเซียวหยูซวนแล้วเสี่ยวหลิงคือเพื่อนที่ดีของเธอ เธอคงไม่อาจทนดูเสี่ยวหลิงตกอยู่ในอันตรายได้
จี้เฟิงรีบพูดขึ้นทันที“อันที่จริงมันก็ไม่อันตรายอะไรขนาดนั้นหรอก คุณน่าจะรู้ดีที่สุด หวู่หลิงเอ๋อแข่งรถมาตั้งหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอ ผมเห็นแขนขาเธอก็ยังครบปกติดี ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ตราบใดที่ไม่ดวงซวยจริงๆ อุบัติเหตุมันไม่ได้จะเกิดขึ้นกันง่ายๆ”
เซียวหยูซวนเธอไม่ใช่คนโง่เธอเข้าใจความคิดของจี้เฟิงได้ในทันทีและถามว่า “เจ้าตัวเล็กที่นายพูดแบบนั้นเพราะกลัวฉันจะไปหาเธอใช่มั้ย”
จี้เฟิงได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นและพบว่าการมีแฟนฉลาดบางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
เซียวหยูซวนกล่าวว่า“เจ้าตัวเล็กนายไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้มั้ย ฉันคงไม่สามารถอยู่เฉยๆแล้วปล่อยให้เสี่ยวหลิงตกอยู่ในอันตรายได้ ตอนอยู่วิทยาลัยฉันเคยตกอยู่ในอันตรายครั้งหนึ่ง ก็มีเสี่ยวหลิงนี่แหละที่ออกหน้าช่วยฉันให้รอด…”
มีเรื่องแบบนี้ด้วยงั้นเหรอจี้เฟิงชะงักไปเล็กน้อยเขาไม่เคยได้ยินเซียวหยูซวนพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน “อืม ตกลงผมจะไปกับคุณ เอาเป็นว่าคุณไปรอผมที่ประตูมหาวิทยาลัยแล้วกัน ผมจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
“เจ้าตัวเล็ก…ขอบคุณมากนะ” เซียวหยูซวนดีใจมากและจูบจี้เฟิงผ่านทางโทรศัพท์ “จุ๊บ~!”
จี้เฟิงกดวางสวยด้วยอาการตกตะลึงแต่จากนั้นไม่นานสีหน้าของเขาก็กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง นี่จะเป็นการตามหาหวู่หลิงเอ๋อเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขาจะไม่ช่วยเหลือเธอในการแข่งรถอย่างเด็ดขาด
หลังจากที่แต่งตัวและลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็วจี้เฟิงก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าตอนนี้ท้องฟ้านั้นมืดแล้ว
นี่ฉันอยู่ในระบบฝึกอบรมนานกว่าเจ็ดชั่วโมงเลยงั้นเหรอจี้เฟิงประหลาดใจมากจริงๆ เวลามันผ่านไปไวขนาดนี้ได้อย่างไร?
ในขณะที่คิดเขาก็เดินมาถึงประตูของมหาวิทยาลัยและมองเห็นเซียวหยูซวนกำลังเดินมาที่ประตูด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล ไอลีนโนเวล
“หยูซวน!”จี้เฟิงเดินเข้าไปหา “นั่งแท็กซี่ไปก็แล้วกัน คุณรู้หรือป่าวว่าหวู่หลิงเอ๋อแข่งรถที่ไหน”
“เมื่อกี้ฉันลองโทรหาเสี่ยวหลิงแต่เธอไม่รับสาย แต่ฉันเคยได้ยินเธอพูดถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ถ้าให้ฉันเดาเธอน่าจะอยู่ที่ถนนบนภูเขาทางที่จะไปค่ายทหาร ตามที่เสี่ยวหลิงบอก ครั้งนี้เธอจะแข่งกับซุนจื่อซวงโดยมีถนนแห่งนี้เป็นเดิมพัน ฉันจึงคิดว่าเธอน่าจะไปแข่งกันที่นั่น” เซียวหยูซวนกล่าวอย่างเป็นกังวล
“อืมงั้นเรียกแท็กซี่เลยแล้วกัน” จี้เฟิงกำลังจะเดินไปโบกแท็กซี่ที่ริมฟุตบาท
“ไม่ต้องฉันขับรถมา” เซียวหยูซวนชี้ไปที่รถวอลโว่สีแดงที่จอดอยู่หน้ามหาวิทยาลัย
จี้เฟิงนึกขึ้นมาได้ว่าฐานะครอบครัวของเซียวหยูซวนนั้นก็ไม่เลวจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะมีรถ เมื่อบ้านของเธอก็มีบริษัทและทำธุรกิจเป็นของตัวเอง
“ผมขับให้นะขอกุญแจหน่อย” จี้เฟิงยื่นมือไปรับกุญแจจากเซียวหยูซวน จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นไปบนรถ “เพื่อความปลอดภัย หยูซวนคุณอย่าลืมคาดเข็มขัด” จี้เฟิงกล่าว
เซียวหยูซวนพยักหน้ารับและปฏิบัติตามที่จี้เฟิงบอกทันที
เมื่อเห็นว่าเซียวหยูซวนคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยจี้เฟิงก็สตาร์ทรถและเหยียบคันเร่งและทันใดนั้นรถก็ออกตัวไปข้างหน้าราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากคันศร แต่เมื่อขับมาได้ไม่ไกล ก็ต้องเจอกับการจราจรที่แน่นขนัด
เซียวหยูซวนมองไปข้างหน้าอย่างหวาดกลัวเพราะความเร็วของรถนั้นแทบไม่ลดลงเลย คุณรู้หรือไม่ว่าตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่ม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รถบนท้องถนนยังคงหนาแน่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเจียงโจวซึ่งการจราจรจะแน่นขนัดเป็นพิเศษ
ทำไมจี้เฟิงถึงได้กล้าขับรถด้วยความเร็วขนาดนี้เขาไม่กลัวตายเลยรึไง!
อย่างไรก็ตามมันก็ทำให้เซียวหยูซวนเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเสี่ยวหลิงถึงอยากให้จี้เฟิงช่วยเธอในการแข่งรถ
บนถนนที่ทั้งสองคนอยู่ตอนนี้จะต้องมีรถอยู่ใกล้ๆในระยะไม่เกินห้าหกเมตรและในบางครั้งก็มีรถที่ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรขับเบียดแทรกมา อย่างไรก็ตามจี้เฟิงยังคงขับรถอย่างใจเย็น แต่มือทั้งสองของเขาเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วระหว่างพวงมาลัยและเกียร์รถ การกระทำของเขานั้นเร็วแต่ดูลื่นไหลมาก
เซียวหยูซวนตื่นตากับการขับรถของจี้เฟิงมากเปลี่ยนเกียร์… ขับช้าลง… เปลี่ยนเกียร์… เร่งความเร็ว…
การเคลื่อนไหวของจี้เฟิงเหมือนราวกับสายฟ้าเซียวหยูซวนแทบจะไม่สามารถละสายตาออกจากจี้เฟิงได้ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ในใจของเธอเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเด็กน้อยคนนี้ไปเรียนรู้ทักษะการขับรถของเขามาจากที่ไหน นี่มันไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้อย่างรวดเร็วลื่นไหลเป็นธรรมชาติขนาดนี้
อย่างไรก็ตามเมื่อเซียวหยูซวนมองออกไปนอกรถมันก็ยิ่งทำให้เธอตกตะลึงและรู้ซึ้งมากยิ่งขึ้นว่าฝีมือการขับรถของจี้เฟิงนั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน
รถวอลโว่s40 ธรรมดาๆ แต่เมื่อยู่ในมือของจี้เฟิง เขากลับขับแซงรถสปอร์ตที่มีสมรรถนะที่ดีกว่ามากในช่องว่างที่ห่างกันเพียงสี่หรือห้าเมตรเท่านั้น และจี้เฟิงยังคงเพิ่มความเร็วจนตอนนี้แตะถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปแล้ว รถวอลโว่ธรรมดาคันนี้เคลื่อนไหวไม่ต่างจากงู ที่รวดเร็วและยืดหยุ่น จี้เฟิงสามารถขับเข้าไปในช่องว่างที่แทบจะพอดีกับขนาดของรถซึ่งเป็นการกระทำที่อันตรายมาก แต่สุดท้ายเขาก็มองหาช่องว่างและขับแซงรถคันอื่นๆมาได้เรื่อยๆ
เสียงคำรามของเครื่องยนต์ดังขึ้นและดังมากขึ้นเรื่อยๆตอนนี้ความตื่นเต้นของเซียวหยูซวนกำลังทำให้เธอหน้าซีดจนแทบจะไม่มีร่องรอยของเลือดอยู่บนใบหน้าของเธอแล้ว เธอเหลือบมองไปที่มาตรวัดความเร็วโดยไม่รู้ตัวและหัวใจของเธอก็แทบจะวาย “ตายๆ 140!” เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องอยู่ในใจของเธอ “เจ้าตัวเล็กนายคิดว่านายกำลังขับเครื่องบินอยู่รึไง!”
รถยังคงรักษาระดับความเร็วไว้ไม่ตกจี้เฟิงแทบจะเปลี่ยนการขับขี่รถยนต์ให้กลายเป็นงานศิลปะหลังจากนั้นไม่นานรถวอลโว่สีแดงก็พุ่งตัวออกจากการจราจรที่หนาแน่นและเข้าสู่ถนนสายที่โล่งขึ้น
“เฮ้อ~!”เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “เจ้าตัวเล็ก นายรู้หรือเปล่าว่าขับรถแบบนี้มันอันตรายแค่ไหน!”
จี้เฟิงขับรถต่อไปโดยไม่ได้มองไปที่ถนนเขาหันไปยิ้มให้เซียวหยูซวนและกล่าวว่า “หึหึ ถ้าผมไม่เก่งจริง หวู่หลิงเอ๋อจะขอร้องให้ผมไปช่วยเธอแข่งรถเหรอ”
“เด็กบ้า!เลิกโม้แล้วหันไปมองถนนดีๆ!” เซียวหยูซวนพูดเสียงดุ แต่ความตึงเครียดที่อยู่ในใจของเธอก็ผ่อนคลายลงไปมาก
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยเขาหันหน้ากลับไปมองถนนและแตะคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็ว
เซียวหยูซวนถามด้วยความประหลาดใจ“เจ้าตัวเล็ก นายสามารถขับรถเร็วขนาดนี้ได้ยังไง แม้ว่าในทางทฤษฎีรถของฉันมันจะไม่ได้ช้าอะไร แต่มันก็ไม่น่าจะทำความเร็วได้มากขนาดนี้ เสี่ยวหลิงเคยขับรถของฉันมาก่อน เธอเคยลองขับด้วยความเร็วสูงสุด แต่ก็ไม่เคยทำความเร็วได้ขนาดนี้มาก่อน ถึงแม้เธอจะเหยียบคันเร่งจนถึงขีดสุดแล้วก็ตาม!”
จี้เฟิงยิ้ม“ตามหลักวิชาการแล้วหมายเลขที่ระบุบนมาตรวัดความเร็วสามารถเข้าถึงได้ แต่สาเหตุที่ไม่ค่อยมีใครทำความเร็วได้จนถึงขีดจำกัดสูงสุดของยานพาหนะได้เพราะผู้ขับขี่นั้นเป็นมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร แน่นอนว่าคนเรามันต้องไม่เป๊ะเหมือนเครื่องจักรอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าไม่ได้ฝึกฝนอย่างชำนาญมากจริงๆก็มีน้อยคนที่จะสามารถทำได้”
เซียวหยูซวนที่พยายามทำความเข้าใจและพยักหน้าอย่างเก้อๆ“แล้วนายไปฝึกขับรถที่ไหนมาเหรอ”
จี้เฟิงยิ้ม“ในฝัน”
“เฮ้อ!พูดจาเพ้อเจ้ออีกแล้ว!” เซียวหยูซวนจ้องเขาแล้วหัวเราะ